บทที่ 114 พี่จิ่วรังแกผู้อื่น โดย Ink Stone_Romance
“เหตุใดปี้หนูยังไม่กลับมาอีก? หายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว”
ณ หอเทียนเซียง สวี่เฉิงเซวียนยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วยความสงสัย มองไปยังถนนซึ่งมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสายอย่างร้อนรน
น้อยครั้งมากที่จะเขารู้สึกกระวนกระวายใจเช่นนี้ ผู้มีความสามารถซึ่งอยู่ใต้อาณัติของเขานั้นมีมาก แต่ไม่มีผู้ใดเทียบปี้หนูได้ เมื่อปี้หนูออกโรง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม ปี้หนูไม่ยอมกลับมาสักที จนเขารู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณชาย นี่ก็มิใช่ครั้งแรกที่ปี้หนูออกไปเถลไถล” บุรุษฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาเอ่ยขึ้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวี่เฉิงเซวียน พวกเขาติดตามสวี่เฉิงเซวียนมานานยิ่งกว่า แต่กลับมิได้มีความสำคัญเท่าปี้หนู หากกล่าวว่าไม่รู้สึกอิจฉาริษยาก็จะเป็นการโกหก ทว่าสิ่งที่พวกเขาบอกนั้นเป็นเรื่องจริง
ปี้หนูหายตัวไปเป็นครั้งคราว หลังจากหายไปพักหนึ่งก็จะกลับมาโดยไร้รอยขีดข่วน และทำงานให้กับสวี่เฉิงเซวียนตามเดิม
สวี่เฉิงเซวียนมิใช่ไม่เคยสงสัย ทว่าปี้หนูไม่บอก เขาเองก็จนปัญญา เขามักจะใจกว้างเป็นพิเศษกับลูกน้องที่มีความสามารถ
เพียงแต่ครั้งนี้…
บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าปี้หนูไม่ได้หายไปเที่ยวเล่นที่ไหน แต่ว่าเขา…
สวี่เฉิงเซวียนส่ายหน้าทันทีที่คำว่า ‘ไม่กลับมา’ ผุดขึ้นในสมองของเขา
เป็นไปไม่ได้หรอก ปี้หนูไม่มีทางทำให้เขาผิดหวัง
“ท่านเจ้าของ! ท่านเจ้าของ!”
ผู้จัดการหวังจับชายเสื้อของตนวิ่งขึ้นมาชั้นบน
สวี่เฉิงเซวียนกำลังหงุดหงิด เมื่อผู้จัดการหวังส่งเสียงเอะอะโวยวาย ก็ยิ่งทำให้โทสะพลุ่งพล่าน “มีอะไร?!”
ในตอนนี้ผู้จัดการหวังมิได้ใส่ใจสีหน้าย่ำแย่ของเจ้าของภัตตาคารแล้ว “ท่านเจ้าของ เกิด…เกิดเรื่องแล้ว! ท่านรีบลงมาดูเถิดขอรับ!”
สวี่เฉิงเซวียนพูดอย่างหมดความอดทนว่า “เรื่องอะไร พวกเจ้าจัดการกันเองไม่ได้รึ? ต้องมาให้ข้าไปดูด้วยตัวเอง?”
ผู้จัดการหวังเหงื่อกาฬแตกพลั่ก “ปะ…เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ขอรับ…”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากห้องโถง
ความโกรธพาดผ่านใบหน้าหวานดุจสตรีของสวี่เฉิงเซวียน เขาเดินลงไปชั้นล่างด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
บรรดาลูกค้าในห้องโถงตกใจกลัวและหนีไปหมดแล้ว ทั้งยังมีคนที่ไม่ได้ตกใจกลัว แต่ก็ออกไปเช่นกัน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องดี ที่พวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินค่าอาหาร
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันทำลายห้องโถงใหญ่จนแหลกลาญ เสมียนและยามซึ่งเข้ามาให้ทั้งสองอุ่นเครื่อง ล้วนถูกจัดการจนลงไปนอนกองบนพื้น
สวี่เฉิงเซวียนกำหมัดแน่น “ผู้ใดกัน? กล้ามาสร้างความวุ่นวายในหอเทียนเซียง!”
เพล้ง!
อิ่งสือซันเตะโถเหล้า มันบังเอิญไปกระแทกกับคานเหนือศีรษะของสวี่เฉิงเซวียนพอดิบพอดี เศษซากของโถร่วงกราวลงมาใส่สวี่เฉิงเซวียน
บุรุษฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ด้านหลังของสวี่เฉิงเซวียนก็พุ่งออกไปพร้อมกับรังสีอำมหิต
“เจ้าหน้าขนสองตัวกล้ามาสร้างความวุ่นวายในหอเทียนเซียง คอยดูนายท่านจะอัดเจ้า…” หนึ่งในบุรุษร่างใหญ่พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกอิ่งสือซันถีบจนปลิวไปเสียแล้ว
เขาลอยไปกระแทกกับบุรุษร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่ง ทั้งสองถูกแรงกระแทกจนกระเด็นไปตกลงบนบันไดอย่างแรง จนทำให้บันไดหักลงมา
สวี่เฉิงเซวียนเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เขากำหมัด “เป็นผู้ใด? เอ่ยนามมาเดี๋ยวนี้?”
“เอ่ยนามไปแล้วเจ้ากล้าฟังหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาไขว้มือไว้ด้านหลัง แล้วก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา
เขาสวมผ้าคลุมสีเงิน ผมดำขลับดุจน้ำหมึก ผิวขาวดุจหยก ดูประหนึ่งธารแสงจันทร์สาดส่องลงมาในซากปรักหักพัง
องคาพยพบนใบหน้าของเขางดงามกว่าสวี่เฉิงเซวียนสักสามส่วนเห็นจะได้ แต่ไม่มีลักษณะของอิสตรีเยี่ยงสวี่เฉิงเซวียน ในทางกลับกัน เขามีรัศมีของความองอาจผึ่งผายที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใส
ความตระหนกพาดผ่านนัยน์ตาของสวี่เฉิงเซวียนแวบหนึ่ง “เจ้าคือ…”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ชื่อคุณชายอย่างข้า”
“คุณชาย?” สวี่เฉิงเซวียนนึกถึงคุณชายผู้ซึ่งทำให้คนทั้งเมืองหลวงปวดเศียรเวียนเกล้าได้ทันที ทว่ามาคิดอีกทีก็เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้มีความแค้นกับคุณชายเยี่ยน คุณชายเยี่ยนจะมาถล่มภัตตาคารของตนได้อย่างไร?
สวี่เฉิงเซวียนตั้งสติ ดูจากสถานะของเขาแล้ว คนทั้งเมืองหลวงย่อมไม่มีผู้ใดกล้าตอแยด้วย นอกเสียจากว่าคนผู้นี้จะเป็นคุณชายเยี่ยนจริงๆ
“หึ” สวี่เฉิงเซวียงยังคงทระนง แม้แต่หลังก็ยังเหยียดตรง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“อ่า” เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วอย่างไม่ได้ใส่ใจ บ่งบอกว่าเขารู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่มาหรอก “หากเจ้าหักแขนตนเอง ข้าจะไว้ชีวิตหมาอย่างเจ้า”
มะ…หมารึ?
สวี่เฉิงเซวียนใบหน้าแดงก่ำ “มีอย่างที่ไหนกัน! ได้ ข้าก็ไม่กลัวที่จะบอกความจริง ลูกพี่ลูกน้องของข้าคือองค์ชายรอง ท่านอาของข้าคือสวี่เสียนเฟยผู้ครองอำนาจในวังหลวง! รู้แล้วก็คุกเข่าเสีย คำนับข้าสามครั้งข้าก็จะยินดียิ่ง ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมยกโทษให้จะ…อ๊ากกกก”
อิ่งสือซันตบเขากระเด็นในฉาดเดียว!
“ให้คุณชายคำนับเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะอายุสั้นลงน่ะสิ!”
พูดจบ ฝ่ามือครั้งที่สองก็ฟาดออกไป!
ทว่าครั้งนี้ มือของอิ่งสือซันยังไม่ทันแตะลงบนใบหน้าของสวี่เฉิงเซวียน เงาสีดำก็พุ่งเข้ามา คว้าร่างของสวี่เฉิงเซวียนออกไป เขาแตะปลายเท้าลงบนตู้ด้านหน้า
“จวินฉางอัน?” อิ่งสือซันจดจำผู้มาใหม่ได้
จวินฉางอันปล่อยสวี่เฉิงเซวียนลง หันหลังไปทางประตูใหญ่แล้วยกมือขึ้นคำนับ “ฝ่าบาท”
เป็นองค์ชายรองของรัชศกนี้ เยี่ยนไหวจิ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้สวมหมวกสาน หากแต่เปิดเผยใบหน้าอันสูงส่งงดงาม
เขาก้าวข้ามธรณีประตู เอ่ยถามด้วยสีหน้าขึงขัง “ไม่ทราบว่าคุณชายสกุลสวี่ก่อเรื่องอันใด ทำให้ลูกพี่ลูกน้องเยี่ยนต้องลงมืออย่างรุนแรงเช่นนี้?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างโอหัง “ข้ารังแกคน ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
สวี่เฉิงเซวียนตะลึงงัน ท่านพี่เรียกเขาว่าลูกพี่ลูกน้อง เขายังกล้ากำแหง หรือว่าเขาจะเป็นโอรสคนเดียวของเยี่ยนอ๋อง ผู้ซึ่งกล้าวิวาทแม้แต่กับองค์ชาย…
“ท่านพี่!” สวี่เฉิงเซวียนกระวีกระวาดไปอยู่ข้างกายเยี่ยนไหวจิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงกล่าวว่า “ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม หากเจ้าหักแขนตนเอง ข้าจะไว้ชีวิตหมาอย่างเจ้า”
สวี่เฉิงเซวียนทำใจดีสู้เสือ “เจ้า…เจ้ากล้ามาก! พี่ข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก! เจ้าด่าว่าข้าเป็นหมา…ชะ…เช่นนั้น…สวี่เสียนเฟยที่มีสายเลือดเดียวกับข้า จะเป็นอะไรเล่า?”
“สนมหมา?” เยี่ยนจิ่วเฉาครุ่นคิด
อุก ฮ่าๆๆ
ผู้จัดการหวังซึ่งหลบอยู่ด้านหลังตู้ถึงกับหัวเราะพรวดออกมา
บัดนี้สวี่เฉิงเซวียนอับจนหนทางที่จะจัดการเขา จึงหันไปพูดกับเยี่ยนไหวจิ่ง “ท่านพี่ เขาดูหมิ่นท่านป้า ไม่ได้เห็นท่านอาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!”
เยี่ยนไหวจิ่งกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “หากเขาทำผิด ข้าจะพากลับไปสั่งสอนเอง มิต้องลำบากน้องเยี่ยนลงมือ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “ย่อมไม่ได้ ข้าทำงานจำต้องทำให้สำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรังแกคนครึ่งๆ กลางๆ แล้วปล่อยหนีไป”
ดวงตาของเยี่ยนไหวจิ่งพลันถมึงทึงขึ้นทันที “ดูแล้ว ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็คงจะไม่ไว้หน้าไหวจิ่งเลยใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงหัวเราะ “ท่านพ่อเจ้าข้ายังไม่ไว้หน้า หากจู่ๆ วันนี้ไว้หน้าเจ้าขึ้นมา นั่นจะมิได้หมายความว่าเจ้าหน้าใหญ่กว่าฮ่องเต้หรอกหรือ? ถึงข้าจะยินดีไว้หน้าเจ้า แต่เจ้าจะยอมให้เป็นเช่นนั้นรึ?”
เยี่ยนไหวจิ่งข่มโทสะได้เสมอมา แต่ครั้งนี้เขาโมโหเหลือเกิน
“ลงมือ” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
อิ่งสือซันพุ่งเข้าหาสวี่เฉิงเซวียน
“ฉางอัน!”
ทันทีที่เยี่ยนไหวจิ่งออกคำสั่ง จวินฉางอันชักดาบและพุ่งตัวออกไป
ทั้งสองประลองวิชากันอย่างดุเดือด
จวินฉางอันเป็นนักดาบคนแรกในสังกัดของเยี่ยนไหวจิ่ง วิทยายุทธ์สูสีกับอิ่งสือซัน กระนั้น ก็ยังมีอิ่งลิ่วไม่ใช่หรือ?
อิ่งลิ่วถือโอกาสที่จวินฉางอันกำลังติดพันอยู่ในการต่อสู้ ลอบโจมตีสวี่เฉิงเซวียน เยี่ยนไหวจิ่งสายตาเย็นเยียบ ฟาดฝ่ามือไปยังอิ่งลิ่ว!
ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีเงินก็พุ่งออกมาจากมือของเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนไหวจิ่งพลันหดฝ่ามือกลับไปตามสัญชาตญาณ
สวบ!
‘ลำแสงสีเงิน’ พุ่งจากด้านข้างของเยี่ยนไหวจิ่ง ข้ามกำแพง วนไปรอบเสาด้านบนของอีกห้องหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาใช้มือดึงเบาๆ เสาต้นใหญ่ก็หักออกเป็นสองท่อน
‘ลำแสงสีเงิน’ กลับไปยังกล่องขนาดพอดีมือของเยี่ยนจิ่วเฉา
“กล่องเชียนจี?” เยี่ยนไหวจริงประหลาดใจ “เจ้าเป็นคนจัดการเชียนจีเก๋อรึ?”
“ของรางวัลชิ้นนี้ไม่เลว” เยี่ยนจิ่วเฉากระชับของล้ำค่าในมือ ประหนึ่งยืนยันสิ่งที่เยี่ยนไหวจิ่งคาดคะเน
เยียนไหวจิ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ที่กำจัดเชียนจีเก๋อเสียราบคาบจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา มิได้คาดคิดยิ่งกว่าเขาจะยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ ทั้งยังยอมรับอย่างเปิดเผยอีกด้วย!
เยี่ยนไหวจิ่งไม่มีกะจิตกะใจนึกสงสัยว่าเขาทำไปเพราะเหตุใด ข่าวลือเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนบ้า คนบ้าทำสิ่งใด จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?
จะว่าไปแล้ว กล่องเชียนจีเป็นสิ่งล้ำค่าของเชียนจีเก๋อ เป็นอาวุธที่ร้ายกาจและคาดเดายากที่สุดในใต้หล้า ลำแสงสีเงินดุจเส้นไหมเมื่อครู่ช่างไร้เทียมทาน ตัดเหล็กได้ประหนึ่งตัดดินเหนียว
เมื่อครู่หากเขาช้าไปอีกนิดเดียว มือของเขาก็คง…ถูกตัดไปเสียแล้ว
“เยี่ยน! จิ่ว! เฉา!”
“อ๊ากกกกก”
ทันทีที่เขากล่าวออกไป ก็มีเสียงร้องลั่นอย่างน่าเวทนาของสวี่เฉิงเซวียนดังมา เขาหันไปตามเสียง ก็พบว่าสวี่เฉิงเซวียนถูกอิ่งลิ่วจับเอาไว้เสียแล้ว
การเคลื่อนไหวของอิ่งลิ่วรวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็หักแขนขวา และขาขวาของเขา
“มิใช่หักแขนเพียงข้างเดียวหรอกรึ?” เยี่ยนไหวจิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เยี่ยนจิ่วเฉายักไหล่อย่างไร้เดียงสา “คำพูดเดิมของข้าก็คือหักแขนตนเอง เขาหักแขนตัวเองเพียงหนึ่งข้าง แต่หากให้ข้าทำ ข้าก็ย่อมต้องคิดค่าดำเนินการอีกเล็กน้อย”
“ท่านพี่” เมื่อตะโกนคำนี้ออกไป สวี่เฉิงเซวียนก็หมดสติทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาหันหลังกลับอย่างสบายอารมณ์ แล้วเดินออกจากหอเทียนเซียง
อิ่งสือซันถอยหลังทันที และไปสมทบกับอิ่งลิ่ว ตามคุณชายบ้านตนออกไป
เยี่ยนไหวจิ่งมองด้านหลังของเยี่ยนจิ่วเฉา กำหมัดเสียงดัง ‘กร็อบ’ กล่าวว่า “ถล่มหอเทียนเซียง ทำร้ายคุณชายสวี่ แล้วเจ้าจะไปทั้งอย่างนี้หรือ?”
“ก็จริง ไม่ควรไปทั้งอย่างนี้” เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดฝีเท้าลง แล้วส่งสัญญาณมือไปทางอิ่งสือซัน
อิ่งสือซันจึงง้างฝ่ามือไปด้านหลัง
ป้ายสีทองของหอเทียนเซียงถูกตัดเป็นสองท่อน ร่วงหล่นลงบนพื้น ฝุ่นตลบอบอวล
………………………………….