บทที่ 113 เผ่าปีศาจหนานเจียง โดย Ink Stone_Romance
ปี้หนูพบกับสวี่เฉิงเซวียนครั้งแรกเมื่อเทศกาลซั่งหยวนปีก่อน ในตอนนั้นสวี่เฉิงเซวียนยังเป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทว่าปี้หนูถูกใจเด็กคนนี้ เพราะเขามีกลิ่นอายของความร้ายกาจ
การทำให้สวี่เฉิงเซวียนชื่นชอบนั้นมิใช่เรื่องง่าย กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปี้หนู เขามีกลเม็ด เขาฝึกโจรมาตามฉกกระเป๋าเงิน เพื่อหลอกล่อสวี่เฉิงเซวียน
ที่จริงแล้วการฝึกขโมยสักคนนั้นใครก็ทำได้ แต่การฝึกออกมาให้เป็นที่ถูกใจสวี่เฉิงเซวียนย่อมต้องลงแรงมากสักหน่อย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปี้หนูเชื่อฟังคำสั่งของสวี่เฉิงเซวียนอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงช่วยเขาจัดการสารพัดอุปสรรค ยังสอนเขาเกี่ยวกับยาพิษอีกด้วย สวี่เฉิงเซวียนคิดว่าปี้หนูซื่อสัตย์ต่อตน แต่หารู้ไม่ว่า ปี้หนูนั้นมีเป้าหมายแอบแฝงมาตั้งแต่แรกแล้ว
แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาย่อมมิใช่สวี่เฉิงเซวียน และมิใช่สกุลสวี่ เพียงแต่สถานะเจ้าของภัตตาคารของสวี่เฉิงเซวียนจะเอื้ออำนวยให้กับภารกิจของเขาเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี การกระทำเช่นนี้ไม่อาจนับว่าเป็นการหักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจของสวี่เฉิงเซวียน
เพียงแต่ปี้หนูไม่เคยคิดเลยว่าสวี่เฉิงเซวียนจะให้เขามาจัดการกับดรุณีน้อยบ้านนอกคนหนึ่ง
สวี่เฉิงเซวียนนับวันยิ่งจิตวิปลาส เด็กคนเดียวจะมีอันใดน่ากลัว? ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่นาน ตนเองก็คงต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เป็นได้
ปี้หนูมองอวี๋หวั่นซดโจ๊กเนื้อหยาบจนหมดเกลี้ยง มุมปากของเขายกขึ้น และยกชามของตนเองขึ้นมาซดจนหมดเช่นกัน
เด็กนี่มิได้มีอันใดน่ากลัว ขอเพียงมันตาย ทุกอย่างก็จบ
ปี้หนูบอกลาอวี๋หวั่นด้วยความปรีดา
เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก จนไม่ทันสังเกตว่าขวดยาที่เด็กน้อยนำกลับไปวางบนโต๊ะนั้นเบากว่าเดิม
“จบเสียที” เขาแหงนมองฟ้า
ตึง!
เขาล้มลงไปบนพื้น…
ปะ…เป็นไปได้อย่างไร? ความเจ็บปวดที่เกิดจากตับไตไส้พุงบิดวนอย่างรุนแรงนี่มัน…
หรือว่า…เขาก็ถูกวางยา?!
เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้สลับชามโจ๊กแล้วหรอกหรือ?
ปี้หนูยังมิทันได้นึก ยาพิษก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขารีบหยิบน้ำเต้าลูกเล็กออกมาจากอกเสื้อ
ยา…ยาถอนพิษ
ทว่า พิษของยานั้นรุนแรงยิ่งยวด มือของเขาสั่นเทิ้ม จนน้ำเต้าใบน้อยตกลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปยังบ่อปลาซึ่งไม่ได้เลี้ยงปลามานานแล้ว
ปี้หนูคลานไปอย่างยากลำบาก เขายื่นมือสั่นระริกออกไปเก็บ
กำลังจะเอื้อมถึงน้ำเต้ายา ทันใดนั้นเองก็มีรองเท้าปักดิ้นลายดอกไม้ข้างหนึ่ง เข้ามาเหยียบน้ำเต้าเอาไว้
ปี้หนูมองตามรองเท้าปักดิ้นขึ้นไป และถึงกับตกตะลึง นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
เขามาเจอคนผู้นี้ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
คนผู้นี้ไม่ได้…
“จะ…เจ้า…เจ้า…” ปี้หนูพยายามสุดชีวิต แต่กลับพบว่าตนมิอาจเปล่งเสียงออกมาจากลำคอได้
ริมฝีปากไร้สีเลือดฝาดของเจ้าของรองเท้าปักดิ้นดอกไม้ยกขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับมองดูประหนึ่งรอยยิ้มงดงามมีเสน่ห์
กร็อบ!
น้ำเต้าน้อยถูกรองเท้าปักดิ้นดอกไม้เหยียบจนแตก ยาถอนพิษกลิ้งลงไปในน้ำทีละเม็ดๆ
ปี้หนูโกรธจนเส้นเลือดดำแทบระเบิด พุ่งตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เจ้าของรองเท้าปักดิ้นค่อยๆ พับแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินจากไป
……
“ท่านแม่กลับมาแล้ว งานที่บ้านป้าจางเสร็จเร็วจัง” อวี๋หวั่นวางชามข้าวที่เพิ่งกินไปได้เพียงครึ่งเดียว
นางเจียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เสร็จแล้วละ”
อวี๋หวั่นเอ่ยถาม “ท่านแม่ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? ข้านึกว่าท่านแม่กินที่บ้านป้าจางมาแล้ว เลยไม่ได้รอ ท่านนั่งสิ ข้าจะไปตักมาให้”
“แม่ออกไปข้างนอก อาหวั่นดีใจมากเลยหรือ?” นางเจียงพูด
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อื้ม ท่านแม่ต้องออกไปเดินให้มากสักหน่อย ไม่ควรนั่งอุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวัน ที่จริงแล้ว ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก แต่ว่าท่านแม่ออกไปข้างนอก พบเจอผู้คน ผ่อนคลายสักหน่อยก็นับว่าดีแล้ว”
บนใบหน้าของนางเจียงแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อาหวั่นช่างเป็นเด็กที่เอาใจใส่ผู้อื่นดีจริงๆ”
……
เช้าตรู่วันต่อมา ศพของบุรุษผู้หนึ่งลอยอยู่ในบ่อปลาร้าง
อิ่งลิ่วเป็นคนแรกที่พบศพ เขารู้สึกว่าศพนี้ไม่ชอบมาพากลเท่าไรนัก หลังจากช้อนศพขึ้นมาแล้ว ก็นำกลับไปยังลานหลังบ้านตนเอง
ลุงวั่นปิดจมูกด้วยความสะอิดสะเอียน “เจ้าเอาของพรรค์นี้กลับมาบ้านได้อย่างไรกัน? ได้โชคร้ายกันพอดี!”
“คุณชาย คนผู้นี้คือชายเร่ร่อนที่เข้ามาขอทานในหมู่บ้านเมื่อวาน ตอนที่เขามายังดีๆ อยู่ แต่ตอนนี้…” อิ่งลิ่วพลิกดูเล็บของปี้หนู “เขาโดนยาพิษรุนแรง”
อิ่งสือซันก็มาตรวจดูอีกครั้ง “โดนยาพิษก่อนจะจมน้ำ”
ลุงวั่นกล่าวขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว เมื่อวานเขาไม่ได้ไปขอทานที่บ้านแม่นางอวี๋หรอกหรือ? แม่นางอวี๋ยังเชิญเขาเข้าบ้านอยู่เลยนี่”
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งมิได้มีท่าทีสนใจเท่าไร ครานี้กลับจ้องมองไปยังศพ ไม่รู้ว่าเขาเห็นสิ่งใด เขาหรี่ตาเล็กน้อย “ตรวจดูหน้าอกของเขา”
“ขอรับ!” อิ่งสือซันฉีกเสื้อออก เผยให้เห็นอกสีขาวซีดเนื่องจากแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ทว่าบนผิวหนังกลับมีตราไฟปีศาจสีน้ำเงินเข้มประทับอยู่
อิ่งสือซันผงะ “นี่มัน…”
อิ่งลิ่วคิ้วขมวด “เผ่าปีศาจหนานเจียง”
“ปะ…ปีศาจรึ?” ใบหน้าชราของลุงวั่นซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
อิ่งสือจึงซันอธิบายว่า “ไม่ใช่ปีศาจจริงๆ พวกเขารวดเร็ว ไปมาไร้ร่องรอย จึงเรียกว่าเผ่าปีศาจก็เท่านั้น”
ลุงวั่นรีบตบอกของตัวเอง “ข้ากลัวแทบตาย นึกว่าเจอเข้าจริงเสียแล้ว!”
อิ่งสือซันถามด้วยความสงสัย “คุณชาย คนจากเผ่าปีศาจมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน? เขามาหาแม่นางอวี๋ทำไม?”
อิ่งลิ่วเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าไปสืบความสักหน่อยดีหรือไม่?”
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า คล้ายกับกำลังใช้ความคิด แล้วหันไปชี้ไม้ชี้มือกับอิ่งสือซัน อิ่งสือซันจึงลากศพออกไปจัดการ
หากพูดถึงวิทยายุทธ์ อิ่งลิ่วเป็นรองอิ่งสือซัน แต่หากพูดถึงการสืบข้อมูล ผู้ที่จะเทียบชั้นอิ่งลิ่วได้นั้นหาได้น้อยนัก
เรื่องที่อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงเข้าเมืองหลวงไปนั้นเดาไม่ยาก สองพี่น้องออกไปจากหมู่บ้านแต่เช้า กว่าจะกลับถึงหมู่บ้านก็ค่ำแล้ว พวกเขาเดินทางไกล ทั้งยังมิได้นั่งเกวียนของซวนจื่อ เช่นนั้นก็คงจะเป็นสถานที่ซึ่งเกวียนไม่อาจไปถึง เมื่ออิ่งลิ่วพิจารณาถึงความสัมพันธ์กับผู้คนและกิจการการค้าของอวี๋หวั่นแล้ว ก็เหลือเพียงเมืองหลวงนั่นแล
ทว่าไปเมืองหลวงต้องเช่ารถม้า เมื่อวานสถานีรถม้าปิด จำต้องไปสถานีส่งสารเพียงที่เดียว อิ่งลิ่วไปสืบความจากสถานีส่งสาร จึงรู้ว่าทั้งสองเดินทางไปยังหอเทียนเซียงบนถนนเสวียนอู่
“คุณชาย” ยังไม่ถึงยามอู่ อิ่งลิ่วก็กลับมา “เป็นหอเทียนเซียง! เจ้าของหอเทียนส่งเขาให้ไปฆ่าคนขอรับ!”
……………………………………..