องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 758 ถ่ายทอดวิชาดาบไร้ใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซูอู๋ซินจึงถามว่า “เป็นอะไรหรือ? ทำไมวันนี้ถึงพูดน้อยจัง ตอนที่อยู่ที่สุสานหลวงยังปากเปราะเราะรายอยู่เลยไม่ใช่หรือ?”
“ข้าปากเปราะเราะรายอย่างไร เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าน……” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพูดมากไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่พูดอีก และภายในใจก็รู้สึกโศกเศร้า โทษที่ซูอู๋ซินนั้นช่างเจ้าเล่ห์ เธอเพียงแค่เผลอประมาทไม่ทันระวังตัวจึงทำให้เป็นเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดหัว จากนั้นจึงพูดแก้ตัว “พวกข้าก็สมควรต้องไปแล้ว ไม่รบกวนจักรพรรดินีและจักรพรรดิแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังเดินออกไป และไม่ต้องการสนใจพวกเขา
หนานกงเย่เหลือบมองทั้งสอง จากนั้นจึงเดินตามออกไป
มองไปที่ทั้งสองที่เดินจากไป เฟิ่งไป่ซูมองไปที่ซูอู๋ซิน “นิสัยของนางนับว่าเหมือนข้ามาก ฉลาดก็ถือว่าฉลาด น่าเสียดายที่ถูกหลอก หนานกงเย่ดูแล้วก็ไม่ใช่มีดีอะไรเท่าไร แต่กลับทำให้นางอยู่ในกุมมือได้”
“ซูซูหมายความว่า ข้าควบคุมซูซูไว้ในกุมมือ ฉะนั้นซูซูก็เลยเป็นเช่นนี้ใช่ไหม?”
“ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว?”
เฟิ่งไป่ซูเดินไปทางที่ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไป นางก็ต้องการไปดูเช่นกัน
จากนั้นซูอู๋ซินจึงเดินตามออกไปและกุมมือของเฟิ่งไป่ซูแน่น ทั้งสองดููเหมือนกลับไปสู่ช่วงวัยรุ่นตอนนั้น คนหนึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างเย่อหยิ่ง อีกคนเดินอยู่ข้างหลังอย่างอิดออด
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปกับหนานกงเย่ และได้ถามแม่ทัพฉีหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางกลับในครั้งนี้ ทุกครั้งหนานกงเย่มักมีความอดทน แต่เมื่อเขาเข้าไปที่โรงพยาบาล ฉีเฟยอวิ๋นถามเขาอีกครั้งเขากลับรู้สึกรำคาญเล็กน้อย “วันนี้ข้าไม่เป็นอันต้องทำอะไรแล้ว ใช้เวลาทั้งหมดมาตอบคำถามของท่านพ่อตาทั้งหมดก็ได้”
“ท่านไม่พอใจหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ด้วยความขุ่นเคือง แต่คนเยอะจึงไม่อยากทะเลาะกับเขา เธอเพียงแต่เป็นกังวลจนคิดมากไป มีครั้งไหนบ้างที่เขาพูดออกมาแล้วไม่มีประโยชน์ จึงทำให้เธอถามซ้ำไปซ้ำมาไม่จบสิ้น
เดิมทีในใจก็รู้สึกขอโทษหนานกงเย่ แถมคนก็มากมาย จึงไม่มีเวลาทะเลาะกับเขา เมื่อรอให้คนน้อยลงก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
เมื่อส่งคนไข้คนสุดท้ายออกไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปพักผ่อน เพิ่งจะนั่งลงก็เห็นเฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินเดินเข้ามาจากข้างนอก
“จักรพรรดินี……”
“ในแคว้นเฟิ่งนี้ ผู้หญิงมักจะเรียกมารดาของตัวเองว่าแม่ เจ้าเรียกข้าว่าแม่ก็ได้ และยังมีบิดาของเจ้า หากเจ้าไม่คุ้นชินก็เรียกท่านพ่อก็ได้ ส่วนเจ้า……” เฟิ่งไป่ซูมองไปที่หนานกงเย่ ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจในตัวหนานกงเย่ แต่นางเป็นจักรพรรดินี และมักชินกับการเก็บกดอารมณ์ ฉะนั้นนางจึงเห็นเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เหินห่างเท่านั้น
“คนของเมืองต้าเหลียงของเจ้าเรียกว่าพ่อตาและแม่ยายใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็เรียกตามนี้เถอะ”
เมื่อเฟิ่งไป่ซูพูดจบก็หันไปมองภายในเรือนพยาบาล หนานกงเย่ก็ไม่ได้ตอบรับ เขาเพียงแค่เหลือบมองซูอู๋ซิน
ลูกของพวกเขาคือเจ้าของร่างเดิม และไม่ใช่ฉีเฟยอวิ๋น ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดอะไรมาก
ฉีเฟยอวิ๋นกลับยิ้มอย่างลำบากใจและถามขึ้นมา “ท่านแม่และท่านพ่อมาที่นี่มีธุระอะไรหรือ?”
“มาเดินดูไปเรื่อยๆ”
เฟิ่งไป่ซูกลับรู้สึกแปลกใจที่ฉีเฟยอวิ๋นยอมเรียกนาง
อันที่จริงมือของนางกระตุกเล็กน้อย เพียงแต่อยู่ภายในแขนเสื้อก็เท่านั้น จึงทำให้ไม่มีใครเห็น แต่ซูอู๋ซินกุมมือของนางเอาไว้เขาจึงรู้
“ข้าบอกแล้วไง นางไม่ได้ไม่ยอมรับพวกเรา เป็นแบบนี้ดีแค่ไหน เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ซูอู๋ซินทำความคุ้นเคยกับเธอ จากนั้นเมื่อพูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเหลือบมองหนานกงเย่และคิดในใจว่า ท่านมีศัตรูที่แข็งแกร่งและกำยำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว
หนานกงเย่ทำสีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่รู้สึกอะไร
ทั้งสี่เดินเข้าไปสู่เรือนหลัง เฟิ่งไป่ซูทำการสังเกตเรือนหลังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “วิชาดาบไร้ใจของเจ้า เรียนรู้ไปเพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น เจ้ายังไม่ถึงขั้นคล่องแคล่วชำนาญ”
“ท่านพ่อไม่ยอมให้หม่อมฉันแสดงต่อคนนอก โดยปกติแล้วหม่อมฉันก็ยุ่งมากจึงไม่มีเวลาฝึกซ้อม คงได้แค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น” ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงตอนที่ถูกไล่ฆ่าที่เมืองต้าเหลียง เธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงทำให้เห็นว่าเธอไร้ประโยชน์นานแค่ไหน
สถานที่แห่งนี้ถึงแม้ว่าจะอันตราย แต่ไม่มีปืนใหญ่และจรวด เธอก็ยังจะตายได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นก็น่าทึ่งมาก!
เฟิ่งไป่ซูเหลือบมองไปที่เอวของหนานกงเย่ “เอาดาบให้ข้าเถอะ”
หนานกงเย่แปิดหัวเข็มขัดและหยิบดาบออกมายื่นให้กับเฟิ่งไป่ซู เฟิ่งไป่ซูรับดาบไว้และจ่อไปที่หนานกงเย่ทันที หนานกงเย่รีบถอยหลัง ฉีเฟยอวิ๋นรีบพุ่งเข้าไปทันทีเพื่อขัดขวาง
หนานกงเย่ตะโกนออกมาด้วยความโมโห “อย่าเข้ามา!”
เฟิ่งไป่ซูหยุดลงและชี้ดาบไปอีกฝั่ง นางพึงพอใจอย่างมากที่เห็นทั้งสองตกใจ
“สามารถเห็นได้ว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกันเช่นนี้ ข้ารู้สึกพอใจอย่างมาก และเจ้า คิดว่าข้าจะฆ่าเจ้าได้หรือ? การตอบสนองของเจ้าช้ามาก!”
เฟิ่งไป่ซูไม่ค่อยพึงพอใจต่อการตอบสนองช้าของหนานกงเย่เท่าไรนัก หากเขาตอบสนองได้เร็วกว่านี้ ก็คงรู้ว่านางเพียงแค่ต้องการทดสอบเท่านั้น แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นได้เดินไปแล้ว ถึงแม้รู้ว่าเป็นการทดสอบ แต่ก็เป็นกังวลและเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเย่และถามเขา “ท่านเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
หนานกงเย่ยกมือขึ้นมาจับเอวของฉีเฟยอวิ๋นไว้ “ไม่เป็นไร หากวันหลังข้ามีเรื่องอะไร เจ้าห้ามเข้ามา พุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ห้ามใช้ร่างกายปกป้องข้ารู้ไหม”
ฉีเฟยอวิ๋นน้ำตาคลอ เธอไม่มีประโยชน์หรือ?
ณ สถานที่แห่งนี้ ทุกคนต่างก็มีวิชาตัวเบา แต่เธอไม่มี ฉะนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่นี้
หนานกงเย่มองไปที่ซูอู๋ซิน “การทดสอบเช่นนี้ข้าไม่ชอบ”
“นับว่าช่างเป็นคนดื้อรั้น พวกเจ้าสองคนช่างเหมือนกัน”
เฟิ่งไป่ซูถอยหลังไปหลายก้าว “ดูให้ดีล่ะ วิชานี้ไม่สืบทอดต่อคนนอก ในชีวิตของข้านี้จะบอกต่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าทั้งสองต้องจำให้ขึ้นใจ”
เฟิ่งไป่ซูยกดาบในมือขึ้นมาและเคลื่อนไหวราวกับมังกร เป็นความแข็งแกร่งและความนุ่มนวลระหว่างกัน และยิ่งเป็นการสังหารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูสวยงาม แต่ทรงพลังมาก
“วิชาดาบไร้ใจ ระดับสูงสุดกลับเป็นการลืมข้า แต่เมื่อลืมข้าไปแล้วก็จะจำอะไรไม่ได้อีกเลย รวมไปถึงคนใกล้ชิดและผูกพันมากที่สุด
ฉะนั้นเมื่อดาบนี้ยังไม่สามารถควบคุมกำลังและความสามารถได้ ห้ามฝึกซ้อมด้วยตัวเองคนเดียวเด็ดขาด
วันนี้ที่ข้าถ่ายทอดวิชาดาบไร้ใจให้กับเจ้านั้น เจ้าจะต้องท่องจำข้อสำคัญและสูตรทั้งหมดให้ได้ หนานกงเย่……ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นสามีของอวิ๋นอวิ๋นแล้ว วันนี้ข้าจะถ่ายทอดวิชาดาบขับไล่มารให้กับเจ้า เจ้าดูให้ดีล่ะ”
ตอนที่เฟิ่งไป่ซูพูดอยู่นั้น ซูอู๋ซินก็ได้พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง หนานกงเย่รีบขยับฉีเฟยอวิ๋นออก ทั้งสองมองไปยังซูอู๋ซินที่ขยับไปมาบนพื้น ซูอู๋ซินมีความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก ร่างกายเขาเหมือนเส้นด้ายที่ลอยไปมา และเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนพื้น แต่เพียงชั่วพริบตาก็เข้ามายังสนาม
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่รอช้า ความเร็วที่รวดเร็วเช่นนี้เธอไม่สามารถเรียนรู้ได้ ดังนั้นเธอจึงขยับออกไปเพื่อดูวิชาดาบไร้ใจของเฟิ่งไป่ซู
เมื่อก่อนนั้นที่เคยได้เรียน เธอได้จำมันไว้ในสมอง ครั้งนี้เมื่อต้องกลับมาพบอีกครั้ง กลับไม่รู้สึกแปลกหน้าเช่นนั้น เธอก็รู้แจ้งถึงความสับสนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวบางกระบวนท่าในอดีต เธอจึงตั้งใจดูอย่างใกล้ชิด
ซูอู๋ซินไม่ได้เข้าไปในทันที แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ และเอามือไพล่หลังหนึ่งข้าง ส่วนมืออีกข้างจับดาบไว้
หนานกงเย่เหลือบมองดูดาบนั้นมีสีเขียว และมันดูไม่สวยงามนัก แต่กลับเป็นดาบที่ยอดเยี่ยมมาก เพียงแค่ดูรูปร่างก็รู้ได้
ดวงตาของซูอู๋ซินจ้องมองอย่างจดจ่อ “วิชาดาบไร้ใจแบ่งออกเป็นเก้าชั้น แปดชั้นแรกเป็นเพียงแค่ต้องทำตามขั้นตอนในการฝึกฝน ชั้นที่เก้ามีความสำคัญมาก ต้องมีคนคอยดู และระยะห่างของเจ้าก็ไม่สามารถห่างออกไปเกินสองก้าวได้ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในการควบคุมผู้ฝึกซ้อม
และเมื่อสักครู่ข้าเข้ามาอย่างรวดเร็วเพียงเพื่อให้เจ้ารู้ว่า เมื่อเจ้าสายเกินไป จะต้องใช้กระบวนท่าเถิงอวิ๋นบู้ เจ้าได้เห็นชัดเจนแล้วหรือไม่?”
แม้ว่าหนานกงเย่จะรู้ในภายหลัง แต่เขาก็สามารถรับรู้จังหวะได้ด้วยความรู้สึก อีกทั้งเขาก็มองเห็นแล้ว
“ดีมาก นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติดี”
“ถึงชั้นที่เก้าแล้ว ดูให้ดีล่ะ”
มีกระแสน้ำวนขนาดใหญ่เกิดขึ้น และดูเหมือนว่าลมจะพัดแรง
ดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นเบิกกว้าง เส้นผมของเฟิ่งไป่ซูพลิ้วไหลลอยขึ้น ชุดเสื้อผ้าก็พลิ้วไหลไปด้วยเช่นกัน ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงมากด้วยเช่นกัน และดวงตาก็โหดร้ายมากขึ้น
จู่ๆ ซูอู๋ซินก็พุ่งเข้าไป