บทที่ 129 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 129 วิกฤตโรงแรม (3)

             เข็มสั้นและเข็มยาวมาบรรจบกันก่อนเลขสิบเอ็ด อี้เป่ยซีบริหารไหล่ของเธอ เห็นเวลาบนนาฬิกาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ชื่นชมตัวเองอย่างจริงจังทันใดกับการจมอยู่ในโลกส่วนตัวจนลืมทุกอย่างแบบนี้

            ชงชาเสร็จแล้วก็เดินถือออกไปที่ระเบียง สายลมยามราตรีเย็นสบายมาก น่ารื่นรมย์จนชวนให้ยิ้ม เธอเกาะอยู่ที่ราว ทันใดนั้นก็นึกถึงชายหญิงในซีรี่ย์เรื่องหนึ่ง ค่ำคืนนั้นก็คงน่าพอใจแบบนี้เหมือนกัน ดวงจันทร์กลมโตและอ่อนโยน นางเอกที่จมอยู่ในความคิดพิงอยู่ที่ระเบียงของตัวเอง และเห็นคนที่ตัวเองชอบยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเหนือความคาดหมาย

            ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน อี้เป่ยซีจิบชา ป่ากลายเป็นส่วนใหญ่ของภาพที่มืดมนในเวลากลางคืน ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ในนั้น

            สิ่งที่รั้งพวกเขาไว้คือครอบครัวและเวลา แล้วสิ่งที่รั้งเธอไว้ล่ะ

            ลั่วจื่อหานไง! เธอหาเหตุผลให้ตัวเองทั้งโกรธทั้งมีความสุข มือตบอยู่บนราว

            มันเทียบกันไม่ได้ ทำไมพระเอกถึงร้องเพลงรักอยู่ข้างล่างโดยที่ไม่กลัวอะไรเลย แต่กลับไม่มีแม้เงาของลั่วจื่อหาน

            สมน้ำหน้าแล้วที่นายเป็นโสด

            ดื่มชาอีกคำอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะไอสำลัก

            “ลั่วจื่อหาน นาย เฮ้อ ยอมแพ้ทั้งๆ แบบนี้เหรอ? ไม่มีความพยายามเอาซะเลย” เธอพิงอยู่ที่ราว เงยหน้าขึ้นทองดูดวงดาวเต็มท้องฟ้า มันกระพริบใส่เธออย่างสนุกสนาน

            วันนี้เหมือนกับว่าอารมณ์ไม่เลวนะ เธอรู้สึกได้ว่าผมถูกลมพัดและสัมผัสกับใบหน้าแผ่วเบา ชายกระโปรงก็พริ้วไหวเล็กน้อย เต้นรำอยู่บนน่อง เธอหลับตาลงช้าๆ สูดหายใจลึกเพื่อรับรู้ถึงความเงียบสงบยามราตรี

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความง่วงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง อี้เป่ยซีกลับหลังหันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สบสายตากับคนที่อยู่ข้างล่างพอดี ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ใกล้กันมาก แต่ว่าอี้เป่ยซีมั่นใจมากว่าตัวเองเห็นความคิดถึงอันบ้าคลั่งภายใต้ดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้น

            ทั้งสองคนสบตากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครพูดอะไร และไม่มีใครอยากจากไปไหน โครงร่างที่คุ้นเคยอยู่แล้วยิ่งสลักชัดเจนอยู่ในดวงตาของทั้งสองฝ่าย พื้นหลังสะอาดและแจ่มชัด

            อี้เป่ยซียิ้มพร้อมวางศอกลงบนราว เท้าคางมองผู้ชายคนนั้นอย่างสนอกสนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือบนตัวขึ้นมาโทรหาเขา ลั่วจื่อหานแปลกใจในตอนแรก รับสายด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย เขาราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

            “ฮ่าๆ” อี้เป่ยซีดูเหมือนอารมณ์ดีมาก ดวงตาโก่งงอเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าในตอนนี้ “ประธานลั่วนี่น่าสนใจจริงๆ”

            ลั่วจื่อหานเม้มปาก ฟังเสียงของเธอ

            “ดึกแล้วไม่ไปอยู่กับคุณหนูหวังคนนั้นกับน้องสาวของนายเหรอ?”

            “เป่ยซี”

            “ฉันนึกว่าคุณลั่วจะพูดไม่เป็นแล้วซะอีก อยากพูดอะไร ฉันฟังอยู่”

            เสียงหายใจเบาๆ ของเธอดังมาจากโทรศัพท์ สายลมพัดผ่าน ทันใดนั้นลั่วจื่อหานรู้สึกว่าอี้เป่ยซีกำลังนั่งหายใจอยู่ข้างเขาจริงๆ ด้วยท่าทางเกี่ยงงอน ขมวดคิ้วรอคำอธิบายจากเขาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรเลย ได้แต่ฟังเสียงลมหายใจของเธอ

            “ทำไมถึงไม่พูดอีกแล้วล่ะ?”

            “ถ้า เธอไม่อยากเจอฉัน ฉันจะไปก็ได้ รับรองว่าจะไม่โผล่มาอีก” เสียงที่ไม่ได้พูดออกไปนั้น ลั่วจื่อหานเองก็ไม่รู้ จู่ๆ ความโมโหของอี้เป่ยซีก็แล่นขึ้นสมองอีกครั้ง เธอพูดอย่างเย็นชา

            “มาเพียงเพื่ออวดความรักครั้งใหม่ใช่ไหม ประธานลั่วนี่สุดยอดจริงๆ ข้าน้อยอี้ขอชื่นชม”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะขมขื่น รู้สึกไม่ค่อยอยากวางสาย เอามือใส่ในกระเป๋า หันหลังไปอย่างอ้างว้างเล็กน้อย ได้ยินผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังตะโกนอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์

            “ลั่วจื่อหานถ้านายกล้าไปล่ะก็ ต่อไปก็อย่าคิดจะเจอหน้าฉันอีก” เธอเบิกตากว้าง ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย สองมือจับราวแน่น หน้าอกก็กระเพื่อมด้วยความโกรธ เธอกดโทรออกอีกรอบ

            “ฉันโกรธไม่ได้หรือไง ถ้านายทนเรื่องขี้น้อยใจข้อนี้ไม่ได้ล่ะก็ต่อไปจะทำยังไง? ฉันไม่ได้ให้นายไปคืนดีกับคุณหนูหวังสักหน่อย นายเก่งเหลือเกินนะ แค่สะบัดหน้าก็ไปแล้ว ขอร้องล่ะ ตกลงว่าใครทำผิดกันแน่ ทำไมทำเหมือนกับว่าฉันบังคับนายยังงั้นแหละ”

            “ถ้านายยังกล้าเดินไปอีกก้าวล่ะก็ ฉันจะหลบหน้านายตลอดไปจริงๆ นะ”

            “หา นายเป็นคนผู้ชายที่ระวังตัวจริงๆ ฉันจะ…” อี้เป่ยซีพูดพล่ามอีกชุดใหญ่ มือของลั่วจื่อหานกำโทรศัพท์มือถือแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในสมองทบทวนคำว่า ‘ต่อไปจะทำยังไง’ ที่เธอพูดเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา

            ‘เขากับเธอยังมีอนาคตงั้นเหรอ?’ เมื่อคิดถึงตรงนี้หมอกควันที่มีอยู่ตลอดเวลาก็จางหายไป แววตาเปี่ยมด้วยความรัก

            “ทำไมนายถึงไม่พูดอะไร?” อี้เป่ยซีพูดจนคอแห้งเล็กน้อยแล้ว แต่ว่าคนอีกฟากไม่พูดอะไรเลยสักคำ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

            “ทนสักหน่อยต่อไปจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข”

            อี้เป่ยซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอกกลับด้วยคำพูดของเธอเอง ไม่รู้ว่าต้องพูดต่ออย่างไรไปชั่วขณะ ใบหน้าแดงก่ำ “หน้าไม่อาย ใครจะไปต่อกับนาย นายอยากไปหาใครก็ไปหาสิ”

            “เมื่อกี้มีคนบอกว่าถ้าฉันไปแล้วก็จะไม่เจอฉันอีกไม่ใช่เหรอ?”

            “นาย…” เธอเงยหน้ามองแสงจันทร์ ยิ้ม “ใช่แล้ว ฉันพูดเอง แล้วไงเหรอ”

            ลั่วจื่อหานก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะยอมรับตรงๆ แบบนี้ มองเธอที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องลงบนใบหน้าเงียบๆ โพล่งออกมา “เป่ยซี ฉันอยากกอดเธอจังเลย”

            ครั้งนี้ถึงตาอี้เป่ยซีมีความสุขบ้าง เธอหัวเราะนิดหน่อยแล้วก็เก็บอาการ “แค่ก ไม่ได้ เมื่อกี้ใครจะมาล่ะ?” พูดจบคนคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก โทรศัพท์มือถือยังอยู่ข้างหู ในสายตามีเพียงอีกฝ่าย

            ‘ลั่วจื่อหานนายรู้หรือเปล่า ฉันก็อยากกอดนายเหมือนกัน’

            “ดึกมากแล้ว นายกลับไปเถอะ ฉันต้องพักผ่อนแล้ว”

            ผ่านไปเนิ่นนานทางนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง ลั่วจื่อหานตอบว่าโอเคแผ่วเบา อี้เป่ยซียิ้มอย่างลึกลับแล้ววางสาย มองดูลั่วจื่อหานเหมือนกับอยากให้เขาอยู่ต่อ เมื่อเห็นว่าเขาก็ไม่มีความต้องการที่จากไป ทั้งสองคนก็สบตากันอีกพักใหญ่ และเห็นว่าลั่วจื่อหานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้ง

            “อาลัยอาวรณ์ฉันเหรอ?”

            “ฉันรอเธอเข้าไป”

            “ฉันยังอยากดูนายจากไปนี่นา” อี้เป่ยซีหัวเราะ “น่าเสียดายจริงๆ ฉันไม่มีกุญแจ นายขึ้นมาไม่ได้ งั้นฉันก็จะใจกว้างหันหลังให้นายก็แล้วกัน” เธอหันหลังเข้าไปในห้อง แต่กลับมีเสียงสวบๆ ดังขึ้นมาจากอีกฝ่าย    “ฮัลโหล ลั่วจื่อหาน ฮัลโหล” เธอมองหน้าจอ เห็นภาพว่ากำลังเชื่อมต่อ แต่ว่ากลับไม่ได้ยินเสียงคนตอบรับ

            “ลั่วจื่อหาน ถ้านายไม่พูดอีกฉันจะโมโหแล้วนะ”

            “โมโหง่ายจริงๆ เลย” อี้เป่ยซีกระพริบตา ทำไมถึงรู้สึกว่ามีสองเสียงล่ะ ไม่ทันรอให้เธอตอบสนอง เธอก็เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นที่ระคนกลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ของคืนแห่งฤดูร้อนแล้ว

            เธอดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของลั่วจื่อหาน “ฉันยังโกรธอยู่นะ อย่าทำอะไรส่งเดช”

            ‘ใครให้นายปีนขึ้นมานะ สูงขนาดนี้เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก โตป่านนี้แล้วทำอะไรไม่รู้จักแยกแยะหรือไง’ อี้เป่ยซียิ่งคิดยิ่งโมโห

            “ลั่ว…หา นายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันลงนะ” ลั่วจื่อหานช้อนอุ้มเธอขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักของเธอ ขมวดคิ้ว

            “กินข้าวไม่อิ่มเหรอ?”

            “ฉันชอบผอมๆ ไม่ได้หรือไง นายจะทำอะไร?”

        เขาหัวเราะเสียงต่ำ “จะนอน”

————