ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเกิดความกดดันขึ้น นางโบกมือ พูดตัดบทเขา “เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

 

 

บ่าวรับใช้ปิดปากเงียบ รีบหลบไปอีกด้าน

 

 

ม้าถูกจูงเข้ามา ทั้งสองขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังจวนโจว ชิงหลวน จูหลีและกัวเฟยตามมาด้านหลัง

 

 

หวงฝู่ซวิ่นครุ่นคิดเล็กน้อย และสั่งการไปว่า “เร็วเข้า ตามไปจวนโจว”

 

 

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ผู้คนบนถนนบางตา ม้าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าจวนโจว ไม่รอให้ม้าหยุดนิ่งทั้งสองก็กระโดดลงมาทันที และเดินเข้าไปยังจวนโจว อย่างเร่งรีบ

 

 

คนดูแลประตูของจวนโจวรู้จักพวกเขา จึงไม่ได้ห้ามเอาไว้

 

 

คนในจวนคงจะรู้กันทั่วแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศภายในอึมครึมเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ที่พบเจอระหว่างทางก็ยังทำความเคารพพวกเขาด้วยความระมัดระวัง

 

 

พวกตรงไปที่ห้องของตี้ซือทันที สาวใช้หน้าประตูไม่รอคำสั่ง รีบมาเปิดม่านกั้นประตูออก เชิญพวกเขาทั้งสองเข้าไปด้านใน

 

 

คนในครอบครัวโจวอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้า นอกจากตี้ซือแล้ว ทุกคนต่างร้องไห้จนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา โจวอิ๋งพูดกับพวกเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงสะอื้น “ซื่อจื่อ น้องโยวเอ๋อร์”

 

 

ตี้ซือเอ็ดทุกคน “เอาล่ะ ร้องไห้ระงมกันอยู่ได้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับซื่อจื่อและแม่นางเมิ่ง พวกเจ้าออกไปกันก่อนเถิด”

 

 

หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนแล้วก็จากไป

 

 

ตี้ซือผายือไปทางเก้าอี้ พูดกับทั้งสองว่า “นั่งเถิด”

 

 

ทั้งสองนั่งลง

 

 

ขณะที่ตี้ซือกำลังจะเปิดปากพูดนั้น พ่อบ้านกลับพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตเสียก่อน “นายท่าน ไท่จื่อเสด็จขอรับ!”

 

 

ตี้ซือตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา จัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อยจึงเดินออกไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นปรามเขาเอาไว้ “เขามากับพวกข้าขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ตี้ซือก็ผ่อนคลายลง เดินไปทางหน้าประตู ไทจื่อเดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว

 

 

ตี้ซือเดินไปด้านหน้า กำลังจะก้มลงทำความเคารพเขา แต่หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือไปพยุงรับเขาเอาไว้ “ไม่ต้องทำความเคารพข้าหรอก พอดีข้ากำลังรับประทานอาหารอยู่ที่จวนแม่นางเมิ่ง เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านเกิดเรื่องขึ้น จึงได้ติดตามพวกเขามา ท่านคงไม่ถือสาหรอกนะ”

 

 

เขาเป็นถึงไท่จื่อ ไปเยี่ยมบ้านผู้ใดก็ถือเป็นเกียรติมากแล้ว เขาเป็นลูกรักของฮ่องเต้ ตี้ซือจะไปถือสาได้อย่างไร และจะกล้าถือสาได้อย่างไร

 

 

เขาพยายามฝืนยิ้มออกมา พูดว่า “ไท่จื่อตรัสเป็นเล่นไป ท่านเสด็จถึงจวนโจวได้ ถือเป็นเกียรติแก่ตระกูลโจวของเรา ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ได้”

 

 

พูดจบ ก็ยื่นออกไปทำท่าเชื้อเชิญ พูดอย่างนอบน้อมว่า “เชิญท่านเข้าไปด้านในก่อน”

 

 

เขาเดินอย่างสง่างามเข้าไปด้านใน มองคนทั้งสองในห้องเล็กน้อยและนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

หลังจากสั่งให้คนยกน้ำชามาให้แล้ว ตี้ซือจึงได้นั่งลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองค้อนพ่อคนขัดจังหวะผู้นี้เล็กน้อย และถามตี้ซือว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ทั้งสอง”

 

 

สีหน้าสดใสของตี้ซือเลือนหายไป ถอนหายใจออกมายาวเหยียด สีหน้าแย่ลงตามลำดับ ตอบไปว่า “หลายวันมานี้งานการที่กองเก็บเอกสารล้นมือนัก เสี้ยวเอ๋อร์ และหลี่เอ๋อร์ทั้งสองคนถูกสั่งให้อยู่ต่อเพื่อทำงานล่วงเวลา ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่โดยปกติจะอยู่ล่วงเวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น กลับบ้านก่อนเวลาประตูเมืองจะปิดเสมอ แต่เมื่อคืนไม่ได้กลับมาทั้งคืน ข้าเป็นห่วงมาก เมื่อเช้าตรู่จึงส่งคนไปสืบความ จึงได้รู้ว่า เมื่อคืนตอนที่ทั้งสองอยู่เวรนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด น้ำมันตะเกียงได้ล้มลงมา กว่าทั้งสองจะรู้ตัวก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ทำให้งานเขียนที่เขียนกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งเดือนถูกเผาจนสิ้น เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าจึงทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก มีรับสั่งให้จับพวกเขาเข้าคุก และสั่งให้ฝ่ายปกครองลงมือสืบสวน ต้องให้คำตอบกับฝ่าบาทภายในสามวัน หากแน่ชัดว่าเป็นความผิดของทั้งสอง จะลงโทษให้ทั้งสองย้ายไปประจำการในเขตพื้นที่กันดาร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้วพร้อมกัน ตอนที่น้ำมันตะเกียงล้มลง กระทั่งเผาไหม้กระดาษได้ จะต้องมีเสียงขึ้นเป็นแน่ โจวเสี้ยว โจวหลี่ต่างเป็นคนหูดี จะไม่ได้ยินได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะดับไฟไม่ทันการณ์ นอกเสียจากว่ามีคนวางแผนเอาไว้ คิดถึงตรงนี้ ทั้งสองมองตากัน และนึกถึงเฮ่อจางทันที หลายวันก่อนพวกเขาเพิ่งจะส่งคนไปจัดการหลานของเขา วันนี้เขากลับโต้ตอบด้วยการทำร้ายคนของตระกูลโจว เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก และกำลังหาโอกาสแก้แค้นอยู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็นึกถึงความเกี่ยวพันกันของเรื่องนี้ จึงมองตี้ซือด้วยความรู้สึกผิด อ้าปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก

 

 

หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะส่งคนไปสอบถามพวกเขา ดูว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น จากนั้นค่อยส่งคนไปสืบสวนที่กองเก็บเอกสาร อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะนำข่าวมาบอก”

 

 

ตี้ซือดีใจเป็นอย่างมาก ยืนขึ้นคำนับขอบคุณ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

ทั้งสามมาส่งเขาที่หน้าจวน หวงฝู่ซวิ่นขึ้นรถม้าไป สั่งให้คนม้าควบม้าไปอย่างเร็วที่สุด

 

 

ทั้งสามกลับมานั่งรอข่าวในห้องของตี้ซือ

 

 

ไม่นานคนที่หวงฝู่ซวิ่นสั่งให้ไปสอบสวนในคุกก็กลับมา เป็นอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ ด้วย หลังจากที่โจวเสี้ยว และโจวหลี่ดื่มชาบำรุงกำลังไปแล้วนั้นก็เกิดอาการง่วงนอนเป็นอย่างมาก จึงเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะ กว่าทั้งสองจะถูกกลิ่นควันปลุกให้ตื่นขึ้นมา ไฟก็ลุกลามไปทั่วแล้ว

 

 

คนที่ถูกส่งไปสืบเรื่องจากกองเก็บเอกสารกลับมารายงานว่าเมื่อวานขันทีที่ทำหน้าที่ถวายน้ำชาของกองได้ตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างของเขาก็ถูกคนนำไปทิ้งที่ป่าช้าแล้ว คาดว่าป่านนี้ศพของเขาคงจะถูกสุนัขกัดกินจนหมดแล้ว

 

 

ทั้งหมดนี้ยิ่งสนับสนุนสมมติฐานของหวงฝู่ซวิ่น เขาจึงได้ส่งคนไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

เมื่อได้ยินข่าวแล้ว ตี้ซือเกิดความกลัวขึ้นทันที หากเมื่อคืนโจวเสี้ยวและโจวหลี่ไม่สำลักควันจนตื่น ป่านนี้เขาคงได้จัดงานศพให้ลูกก่อนงานตัวเองเป็นแน่

 

 

แต่ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับคาดเดาว่า อาจจะเป็นเพราะขันทีผู้นั้นทำใจไม่ได้ จึงใส่ยาลงไปเพียงเล็กน้อย ทั้งสองจึงฟื้นขึ้นมาพอดี และรอดชีวิตมาได้

 

 

นี่จะต้องเป็นแผนการณ์ของเฮ่อจางแน่นอน ทั้งสองรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ทั้งโจวเสี้ยวและโจวหลี่ต่างก็ถูกร่างแหเพราะพวกเขา และรายละเอียดเหล่านี้พวกเขาไม่สามารถบอกตี้ซือได้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ให้คำสัญญาว่า “ตี้ซือวางใจเถิดขอรับ ไม่เกินสองวัน ทั้งสองจะต้องได้กลับมาอย่างปลอดภัย”

 

 

ตี้ซือเองก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสมัยแล้ว ไม่ใช่คนที่ใครจะมาหลอกตบตาเอาได้โดยง่าย เมื่อได้ยินดังนั้น เขาผงะไปเล็กน้อย ถามลองใจว่า “ซื่อจื่อ เรื่องนี้มีเหตุมาจากเรื่องอื่นใช่หรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าบอกความจริง “ข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น ไม่กล้าตัดสิน รอจนข้าสืบสาวจนแน่ชัดแล้ว ข้าจะเล่าให้ท่านฟังโดยละเอียด”

 

 

ตี้ซือเข้าใจแล้ว จึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ไม่ถามต่อ

 

 

หลังจากกล่าวลาตี้ซือแล้ว ก็ออกจากจวนโจวไป หวงฝู่อี้เซวียนบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้ากลับบ้านไปก่อน ระหว่างทางเจ้าระวังตัวด้วย ข้าจะไปหาไท่จื่อในวังเพื่อเจรจาอะไรกับเขาเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ไม่ถามอะไรต่อ มองดูเขาควบม้าจากไป จากนั้นตนก็ขึ้นม้า เดินทางมาระยะหนึ่งก็ฉุกคิดได้ว่าตนไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนพระชายามานานแล้ว จึงได้หันม้ากลับ มายังจวนอ๋องหลังลงจากม้าก็ตรงไปยังห้องของพระชายาทันที

 

 

พระชายากำลังนั่งอยู่บนเบาะริมหน้าต่างเพื่อเย็บชุดแต่งงานให้นางอยู่พอดี เมื่อได้ยินเสียงจากม่านประตู จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นนาง ใบหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น วางชุดตรงหน้าลง ยิ้มและพูดว่า “กำลังคิดอยู่เชียวว่าหากพวกเจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็ตั้งใจจะไปหาที่หนานเฉิงอยู่แล้วเชียว นี่ขนาดว่ายังไม่ได้ตบแต่งกัน ลูกชายคนดีของข้าก็ลืมแม่ไปเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกหยอกล้อ เดินเข้าไปใกล้นาง นั่งลงบนอีกฝั่งของเบาะ ยิ้มและพูดว่า “โชคดีที่ท่านยังไม่ได้ไปนะเพคะ ไม่อย่างนั้นอี้เซวียนคงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกไม่รักแม่เข้าแล้วจริงๆ”

 

 

พระชายาหุบยิ้มลง หยิบชุดเจ้าสาวที่ทำได้ครึ่งหนึ่งมาให้นางดู “ดูซิ ชอบหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปากหวานว่า “ขอแค่เป็นชุดที่ท่านทำหม่อมฉันก็ชอบทั้งนั้นเพคะ”

 

 

พระชายาได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจราวกับว่ามีดอกไม้บานในใจ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ช่างปากหวานขึ้นทุกทีแล้ว”

 

 

“หม่อมฉันพูดจริงนะเพคะ หม่อมฉันทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น หากชุดเจ้าสาวนี่อยู่ในมือหม่อมฉัน ไม่แน่ว่าอาจจะทำออกมาเป็นกระสอบใส่ปุ๋ยก็ได้เพคะ”

 

 

พระชายาถูกหยอกเล่นจนหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้นี่ มีอย่างที่ไหนมาว่าตัวเองเช่นนี้เล่า”

 

 

ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง พระชายาถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ ได้ฤกษ์วันแต่งงานของเจ้าแล้ว เจ้าจะไปรับพ่อกับแม่เข้าเมืองเมื่อใดกัน ข้าอยากจะคุยเรื่องงานแต่งเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทุบศีรษะของตนเอง

 

 

พระชายาตกใจ เบิกตาโพลงมองนางถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

 

นางตอบอย่างเหนียมอายว่า “เหมือนกับว่าหม่อมฉันจะลืมบอกท่านพ่อท่านแม่เรื่องฤกษ์งานแต่งน่ะเพคะ”

 

 

พระชายาตกใจเป็นอย่างมาก ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ลืมบอกคนที่บ้านได้อย่างไรกัน”

 

 

“ช่วงนี้หม่อมฉันยุ่งเหลือเกิน จึงลืมเรื่องนี้ไปได้ อีกอย่างหลายวันมานี้หม่อมฉันบาดเจ็บ อี้เซวียน…” พูดถึงตรงนี้ จึงฉุกคิดได้ว่าพระชายาไม่ทราบเรื่องที่นางบาดเจ็บ จึงได้หยุดพูดลง

 

 

แต่ก็สายไปเสียแล้ว พระชายาลุกขึ้นอย่างตกใจ เดินไปยังตรงหน้าของนางและดึงตัวนางขึ้นมา พิจารณาโดยละเอียดทั้งด้านหน้าด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวา ตั้งแต่หัวจรดเท้า และถามว่า “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือ ร้ายแรงหรือไม่”

 

 

นางทุบหัวตนเองเบาๆ ด้วยความหัวเสีย

 

 

เมื่อพระชายาเห็นดังนั้น จึงได้ถามทันทีว่า “ตรงหัวหรือ เกิดอะไรขึ้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขำไม่ออก ดึงชายเสื้อของตนเองขึ้นมา ให้นางเห็นบาดแผลของตนเอง พูดว่า “วันนั้นหม่อมฉันสะดุดล้มน่ะเพคะ ได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่หายดีแล้ว ที่หลายวันมานี้อี้เซวียนไม่ได้กลับมาก็เพราะว่าอยู่ดูแลหม่อมฉันเพคะ”

 

 

พระชายาย่อตัวลง มองดูแผลของนางเล็กน้อย และยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป “เลิกโกหกข้าเสียที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผลจากการถูกมีดแทงแท้ๆ หากไม่ต้องการให้ข้ากริ้วล่ะก็ รีบบอกความจริงกับข้ามา”

 

 

แม้ว่าพระชายาจะไม่มีความรู้เรื่องการต่อสู้ แต่นางก็เติบโตในตระกูลทหาร คุ้นเคยกับบาดแผลจากมีดและดาบเป็นอย่างดี เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่าปกปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้เล่าเรื่องที่มาของบาดแผลให้นางฟัง จากนั้นจึงโอบแขนของนางไว้พูดอย่างออดอ้อนว่า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว แผลก็หายดีแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเพคะ”

 

 

รู้จักเมิ่งเชียนโยวมานานเพียงนี้ เห็นแต่ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของนาง ไม่เคยเห็นนางทำท่าทีออดอ้อนเหมือนเด็กมาก่อน พระชายาจึงเกิดความรู้สึกทั้งแปลกใจและอบอุ่น และได้ลืมเรื่องที่นางได้รับบาดเจ็บไป ตบมือนางเบาๆ พูดด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “พ่อแม่ของเจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่มีลูกสาวน่ารักอย่างเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่เขินอายว่า “พระชายาเองก็โชคดีนะเพคะ ที่มีลูกสะใภ้เช่นหม่อมฉัน” พูดจบ ก็แอบลิ้นออกมาอย่างซุกซน

 

 

พระชายาหัวเราะ สีหน้าสดใสขึ้นอีกครั้ง พูดว่า “รอให้พวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว จะต้องมีลูกสาวออกมาก่อนนะ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อข้าเห็นลูกสาวบ้านอื่น บางทีก็ทำให้รู้สึกอิจฉาจนนอนไม่หลับ”

 

 

เรื่องนี้นางคงตัดสินเองไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไร