บทที่ 761 โลงศพใต้สุสานหลวงแคว้นเฟิ่ง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 761 โลงศพใต้สุสานหลวงแคว้นเฟิ่ง

พอมาถึงด้านนอกฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยแล้ว หันกลับยังได้ยินเสียงของซู่ซ่าในป่าไม้ งูเหล่านั้นไม่ได้ทำร้ายคนแน่นอนว่าไม่ยินยอมแพ้หรอก พวกมันกลัวฉีเฟยอวิ๋น แต่ทว่ากลับไม่กลัวหนานกงเย่ มากกว่าครึ่งล้วนต้องการชีวิตของหนานกงเย่

“พวกเราเดินผิดแล้วใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกมันมาได้อย่างไร?”มีทั้งปลากินคนทั้งงูพิษ อย่างไรพวกมันก็ไม่มีทางบินจากข้างบนไปได้หรอก

หนานกงเย่ไม่ได้ตอบ เหลือบมองไปด้านหน้า ด้านหน้าเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความแปลกใจว่า “ที่นี่คือที่แห่งใดกันเพคะ?”

“สุสานหลวงของแคว้นเฟิ่ง”

หนานกงเย่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงสุสานหลวงได้ ฉีเฟยอวิ๋นมองไปไกลๆ ด้านหน้าว่างเปล่า มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ความใกล้ไกลประมาณหลายกิโลเมตร หลังจากนั้นเป็นสุสานที่มีสวนล้อมรอบแล้ว

หนานกงเย่เดินจูงมือฉีเฟยอวิ๋นไปด้านหน้า ไม่นานทั้งสองด้านได้ปรากฏสัตว์ที่เป็นหิน สัตว์นั้นได้แบ่งออกเป็นสองแถว

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ นี่คือสัตว์เฝ้าศพ

มีประมาณยี่สิบสี่ตัว หลังจากผ่านไปแล้วเดินไปด้านหน้า ก็เป็นคน แต่ล้วนเป็นรูปปั้นขุนนางหญิง แสงจันทร์ส่องลงมาดวงตาของรูปปั้นเหล่านั้นเหมือนจริงมาก มองเธอกับหนานกงเย่ต่างกัน

คนมียี่สิบสี่คน ตลอดจนการเดินทางถึงสุสานด้านใน

ด้านในมีห้อง พระตำหนักกลางมีแสงไฟส่องสว่าง ชัดเจนว่ามีคนมาที่นี่แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่มาจนถึงด้านหน้าประตูพระตำหนัก ด้านในเป็นภาพวาดและเรียกลำดับตำแหน่งของเหล่าจักรพรรดิณีแคว้นเฟิ่ง มีสองคนยืนอยู่ด้านหน้าแถว คนหนึ่งชายคนหนึ่งหญิง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นเฟิ่งไป่ซูกับซูอู๋ซิน

ทั้งสองหันกลับ ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ได้เข้าไปแล้ว

“เสด็จแม่ เสด็จพ่อ”ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยปากเรียก ทั้งสองมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วนับว่าพึงพอใจอย่างมาก มองไปทางหนานกงเย่ ซูอู๋ซินเลยเอ่ยปากก่อน

“เมื่อตอนที่จักรพรรดิณีแคว้นเฟิ่งก่อตั้งสถาปนาบ้านเมือง ข้างกายมีวีรบุรุษที่ร่วมสถาปนาอยู่ข้างกายด้วย เขามีกระบี่อ่อน เป็นกระบี่ที่หายาก ตอนที่จักรพรรดิณีถูกฝัง เขายอมตายเพื่อบูชาความรัก กระบี่นั้นก็อยู่ แต่พวกเราจะไม่เข้าสุสานหลวงที่เป็นสถานที่ต้องห้าม ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้พวกเจ้าจัดการไปกันเองเลย”

ซูอู๋ซินเหลือบมองสถานที่อื่น ฉีเฟยอวิ๋นมองดู ทางด้านนั้นน่าจะเป็นทางเข้าแล้ว คิดดูแล้วทั้งสองคนใจกว้างมาก เพื่อบุตรสาวแล้วแม้แต่สถานที่ของบรรพบุรุษยังต้องเปิดออก เธอเป็นบุตรสาวแน่นอนว่าไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มากเพคะ พวกเราไปกันเถิด”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบคุณอย่างสง่า แล้วดึงหนานกงเย่ไป ทางด้านนั้นมีบานประตู ทำขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางลับในการเข้าใช้สุสานหลวง

ทั้งสองคนหยิบคบเพลิงจากหน้าประตู แล้วหันเดินเข้าไปด้านใน

อุโมงค์ทางนำไปสู่สุสานกว้างสองเมตรสูงสองเมตร ทั้งสองคนเดินอยู่ด้านในโดยปราศจากความยับยั้งชั่งใจ

ฉีเฟยอวิ๋นมองภาพวาดอย่างละเอียด บนผนังมีจิตรกรรมฝาผนังอยู่ด้วย และมีการบันทึกเรื่องราวการก่อตั้งสถาปนาบ้านเมืองของจักรพรรดิณีแคว้นเฟิ่ง

ตั้งแต่เข้ามาได้เห็นชัดเจนว่าจักรพรรดิณีเป็นลูกสาวของจักรพรรดิบางเมือง พระนางกับพี่ชายไม่รักใคร่กลมเกลียวกันตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นพี่ชายได้นำพระนางไปแต่งงานกับชายที่ร่างกายอ่อนแออายุมาก พระนางไม่ยินยอม เกิดการโต้แย้ง เวลาต่อมาพี่ชายได้เริ่มถกเถียงกัน สังหารท่านพ่อของพระนาง แย่งชิงบัลลังก์

พระนางต้องการแก้แค้นให้กับเสด็จพ่อ เลยสังหารพี่ชาย แต่ทุกคนรอบตัวพระนางต้องการที่จะใช้กำลังทหารปราบปรามพระนาง พระนางเลยเริ่มสู้รบทั่วสารทิศ สุดท้ายสามารถต่อสู้เพื่ออำนาจบ้านเมืองของตนเอง พระนางเลยได้ขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนแปลงชื่อเป็นแคว้นเฟิ่ง ตั้งแต่นั้นมาผู้หญิงเลยกุมอำนาจ

ด้านบนอุโมงค์สุสานมีตำแหน่งดวงดาวโหราศาสตร์ สามารถดูเรื่องราวที่สิ่งทำนายทายทักได้

อุโมงค์สุสานยาวถึงหนึ่งร้อยเมตรกว่า ทั้งสองเริ่มก้าวเดินไปทางด้านหน้าและลงบันได ด้านล่างเป็นห้องสุสาน

ห้องสุสานกว้างใหญ่ และด้านในมีสิบกว่าโลงศพ ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมอง หมุนตัวมองด้วยความกลัดกลุ้มใจ เป็นอย่างที่คิดด้านหลังยังมีช่องทางอื่นอีก

หนานกงเย่กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า“เป็นอันใดหรือ?”

“พวกเราไปดูทางด้านนั้นก่อนเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่เข้าไปด้านใน เป็นอย่างที่คิดสามารถเห็นหีบกองสุมกันอยู่มากมาย

พอเห็นหีบฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม กล่าวว่า“ท่านอ๋อง ด้านในนี้ล้วนเป็นของล้ำค่า หม่อมฉันคิดว่าเราเอาบางส่วนไปดีหรือไม่เพคะ?”

“อวิ๋นอวิ๋นดูแล้วตัดสินใจเลย ถึงอย่างไรล้วนเป็นสิ่งของของแคว้นเฟิ่ง”หนานกงเย่ไม่ได้ไม่โลภ แต่เขามาที่นี่ไม่ได้ง่ายดายเหมือนสุสานหลวงปีกใต้ เข้ามายังไม่ง่ายเลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะเอาแก้วหวานเงินทองออกไป

แต่ทว่าฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่เห็นด้วย เปิดหีบดูสักเล็กน้อย ด้านในล้วนเป็นไข่มุกอัญมณีอันล้ำค่า

“เป็นอย่างที่คิดแคว้นเฟิ่งมั่งคั่งร่ำรวย ท่านอ๋องดูสิเพคะ เยอะมาก”เห็นไข่มุกอัญมณีฉีเฟยอวิ๋นก็แววตาเป็นประกายแล้ว

หนานกงเย่ยืนไม่ได้พูดอะไรมากอยู่อีกด้าน ภายในห้องนอกจากจะเป็นพวกไข่มุกอัญมณี ก็เป็นด้านที่มีหีบกล่องยาวอันหนึ่งแล้ว

หนานกงเย่เดินไปเปิดหีบนั้นออก ด้านในกับเป็นผ้าสีแดง หยิบนำผ้าแดงออกได้ปรากฏด้านเห็นกล่องขนาดยาวถึงสองชิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทงด้านนั้น หนานกงเย่เปิดกล่องออกได้ในโล่งโจ้งว่างเปล่า

เห็นกล่องที่ว่างเปล่าหนานกงเย่ถึงกับชะงักงัน เขาหมุนตัวหันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาดู ด้านในนั้นไม่มีอะไรเลย

ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องขนาดกว้างอีกชิ้น มองไปสิ่งที่วางอยู่คือฉินเจ็ดสาย

เปิดดูด้านในก็ว่างเปล่า ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ พลิกลงไปดูด้านล่างหีบ ด้านล่างหีบมีชื่อหนึ่งแถว

“บนฟ้าขอเราสองเป็นปี่อี้คือเกิดเป็นนกด้วยกันบนฟ้า”

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นกล่องกระบี่ ด้านล่างก็มีชื่อ เขียนว่าบนปฐพีขอเรานี้คู่พฤกษา คือเกิดเป็นต้นไม้ด้วยกันบนดิน

“ท่านอ๋อง น่าจะเป็นคู่กันเพคะ”

หนานกงเย่มองอย่างละเอียด บนกล่องกระบี่มีเขียนชื่อว่า เฟิ่งไจ้เทียน!

ฉีเฟยอวิ๋นก็หาชื่อบนอีกกล่องหนึ่งเจอมีสองพยางค์คือ จ่งหลี!

“ท่านอ๋อง เฟิ่งไจ้เทียนเป็นผู้หญิงหรือเพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ

หนานกงเย่วางกล่องลง กล่าวว่า“เฟิ่งเป็นชื่อแคว้นของแคว้นเฟิ่ง หญิงที่สถาปนาน่าจะแซ่เฟิ่ง แต่จ่งหลีไม่เหมือนชื่อของผู้ชายเลย”

“เพคะ หม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนกัน”

ทั้งสองออกจากบริเวณฝังศพและเมื่อพวกเขาไปถึงโลงศพ ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปที่โลงศพที่เป็นในลักษณะน้ำเต้า

“ชนรุ่นหลังเฟิ่งหลิงอวิ๋น เป็นบุตรสาวของเฟิ่งไป่ซู รัชทายาทของแคว้นเฟิ่ง วันนี้ได้พาพระสวามีหนานกงเย่มาทำความเคารพเหล่าบรรพบุรุษเพคะ

เหล่าบรรพบุรุษต้องให้ของขวัญแก่การพบหน้ากันอย่างแน่นอน เพราะว่าของเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะมอบอะไรให้เช่นนั้นเอาของที่อยู่ตรงหลุมฝังศพมอบให้ ก็นับว่าเป็นสินสมรสที่พ่อแม่มอบให้แก่บุตรสาวก็แล้วกัน

เสด็จพ่อบอกว่า เมืองต้าเหลียงยากจน หลานแต่งออกไปไม่ดี หวังว่าเหล่าบรรพบุรุษจะดูแลข้า ข้าก็จะได้ใช้ชีวิตดีขึ้นมาบ้าง”

กล่าวพูดจบฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน อีกด้านหนานกงเย่กำลังเหม่อลอยอยู่

“สิ่งเหล่านี้เรียนกับผู้ใดหรือ?”หนานกงเย่ยิ้มเจื่อน

จะแย่งเอาของยังมีข้ออ้างมากมาย

“เสด็จพ่อเพคะ วันนั้นอยู่สุสานหลวงปีกใต้ เขาได้เอาไข่มุกอัญมณีแก้วแหวนเงินทองมอบแก่หม่อมฉันแล้ว เชื่อว่าบรรพบุรุษแคว้นเฟิ่งจะต้องยินยอมอย่างแน่นอน พวกเขาไม่ปฏิบัติตนต่อผู้ต่ำต้อยกว่าอย่างไม่ดีก็พอแล้ว”

หนานกงเย่กระตุกริมฝีปากขึ้น นี่มันน่าไม่อายแค่ไหนกัน!

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูบนโลงศพ ด้านบนมีชื่อเขียนอยู่ เขียนชื่อจักรพรรดิณีที่ก่อตั้งบ้านเมือง จงหลี!

“ท่านอ๋อง จงหลีเป็นจักรพรรดิณีที่ก่อตั้งสถาปนาบ้านเมืองหรือเพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามด้วยความแปลกใจ หนานกงเย่ก็เห็นแล้ว

เดินดูด้านหนึ่ง ยังมีโลงศพขนาดเหมือนกัน ลักษณะรูปแบบโลงศพเหมือนกันกับจักรพรรดิณี ด้านบนเขียนชื่อ เฟิ่งไจ้เทียน!

“ท่านอ๋อง ที่แท้เฟิ่งไจ้เทียนเป็นผู้ชายเพคะ เฟิ่งเป็นแซ่ของเขา เนื่องด้วยแซ่ของเขาเป็นแซ่เมือง ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่เอาตำแหน่งองค์จักรพรรดิออกมา?”

ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างงงงวย กล่าวว่า“ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไร ต้องถามจักรพรรดิณีถึงจะรู้เพคะ”

หนานกงเย่เปิดฝาโลงออก ฉีเฟยอวิ๋นส่องไฟคบเพลิงยื่นเข้าไป ด้านในโลงไม้ว่างเปล่า

ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ กล่าวว่า“ท่านอ๋องไม่มีคนเพคะ”

“อืม”

หนานกงเย่มองไปที่โลงศพของจักรพรรดินี เดินไปและผลักฝาโลงศพทั้งสองข้างออกด้านในมีศพอยู่สองศพ แต่ศพก็สลายไปหมดแล้ว เหลือเพียงกระดูกเหี่ยวแห้ง ทั้งสองร่างสวมใส่ชุดมังกรเหลือง