องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 759 เฟิ่งไป่ซูผู้เข้าใจในทุกสิ่งอย่าง
ทั้งสองคนต่อสู้กันเพียงแค่ครู่เดียวเฟิ่งไป่ซูก็ล้มลงกับพื้น ซูอู๋ซินได้ยืนอยู่ด้านหลังของนางเพื่อคุ้มครองนางเอาไว้แล้ว
เฟิ่งไป่ซูสูดลมหายใจเข้าแล้วหันไปเหลือบมองซูอู๋ซิน จากนั้นจึงได้มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่
“ดาบชวีหมัวนั้นที่จริงแล้วแลกความทรงจำของท่านแม่กลับมา”
“ถูกต้อง หากว่าถึงเวลานั้นไม่สามารถเรียกให้ฟื้นได้จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเองแล้ว แน่นอนว่าวิชาดาบนี้แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องขั้นที่เก้าเพียงแต่ว่าบางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อันแข็งแกร่ง”
ซูอู๋ซินกุมมือของเฟิ่งไป่ซูเอาไว้และถ่ายทอดลมปราณอันแท้จริงจากร่างกายไปให้เฟิ่งไป่ซู
“สุขภาพของท่านแม่ของเจ้าไม่ดีหากว่าฟื้นฟูร่างกายให้ดีก็จะสามารถพัฒนาไปได้อีกขั้นเป็นธรรมดา แต่หากว่าไม่ดีภายภาคหน้าก็จะไม่มีโอกาสถ่ายทอดดาบนี้ให้เจ้าอีกแล้ว
ดาบไร้ใจไม่สามารถให้บุรุษฝึกได้ยิ่งจะทำให้พลังอิ๋นอ่อนแอและสูญเสียพลังหยาง กลับเป็นสตรีที่ยิ่งฝึกก็จะยิ่งมีส่วนช่วยในร่างกายของสตรี
ดาบชวีหมัวนั้นมีไม่กี่กระบวนท่า แต่ว่าหากฝึกฝนให้ดีก็สามารถนำมาใช้ปราบศัตรูได้ ”
ซูอู๋ซินกล่าวจบก็จูงมือของเฟิ่งไป๋ซูไปหาหนานกงเย่ สุดท้ายแคร๊กเสียงหนึ่งทั้งสี่คนนั้นมองไปยังดาบในมือของเฟิ่งไป่ซูโดยที่ดาบนั้นหักเสียแล้ว
สีหน้าของหนานกงเย่นั้นไม่ดี นั่นเป็นดาบที่เขาพกติดตัวมานานหลายปีแล้วจึงปวดใจเป็นธรรมดา
เฟิ่งไป่ซูเหลือบมองแล้วยื่นดาบให้กับหนานกงเย่: “เจ้าเอากลับไปซ่อมสิ”
หนานกงเย่รับดาบไปแต่กลับไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บดาบที่พื้นขึ้นมาดูเหมือนว่าจะไม่สามารถซ่อมได้แล้ว แต่สอนวิทยายุทธให้ก็ถือว่าเป็นอาจารย์แล้ว และทั้งสองคนก็เป็นพ่อแม่ของพวกเขาจึงกล่าวสิ่งใดมากนักไม่ได้
เก็บดาบแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงได้หันหลังกลับไปยังเบื้องหน้า
ถึงด้านหน้าแล้วได้นั่งลง ส่วนหนานกงเย่ไปจัดเตรียมอาหารและทั้งสี่คนก็กินข้าวกัน
ขนบธรรมเนียมของแคว้นเฟิ่งต่างเมืองต้าเหลียง ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่คุ้นเคยกับอาหารการกินอยู่บ้าง
นางก็ยังชอบวัฒนธรรมอาหารการกินเช่นนั้นของเมืองต้าเหลียง
“เจ้าไม่ชอบกินอาหารของแคว้นเฟิ่งสามารถทำเองได้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจพวกเรา พวกเราก็ไม่ชอบกินอาหารของแคว้นเฟิ่ง”
เฟิ่งไป่ซูทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ไปยังห้องที่เรือนหลังและพูดคุยกับฉีเฟยอวิ๋นระหว่างทาง
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากนัก เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วเฟิ่งไป่ซูทั้งสองคนก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกลับพระราชวัง ทั้งสองไม่กลับไปได้หรือ
“ที่นี่มีห้องมากมาย ค่ำคืนพวกเราอยากพักอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าพักอยู่สถานที่ใด?” เข้าไปยังห้องในเรือนหลังแล้วเฟิ่งไป่ซูก็ถามขึ้นอีก
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปครู่หนึ่ง ที่จริงแล้วยังมีห้องว่างอีกห้องหนึ่ง ห้องอื่นๆนั้นมีคนอยู่กันทั้งสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ฝ่าบาททรงต้องการประทับอยู่ที่นี่หรือเพคะ?”
“เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่ ท่านแม่หรือมารดาก็ดีทั้งนั้น เรียกข้าว่าฝ่าบาทรู้สึกห่างเหินแล้ว ข้าได้ยินจากท่านพ่อของเจ้าว่าเจ้าของร่างเดิมยังอยู่ในกายของเจ้า เหตุใดนางถึงไม่ออกมาหล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าถามถึงตรงนี้แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สามารถปกปิดได้อีกจึงได้กล่าวว่า: “ไม่ปกปิดเสด็จแม่ ข้าก็ไม่รู้ว่าเนื่องจากเหตุใดหลังจากที่มาถึงที่นี่แล้วเจ้าของร่างเดิมก็ไม่เคยออกมาเลยจริงๆซึ่งข้าก็แปลกใจเช่นกัน ข้าลองพยายามให้ออกมาแต่ว่านางไม่ออกมาเลย ตอนนี้ข้าเป็นห่วงนางนัก ไม่รู้ว่าร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้วเกิดเรื่องหรือเปล่า”
“บางทีนางอาจจะไม่ต้องการยอมรับพวกเรา” เฟิ่งไป่ซูหันไปมองภายในห้อง: “นางมาที่นี่ด้วยความหวังอันใหญ่หลวงโดยหวังว่าท่านแม่ผู้นี้จะได้อยู่กับท่านพ่อของนาง แต่หลังจากมาถึงแล้วจึงได้รู้ว่าข้ากับท่านพ่อของนางไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน นางจึงรู้สึกผิดหวังยิ่งนักจึงยอมที่จะไม่มีท่านแม่เช่นข้าผู้นี้ก็ไม่ยอมออกมายอมรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดอากาศอันเย็นเข้าไป ที่จริงแล้วนางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
แต่นางไม่มีความกล้าที่จะกล่าว เฟิ่งไป่ซูผู้เป็นแม่นั้นกลับได้กล่าวออมาเสียแล้ว
ประสบการณ์ของจักรพรรดินีนั้นแตกต่างไปจากความคิดของผู้คนทั่วไปจริงๆ
“เสด็จแม่ทรงเสียพระทัยหรือเปล่า?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม
ชาติที่แล้วนางไม่มีพ่อแม่ แต่ชาตินี้นางนั้นมีแม่ทัพฉีซึ่งแม่ทัพฉีนั้นดีต่อนางมาก แต่ว่าเริ่มแรกแม่ทัพฉีไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใด ดังนั้นสิ่งดีๆเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มอบให้กับเจ้าของร่างเดิมทั้งสิ้น
แต่เฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินไม่เหมือนกัน พวกเขารู้แจ้งอยู่แล้วว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอยู่แต่ก็มอบสิ่งดีๆให้แก่นาง
นางไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใด!
เฟิ่งไป่ซูหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น: “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะเสียใจไหมหล่ะ?”
“เสียพระทัยสิเพคะ นางเป็นลูกของพวกท่าน พวกท่านรอดพ้นจากความตายและแยกกันมานานหลายปี ทั้งหมดก็เพื่อนาง
หากว่าปีนั้นพวกท่านยอมทอดทิ้งนางไป ด้วยความสามารถของพวกท่านก็ไม่ทีสิ่งใดที่ทำไม่ได้และก็คงจะไม่เกิดเรื่องขึ้น
หากว่านางสามารถเข้าใจได้ก็จะออกมายอมรับ
แต่ตอนนี้เนื่องจากนางพบเจอสิ่งที่ไม่ต้องการ ดังนั้นนางจึงไม่ยอมรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็เป็นผู้ที่ขัดแย้งกันผู้หนึ่ง ด้านหนึ่งเห็นใจเฟิ่งไป่ซูคู่สามีภรรยาและอีกด้านหนึ่ง ก็เข้าใจเจ้าของร่างเดิม
นางคิดมาตลอดว่าท่านพ่อและท่านแม่ของนางมีความรักที่แข็งแกร่งดังทองคำ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ถึงได้รู้ว่าแม้แต่ท่านพ่อของนางก็ไม่ใช่สายเลือดนางต้องรู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้ว
เฟิ่งไป่ซูสังเกตฉีเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง: “โชคชะตาของลูกๆก็เป็นเช่นนี้ ข้ากับอู๋ซินและนางคงไม่มีวาสนาต่อกัน นางยังไม่ได้ถือกำเนิดอู๋ซินก็เกิดเรื่องแล้ว ให้กำเนิดนางแล้วข้าก็ถูกบังคับให้จากไป
ตรงกันข้ามพอเจ้าปรากฏตัวอู๋ซินก็ไม่เป็นไรแล้ว
ความวุ่นวายในแคว้นเฟิงของเราก็ได้รับการแก้ไข เห็นได้ว่าเจ้ามีบุญวาสนากันกับพวกเรา
อู๋ซินยอมรับแน่วแน่แล้วว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเรานั่นเนื่องจากว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนั้น แต่ข้าเคยเห็นทว่าข้าชอบเจ้ามากเช่นกัน
ขอให้เจ้าโปรดบอกนางว่าแม้ว่าการปรากฏตัวของนางจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแต่นางก็เป็นลูกสาวของข้ากับอู๋ซินซึ่งพวกเราจะรักนาง
หากนางไม่อยากออกมาก็ไม่ต้องออกมา รอเมื่อนางต้องการออกมาก็ออกมา”
“นางสามารถได้ยินได้ เสด็จแม่ทรงตรัสเช่นนี้นางจะต้องรู้สึกเสียใจเป็นแน่” จู่ๆฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าเจ้าของร่างเดิมช่างน่าสงสารยิ่งนัก ตั้งแต่เด็กก็ถูกปล่อยไว้ที่เรือนแล้วถูกคนรังแกและตอนนี้พ่อแม่บังเกิดเกล้าก็เป็นเช่นนี้อีก แม้ว่าจะรักนางแต่บอกว่านางเป็นผู้ที่นำภัยพิบัติมาซึ่งฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถเห็นด้วยได้
เฟิ่งไป่ซูยิ้ม: “ข้าพูดเช่นนี้แล้วนางก็ยังไม่ออกมาเห็นได้ว่านางรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฟิ่งไป่ซู เฟิ่งไป่ซูได้หันหลังออกไปยังด้านนอกแล้ว ยืนอยู่ในลานเรือนราวกับว่านางเป็นหญิงงามหยกแกะสลักซึ่งงดงามเกินกว่าผู้คนบนโลก
เฟิงไป่ซู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า: “นางเป็นลูกสาวของข้า เจ้ากับนางเช่นไรก็แตกต่างกัน เป็นความผิดของข้าเองที่มิได้จำนางได้ในทันทีทำให้นางโกรธเสียแล้ว ข้าเพียงแค่ต้องการให้นางออกมาเท่านั้นเอง
ข้ายังจำตอนที่นางเกิดได้ ตัวเล็กเช่นนั้นและดูแล้วไม่ค่อยแข็งแรง
เดิมทีนางควรจะเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจเหตุใดถึงได้กลายเป็นผู้ทุกข์ยากลำบาก
ทั้งหมดนั้นเนื่องด้วยข้าผู้เป็นแม่นั้นไม่ได้ปกป้องนางให้ดี ”
ฉีเฟยอวิ๋นน้ำตาไหลออกมาจากนันย์ตา นางรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมกำลังร้องไห้แต่ว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้เข้าใกล้ เพียงแค่ปรากฏขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามสื่อสารกับนาง แต่ว่านางไม่ยอมออกมา
เฟิ่งไป่ซูหันกลับมาเห็นฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้กลับกล่าวว่า: “อย่าได้ร้องไห้”
ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตาราวกับว่ารู้สึกลำบากใจยิ่งนักแต่นางไม่ได้อธิบายและอธิบายไม่ชัดเจน
ยามค่ำคืนลมพัดอย่างอบอุ่น เฟิ่งไป่ซูเดินไปยังด้านข้างของฉีเฟยอวิ๋นแล้วจูงฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในเรือน เข้าประตูแล้วก็จัดที่ที่นางต้องพักอยู่และคิดที่จะพักอยู่ที่นั่นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้รู้ว่าเฟิ่งไป่ซูวางแผนที่จะพักอยู่จริงๆ