พระชายาเปลี่ยนบทสนทนา ถามต่อว่า “แผลของเจ้าสืบได้แล้วหรือยังว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”

 

 

สุดท้ายก็ยังไม่สามารถเลี่ยงประเด็นนี้ไปได้ ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวอ่อนแรง นั่งลงบนเบาะอีกครั้ง

 

 

เสียงของพระชายาดังขึ้นอีกครั้ง “อย่าคิดปิดบังข้า หากเจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า และตอบนางตามความสัตย์จริง “ทั้งสองคนนั้นปลิดชีพตัวเองคาที่ กัวเฟยค้นของที่อยู่บนตัวพวกเขาทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย”

 

 

พระชายาไม่พูดอะไร มองหน้านางนิ่งๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา พูดว่า “หม่อมฉันและอี้เซวียนต่างก็สงสัยว่าเฮ่อจางจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ชั่วร้ายนี่เพคะ แต่ยังไม่มีหลักฐานอะไร”

 

 

พระชายาหรี่ตาลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชูมือขึ้นสาบาน “ที่หม่อมฉันพูดเป็นความสัตย์จริงทั้งสิ้น หม่อมฉันและอี้เซวียนต่างไม่มีหลักฐาน ไม่เช่นนั้นคงจะเล่นงานเขาไปนานแล้วเพคะ”

 

 

ความโกรธของพระชายาแผ่เอาความอำมหิตไปทั่ว พูดว่า “เห็นทีเขาคงจะเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำสินะ ในเมื่อเขาต้องการชีวิตของพวกเจ้า อย่างนั้นก็อย่าคิดจะมีชีวิตต่อไปอีกเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าติดกัน เห็นด้วยกับความเห็นของนาง “เขาคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ท่านวางใจเถิด ไม่นานหม่อมฉันและอี้เซวียนจะจัดการเขาเองเพคะ”

 

 

แต่พระชายารู้ดี “ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก หากเฮ่อกุ้ยเฟยยังอยู่ เฮ่อจางก็ไม่มีทางล้มได้”

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดถึงเฮ่อกุ้ยเฟยอยู่นั้น หวงฝู่อี้เซวียนได้ตรงไปถึงตงกง เมื่อพบกับหวงฝู่ซวิ่นก็พูดออกไปตรงๆ ว่า “เจ้าหาวิธีเล่นงานองค์ชายหกที ใช้เขาเป็นเครื่องตักเตือนเฮ่อจาง ว่าหากเขายังไม่หยุดลงมือและปล่อยโจวเสี้ยว โจวหลี่ออกมา ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”

 

 

องค์ชายหกเป็นลูกชายของเฮ่อกุ้ยเฟย เป็นเสาหลักของตระกูลเฮ่อในภายภาคหน้า ฉลาดปราดเปรื่องตั้งแต่เด็ก รู้จักสังเกตการณ์ ใครเห็นใครก็รัก ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ที่ทั้งรักและตามใจเขา แม้กระทั่งไทเฮาเองก็ยังชื่นชมเขาไม่หยุดปาก โดยเฉพาะหลายปีมานี้มีท่าทีจะยื้อแย่งตำแหน่งแทนไท่จื่อไป แน่นอนว่าหวงฝู่ซวิ่นจะต้องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นแน่ คิดอยากหาโอกาสเล่นงานเขามานานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ต้องการให้รุนแรงเพียงใด”

 

 

“ขอเพียงให้ออกมาเพ่นพ่านไม่ได้สักสามสี่วันก็เป็นพอ จากนั้นก็ส่งคนไปแจ้งข่าวเฮ่อจางว่าหากอีกสองวันไม่เห็นว่าสองคนนั้นได้ออกจากคุกล่ะก็ พวกเขาก็อย่าหวังว่าจะมีเสาหลักอยู่อีกต่อไปเลย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “คืนนี้ข้าจะส่งข่าวให้เจ้า” จากนั้นก็ถามว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบใช้วิธีสกปรกแบบนี้หรอกหรือ คราวนี้เป็นอย่างไร คิดได้แล้วหรือ”

 

 

“อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงลูกชายแท้ๆ ของท่านลุง ข้าไม่อยากให้เกิดศึกสายเลือด จึงได้ไม่เคยลงมือจัดการเขา แต่ในเมื่อเฮ่อจางบังคับบีบให้ข้าต้องทำ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าแล้ว”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นยิ้มมุมปาก พูดกับเขาด้วยท่าทีไม่จริงจังว่า “ดูจากท่าทีของเฮ่อจางและเฮ่อกุ้ยเฟยแล้ว ศึกสายเลือดน่ะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว หวังว่าถึงตอนนั้นเขาจะอยู่ข้างข้า”

 

 

มองเขาเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “คนอื่นอาจจะไม่รู้แผนการณ์ของเจ้า แต่มีหรือข้าจะไม่รู้ หลายปีมานี้เจ้าทำราวกับแมวหยอกหนู คอยกลั่นแกล้งเขาอยู่ไม่น้อย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ เรื่องสนุกเพียงนี้รีบเผยออกมาทำไมกัน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น “เจ้าเองก็สมควรแก่การเพลามือลงได้แล้ว อย่าให้ผู้ใดมาจับทางได้ อีกอย่าง หากต้องการจะจัดการพวกเขาให้อยู่หมัด จะต้องคิดหาวิธีที่ได้ผล”

 

 

พูดจบ ก็เดินก้าวเท้ายาวๆ ออกไป

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นเลือนหายไป พูดกับอากาศว่า “ได้ยินคำของซื่อจื่อชัดเจนแล้วใช่หรือไม่”

 

 

มีเสียงตอบกลับมาว่า “ได้ยินชัดแล้วขอรับ”

 

 

เสียงของหวงฝู่ซวิ่นมีความดุร้ายอยู่เล็กน้อย “ไปได้ จัดการให้เรียบร้อยด้วย หากทำเสียเรื่องก็อย่าโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

 

 

มีเสียงตอบกลับว่า “ขอรับ” เบาๆ จากนั้นก็เงียบไป

 

 

หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่ที่เดิม กำลังคิดอะไรบางอย่าง

 

 

เมื่อออกจากวังมา หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบควบม้า กลับไปยังหนานเฉิง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาพูดคุยกันอยู่กว่าชั่วยาม เมื่อคาดคะเนว่าอี้เซวียนน่าจะกลับไปแล้ว จึงได้กล่าวลาพระชายาและออกจากจวนอ๋องเพื่อกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้วนั้น จึงได้ยิ้มและถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ช้าที่สุดวันมะรืนจะต้องถูกปล่อยตัวออกมา”

 

 

นางวางใจลงแล้ว ไม่ถามต่อแม้แต่ประโยคเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าครัวไปทำอาหารให้เขา

 

 

วันต่อมา ก็มีข่าวแว่วมาว่าเมื่อคืนองค์ชายหกตื่นขึ้นมากลางดึก แต่กลับสะดุดล้มลง แม้จะรู้ดีว่าคนไม่เป็นอันตรายอะไรมาก แต่ว่าแพทย์หลวงก็ได้แนะนำให้เขาพักผ่อนอยู่บนเตียงอย่างน้อยสามถึงห้าวัน

 

 

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เฮ่อกุ้ยเฟยก็รีบรุดไปยังตำหนักของเขาทันที และถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

สีหน้าขององค์ชายหกคล้ำหมองมาก บอกกับท่านแม่ของตนว่ามีคนกำลังลอบทำร้ายตนอยู่

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจเป็นอย่างมาก กำลังจะไปทูลฝ่าบาท แต่ว่าองค์ชายหกห้ามเอาไว้ก่อน “เราไม่มีหลักฐานอะไร เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ อีกทั้งยังจะทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ วันหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้ขอรับ”

 

 

ไม่นานข่าวเกี่ยวกับองค์ชายหกก็แพร่มาถึงหูของเฮ่อจาง และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง อักษรบนจดหมายนั้นสวยงามอ่อนช้อย แต่เนื้อความกลับทำให้เขาแทบจะหน้ามืด ในจดหมายบอกว่า “นี่เป็นเพียงบทลงโทษเล็กๆ เท่านั้น หากเวลานี้ของวันพรุ่งยังไม่มีข่าวดีมาอีกล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็รอดูต่อไปได้เลย” แม้ว่าน้ำเสียงในจดหมายไม่ได้ดูโหดร้ายมาก แต่ใจในของเฮ่อจางกลับรู้สึกหนาวสั่นแปลกๆ เขาวางแผนมาทั้งชีวิต ให้ตนได้ขึ้นมาเป็นมหาเสนาบดีที่อยู่เหนือผู้คนใต้หล้า ต่ำกว่าเพียงคนผู้เดียว ซ้ำแล้วยังมีเสาหลักถึงสองเสาให้พึ่งพิง นั่นคือหวงฝู่อวี้ และอีกคนก็คือองค์ชายหก ตอนแรกเขาวางแผนจะฆ่าหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อจะได้ช่วยให้หวงฝู่อวี้ได้ขึ้นตำแหน่งซื่อจื่อ

 

 

ส่วนองค์ชายหกที่เกือบจะเทียบฝ่าเท้ากับไท่จื่อได้แล้วนั้น ก็สามารถเข้ารับตำแหน่งไท่จื่อได้ หากได้รับการช่วยเหลือจากเขาและหวงฝู่อวี้ และจากนั้นก็จะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป อย่างนั้นตระกูลเฮ่อของเขาก็จะรุ่งเรืองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใครจะรู้ว่าแผนการณ์ที่คิดมาหลายปีนี้จะต้องมาถูกขัดขวางโดยเด็กสาวบ้านนอกอย่างเมิ่งเชี่ยนโยวได้ เริ่มตั้งแต่ช่วยชีวิตหวงฝู่อี้เซวียนหลายครั้งหลายครา จากนั้นก็รักษาพระชายาขี้โรคนั่นจนหายดี จากนั้นก็ยึดอำนาจในการจัดการดูแลจวนนั้นมา ทำให้ลูกสาวของเขาต้องเผชิญอันตราย และต้องปลิดชีพในอ้อมอกของอ๋องฉี

 

 

ส่วนหวงฝู่อวี้ก็ถูกนางส่งไปอยู่ที่โรงงาน แม้ว่าเขาได้ใช้อภิสิทธิ์ให้เหล่าคุณชายโหวปั๋วไปก่อเรื่อง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ตอนนี้พวกเขาก็กลับมาเพ่งเล็งองค์ชายหก เสาหลักเดียวของตระกูลเฮ่อ ระดับความแค้นในใจของเฮ่อจางนั้น หากเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฎกายตรงหน้าเขา เขาจะต้องบีบกระดูกนางจนหัก ถลกหนังนางออกมา และนำเลือดของนางมาดื่ม แล่เนื้อของนางมากินเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น บัดนี้สถาณการณ์บังคับ เขาจำจะต้องถอยมาก่อนก้าวหนึ่ง จึงได้กัดฟันสั่งไปว่า “ใครก็ได้มานี่ที ไปรายงานกับเสนาบดีกรมอาญา บอกว่าข้ามีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเรื่องไฟไหม้ที่กองเก็บเอกสารจะให้เขา”