บทที่ 2363 อันสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณช่วยชีวิต 2 / บทที่ 2364 อันสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณช่วยชีวิต 3

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2363 อันสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณช่วยชีวิต 2

เครื่องปรุงที่เขาพกติดตัวมาก็ครบครันยิ่งนัก เกลือ ยี่หร่า ซีอิ๊ว…

ทาลงไปทีละชั้นๆ ย่างยังไม่สุกดี ก็มีกลิ่นหอมโชยออกมาแล้ว

กลิ่นหอมฉุยฟุ้งตลบ อบอวลอยู่ในอากาศ

เดิมทีจู๋ตู๋ชิงยืนดูดซับแก่นปราณแสงจันทร์อยู่ตรงนั้นเงียบๆ

กลิ่นหอมฉุยนี้ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กลิ่นนี้ช่างหอมหวนเหลือเกิน! ล่อหนอนตะกละในตัวเขาออกมาแล้ว

เขาย่างเท้ากลับไป มองขนไก่ฟ้าที่ยังกองอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็มองเนื้อไก่สีทองอร่ามที่เสียบไม้ย่างไว้ เขาก็นับเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘ไก่ฟ้า’ ตัวนั้นดูคุ้นตายิ่งนัก…

ในสมองเขาพลันมีแสงวาบขึ้นมา ในที่สุดก็นึกออกแล้ว

“นี่คือหงส์ครามกระมัง!”

ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง

“เจ้าก็รู้ความดีนี่”

เป็นการยอมรับโดยปริยาย

จู๋ตู๋ชิงอ้าปากนิดๆ ท่าทางคล้ายถูกสายฟ้าฟาด

หงส์คราม เป็นสายพันธุ์เดียวกับพญาหงส์ เป็นสัตว์เซียนแห่งไตรภพ[1] เพียงไข่หงส์ครามใบเดียวก็ทำให้ผู้บำเพ็ญในไตรภพต่อสู้แย่งชิงจนหัวร้างข้างแตกได้แล้ว หงส์ครามเพียงตัวเดียวก็ไม่อาจประเมินค่าได้

ผู้บำเพ็ญที่ได้ครอบครองมันต่างปรารถนาจะยกย่องกราบไหว้มันเป็นบรรพชนแล้ว มีแต่จะอ้อนวอนขอให้มันพาตนทะยานขึ้นสู่สวรรค์

ยามนี้หงส์ครามที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเอามาย่าง! โดนย่างแล้ว!

ช่างเสียของเหลือเกิน!

มิน่าเล่าถึงได้หอมหวนปานนี้! กลิ่นชวนดมถึงเพียงนี้

ถ้ากินสิ่งนี้เข้าไปสักคำไม่แน่ว่าอาจเป็นอมตะไม่แก่เฒ่าก็ได้…

จู๋ตู๋ชิงก้าวเข้าไปสองก้าว

“เหตุใดหงส์ครามตัวนี้ถึงตัวเล็กขนาดนี้?”

ปกติเคยได้ยินมาว่าหงส์ครามสามารถบรรทุกคนเดินทางได้ อย่างไรก็น่าจะตัวใหญ่กว่าหงส์ฟ้ากระมัง? แต่หงส์ตัวนี้กลับดูไม่ต่างไปจากไก่ฟ้าเลย

“นี่เป็นขนาดเล็กที่สุดของมัน”

“มันสามารถขยายร่างได้ตามใจนึกหรือ?”

“ถามอะไรไร้สาระ”

เป็นนกวิเศษโดยแท้!

จู๋ตู๋ชิงก็ไม่สนเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาแล้ว ยิ้มแป้น

“ข้าก็ชอบกินของจำพวกหงส์นะ ตีนหงส์ก็ไม่เกี่ยงงอนเลย…”

ขอเพียงให้เขาได้กินสักคำ เขาก็ไม่ใส่ใจแล้วว่าจะเป็นเพียงการกิน ‘ของเหลือ’

ในที่สุดตี้ฝูอีก็มองเขาแวบหนึ่ง

“เจ้าหวังมากไปแล้ว!”

จู๋ตู๋ชิงพูดไม่ออกเลย

เขาโบกพัดแล้วยิ้มแวบหนึ่ง

“ท่านราชันย์มารวางแผนจะกินคนเดียวงั้นหรือ?”

แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย มองดูเขา ท่าทางใคร่ครวญครุ่นคิด คล้ายจะเอ่ยอะไรออกมาประโยคหนึ่งด้วย แต่เสียงเบาเกินไป จู๋ตู๋ชิงจึงได้ยินไม่ชัด

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

จู๋ตู๋ชิงเขยิบเข้าไปใกล้เขาอีกสองก้าว

ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วที่นั่งสมาธิอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง นางเข้าสู่ภวังค์ไปแล้ว ไม่มีทางสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านนี้

เขาถอนหายใจ กวักมือเรียกจู๋ตู๋ชิง

“เจ้ามานี่สิ”

จู๋ตู๋ชิงถูกเขาเล่นงานจนผวาแล้ว ไหนเลยจะติดกับได้?

ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ร้องเฮอะคราหนึ่ง

“เข้าไปทำอันใด? ที่นี่ไม่มีคนนอกเสียหน่อย มีอะไรทำไมไม่พูดออกมาซึ่งหน้าเล่า?”

ริมฝีปากของตี้ฝูอีหยักขึ้นบางๆ นัยน์ตาดุจระลอกธาราในฤดูใบไม้ผลิ มองเขาด้วยรอยยิ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจา

ไม่น่าเชื่อว่าหัวใจจู๋ตู๋ชิงจะเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้!

ลอบคิดว่าคนผู้นี้ช่างเป็นมารร้ายที่ยากพบพานในโลกานี้โดยแท้! ยามที่มองดูเขาเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ชายชาตรีอย่างเขาใจสั่นเล็กน้อยได้

เขาเดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

“เจ้ามีอะไรจะคุยกับข้ากัน…”

วาจาท่อนหลังเขาไม่ทันได้กล่าวออกมา

เนื่องจากมีแสงสีรุ้งกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของตี้ฝูอีครอบคลุมร่างเขาไว้…

เบื้องหน้าเขาพลันมืดมิด อยากจะตะโกนก็ร้องไม่ออกแล้ว

จวบจนแสงสีรุ้งสลายตัวไป เขาก็พบว่าตนขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว

พูดให้ถูกก็คือ กลับสู่ร่างเดิมงอกยาวอยู่บนพื้น

ไผ่มรกตเขียวขจีต้นหนึ่งหยั่งรากไหวโอนเอนอยู่ตรงนั้น

‘ตี้ฝูอี เจ้าทำอะไร?!’

ไผ่เขียวขจีสั่นไหวอยู่ที่เดิม ส่งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว

แน่นอน เขาไม่กล้าส่งเสียงดัง เลี่ยงไม่ให้กู้ซีจิ่วตื่นตกใจ ถ้าปล่อยให้นางเห็นร่างจริงของตนก็ต้องขายหน้าแล้ว…

ตี้ฝูอียกนิ้วหนึ่งขึ้นมาทาบริมฝีปาก ส่งเสียงดังชู่

“เงียบหน่อยสิ เจ้าอยากให้นางสะดุ้งตื่น ให้นางได้ชื่นชมท่วงท่าอันสง่างามองอาจของเจ้าหรือ?”

….

————————————————————————————-

บทที่ 2364 อันสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณช่วยชีวิต 3

จู๋ตู๋ชิงแทบกระอักเลือดแล้ว!

เพียงแต่ มันไม่กล้าส่งเสียงดังแล้ว

‘เจ้าจะทำอะไรกันแน่?!’

“เจ้าโหวกเหวกเกินไป เปิ่นจวินไม่ชอบคนที่วุ่นวาย”

ตี้ฝูอีเดินรอบตัวมันหนึ่งรอบ เอ่ยชม

“รูปลักษณ์นี้ของคุณชายไผ่ขจีช่างสง่างามมีเอกลักษณ์โดยแท้”

พลันกดมือลงบนลำไผ่ แผ่พลังวิญญาณเข้าไป จู๋ตู๋ชิงพูดไม่ออกเลยสักประโยคแล้ว

จู๋ตู๋ชิงทั้งโกรธทั้งตกใจ ร่างกายสั่นไหวพยายามจะกลับสู่ร่างมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีลงอาคมอันใดไว้บนร่างของมัน มันจึงแปลงร่างไม่ได้ชั่วคราว

ขณะที่กำลังสั่นไหวอยู่ จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่นั่งสมาธิมาโดยตลอดก็ลืมตาขึ้นมา

“ตื่นแล้วหรือ? มาสิ มากินน่องไก่สักอัน ชิมฝีมือของเปิ่นจวินดู”

ตี้ฝูอียื่นน่องไก่ย่างเหลืองอร่ามหอมฉุยข้างหนึ่งให้

กู้ซีจิ่วรับไว้ตามสัญชาตญาณ ท้องเธอหิวยิ่งนัก กลิ่นหอมของน่องไก่ในมือแทบจะไหลแทรกซึมเข้าไปตามแขนขาโครงกระดูกของเธอแล้ว กลิ่นหอมนี้กลบกลิ่นเนื้อที่เธอย่างไปก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์

เธออดใจไม่ไหวกัดเข้าไปคำหนึ่ง หอม สด นุ่ม ลื่น

อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ!

เธอรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เธอยังไม่เคยกินเนื้อย่างที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!

“อร่อยไหม?”

ตี้ฝูอีถาม

“อร่อย”

กู้ซีจิ่วเอ่ยชมเชยอย่างจริงใจ

“อร่อยก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็กินให้มากหน่อย”

น้ำเสียงของตี้ฝูอีฟังดูโล่งใจยิ่งนัก

กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น มองเขาที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังมองเธอด้วยรอยยิ้ม เปลวไฟไหวระริกอยู่ในแก้วตาดำขลับของเขา ทำให้จิตใจคนสั่นไหวรื่นเริงขึ้นมา

ใจเธอเต้นแรงนิดๆ ละสายตาไป พลันมองเห็นต้นไผ่ต้นนั้นที่ตั้งตะหง่านอยู่ไม่ไกลจากตนไป เลิกคิ้วขึ้นอย่าง ประหลาดใจ ตอนที่เธอนั่งสมาธิไม่เห็นต้นไผ่นี้อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่ออกมาได้เล่า?

จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างอื่นล้วนไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด ในที่สุดเธอก็นึกถึงลูกศิษย์ของตนขึ้นมา

“ตู๋ชิงล่ะ?”

ทั่วทั้งเชิงเขามีเพียงเธอกับตี้ฝูอีอยู่ด้วยกันสองคน นี่ทำให้หัวใจของเธอว้าวุ่นอยู่บ้าง…

“เขาไปตามหาลาของเขาแล้ว”

“ลาตัวนั้นของเขาเป็นลาวิเศษนะ แค่ผิวปากเรียกก็กลับมาแล้ว ทำไมครั้งนี้ต้องไปตามหาด้วย…”

“ลาตัวนั้นหยิ่งผยอง ไม่คิดจะแยแสเขา”

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เจ้าลาตัวนั้นเป็นลาหยิ่งตัวหนึ่งจริงๆ

กู้ซีจิ่วไม่ถามต่อแล้ว มองไปทางต้นไผ่ที่สั่นไหวโดยไร้ซึ่งสายลมต้นนั้น

“ต้นไผ่นี้คือ?”

“จู๋ตู๋ชิงเกรงว่าเจ้าจะร้อน จึงตั้งใจปลูกไผ่ต้นนี้ไว้พัดคลายร้อนให้เจ้าโดยเฉพาะ”

คุณชายไผ่ขจีช่างเป็นคุณชายไผ่ขจีที่มีน้ำใจโดยแท้ ศิษย์คนนี้ของเธอไม่ได้รับมาอย่างเสียเปล่าเลย!

“รีบกินตอนยังร้อนเถอะ เย็นไปก็ไม่อร่อยแล้ว”

ตี้ฝูอีกระตุ้นเธอ

กู้ซีจิ่วจึงกินน่องไก่ในมือ รสชาตินั้นเลิศล้ำจนไม่อาจบรรยายได้ ไม่ทันรู้ตัวก็กินหมดไปข้างหนึ่งแล้ว

“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นเลิศด้านการย่างเนื้อด้วย ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ถนัดย่างเนื้อเลย”

“อดีตไม่ถนัดไม่ได้แปลว่าจะไม่สันทัดตลอดไป เจ้ายังจำเรื่องใดของข้าได้อีก?”

ตี้ฝูอีมองเธอด้วยสายตาวาววาม

กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง เสตาหลบ ไม่อยากถูกเขาเกี้ยวพาอีก จึงเบี่ยงหัวข้อสนทนา

“เนื้อนี่คือเนื้ออะไร?”

รสชาติของเนื้อนี้เธอรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างรางๆ ทว่านึกไม่ออกว่าเคยกินที่ไหนมาก่อน

“เนื้อหงส์คราม”

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน

เธอแทบจะเต้นผางแล้ว

“เจ้าอยากตายหรือไง? นี่เป็นสัตว์วิเศษนะ! เอามาย่างกินได้อย่างไร?! จะถูกฟ้าผ่าเอานะ!”

ตี้ฝูอีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ไม่หรอกมั้ง? แค่นกตัวเดียวเท่านั้น”

เพิ่งจะเอ่ยประโยคนนี้ออกมา ก็มีเสียงฟ้าคำรามครืนๆ แว่วมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปแล้ว…

น่าตายนัก!

นี่คงมิใช่บอกว่าฟ้าจะผ่า สายฟ้าก็มาจริงๆ กระมัง!

กู้ซีจิ่วดึงเขาขึ้นมาทันที

“ไป! ตามข้าไปหลบสายฟ้า!”

บนเขาลูกนี้มีถ้ำอยู่ไม่น้อยเลย ตอนที่มาถึงก่อนหน้านี้กู้ซีจิ่วเห็นแห่งหนึ่งจากในรถ ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล ระยะห่างเพียงสามลี้

————————————————————————————-

[1] ไตรภพ เป็นคติเกี่ยวกับโลกสัณฐานตามความเชื่อในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ไตรภูมิประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ สัตว์โลกทั้งหลายจะเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพจนกว่าจะสำเร็จเป็นอรหันต์