ตอนที่ 178 สามีจีบเจ้าเพียงคนเดียว

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

บ้าเอ๊ย

 

 

สีหน้าของเยี่ยเม่ยแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง

 

 

ก่อนหน้านี้ทำไมนางไม่รู้เลยว่า บุรุษผู้นี้จีบสาวเก่งกาจนัก คำพูดเดียวก็ทำให้นางหน้าแดงใจสั่น ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ตรงไหนแล้ว

 

 

เมื่อถูกบังคับให้หันหน้ากลับมามองตรงๆ สายตาอยู่ที่หน้าอกของเขา

 

 

ได้แต่กลอกตาไปซ้ายขวา คิดด่าว่าคนอยู่ในใจ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมเห็นแววตาหลบเลี่ยงและขัดเขินของนาง แววตาของเขาทอประกายสนุกสนาน คิดไม่ถึงว่าสตรีเย็นชาเข้มแข็งอย่างเยี่ยเม่ย ก็มีด้านที่หวาดกลัวเช่นกัน

 

 

นี่ทำให้ประกายขบขันในดวงตาของเขาทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะยามที่มองหน้าบึ้งของนาง

 

 

เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยคล้ายกับแมวที่ถูกเหยียบหาง

 

 

ถลึงตากว้าง จ้องใบหน้าหล่อร้ายเบื้องหน้า แก้ตัวเสียงเย็น “ข้าหน้าแดงแล้วหรือ ใช่หรือ ไม่มีสักหน่อย”

 

 

ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่เยี่ยเม่ยรู้สึกใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว คล้ายเป็นไข้สูงก็ไม่ปาน ความร้อนสูงจนไม่อาจดูแคลน ทำให้นางที่กำลังบ่ายเบี่ยง ร้อนรนเป็นพิเศษ

 

 

ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยหน้าแดงบ่ายเบี่ยง ขัดเขินจนไม่กล้ายอมรับ ท่าทางเช่นนี้ยิ่งชวนให้คนสงสารหลงรัก

 

 

เปลวเพลิงลุกโชนในดวงตาเขา สบตากับนาง คล้ายกับจะจุดไฟบนกายเยี่ยเม่ย มองเสียจนหญิงสาวทำตัวไม่ถูก ทั้งรับรู้ถึงความอันตรายจากเบื้องลึก

 

 

ในขณะที่แผ่นหลังเย็นวูบวาบ น้ำเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มมีเสน่ห์สุดจะอธิบายออกมาได้ กระซิบข้างหู “ฮูหยิน อยากทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับสามีสักหน่อยหรือไม่”

 

 

 “ไร้ยางอาย”

 

 

เยี่ยเม่ยฟาดมือใส่หัวเขา ปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเป็นอย่างมาก

 

 

ใบหน้าแดงก่ำ นับตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ไม่ลดลงเลย

 

 

ในใจได้แต่ลอบคั่งแค้นที่ตัวเองหน้าบางเกินไป ไม่หน้าด้านไร้ยางอายในเรื่องประเภทนี้เลยสักน้อย ถึงชักนำให้ตกเป็นฝ่ายถูกกดดัน

 

 

ขายหน้านัก

 

 

ฝ่ามือตบบนหัวเขาแรงไม่เบา เขายังสงสัยว่าหัวตัวเองถูกตีจนปูดบวม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพรูลมหายใจยาว คว้ามือเล็กๆ ที่เตรียมเคาะหัวเขาอีก น้ำเสียงน่าฟังเอ่ย “ฮูหยิน เกี้ยวพาราสีไม่ทำแบบเจ้านี่ ลงมือไม่ควรหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นจะหมดความสนุกแล้ว”

 

 

ยามเขาเอ่ยประโยคนี้ สีหน้าซุกซนเต็มไปด้วยความหยอกเย้าและขบขันอย่างเห็นได้ยากยิ่ง

 

 

เยี่ยเม่ยยามนี้ถลึงตากลมโต จ้องบุรุษหน้าเหม็น กัดฟันเอ่ย “ใครจะเกี้ยวพาราสีกับท่านกัน ข้าอยากตบท่านจริงๆ เท่านั้น”

 

 

 “ฮูหยิน อย่าปากไม่ตรงกับใจ”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฝืนอธิบาย การตีของเยี่ยเม่ยเป็นการเกี้ยวพาราสี จากนั้นก้มหน้าลงจูบหญิงสาวหนักๆ โดยไม่พูดไม่จา

 

 

คล้ายกับพายุฝนโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน ฉกฉวยน้ำหวานล้ำในโพรงปากของเยี่ยเม่ยอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ยามนี้เยี่ยเม่ยถูกจูบจนมึน ปากแห้งไปหมด ร่างกายเริ่มรุ่มร้อน เสี้ยวเวลานี้จะเกี้ยวพาราสีหรือว่าตบเขาจริงๆล้วนลืมเลือนไปสิ้น

 

 

นางละเลยปัญหาข้อหนึ่งไปเสียสนิทใจ

 

 

วันนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเรียกขานนางคำเดียวอยู่ตลอด

 

 

 “ฮูหยิน”

 

 

คำเรียกนี้เพิ่งถูกใช้มาไม่นาน นางรู้สึกว่าออกจะหญิงสาวเกินไป จึงดึงดันจะปฏิเสธคำเรียกนี้ให้ได้ วันนี้เขาเรียก “ฮูหยิน” ครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลับไม่รู้สึกน้ำเน่าหรือขนลุก แต่ฟังแล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก

 

 

เยี่ยเม่ยยามนี้คิดอยากด่าคนอีกครั้ง

 

 

นี่นางโดนของแล้วหรือเปล่า

 

 

ในห้วงความสงสัย น้ำเสียงแฝงความขบขันของเขาดังขึ้น “ฮูหยิน เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว”

 

 

เพียงแต่ยามมองเยี่ยเม่ยเหม่อลอย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับรู้สึกว่านางน่ารักมาก

 

 

เยี่ยเม่ยได้สติกลับมา มองเขาอย่างป้องกัน เสียงเย็นชาเอ่ยปาก “เจ้ายังคิดเกาะอยู่บนตัวข้าไปอีกนานเท่าไหร่ เจ้าจะออกไปเมื่อไหร่”

 

 

เยี่ยเม่ยค้นพบแล้ว ความผิดปกติทั้งหลายของนาง ไม่แน่เกิดจากที่ทั้งสองใกล้ชิดกันเกินไป ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์

 

 

หากเขาลุกขึ้น บางทีนางอาจจะไม่อ่อนแอขนาดนี้

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ กลับไม่รู้ตัวว่าสะกิดถูกเส้นสมองส่วนไหนของเขาก็ไม่ทราบ เขาพลันก้มหน้าลงมา ขบปลายจมูกนางเบาๆ หยอกเย้า ทำเอาเยี่ยเม่ยชาวูบไปทั้งกาย

 

 

ส่วนน้ำเสียงของบุรุษหน้าไม่อายผู้นี้ดังขึ้นข้างหูนางอย่างรวดเร็ว “ยากนักที่ฮูหยินจะขวยเขิน สามีก็ต้องตักตวงหลายคำหน่อย”

 

 

 “ปึ้ง”

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าสมองของนางในยามนี้คล้ายมีอะไรระเบิดออกมาแล้ว

 

 

นางรู้สึกว่าตัวเองคล้ายอยู่ในการ์ตูน ทั้งรู้สึกว่าใบหน้านางแดงก่ำคล้ายควันจะพวยพุ่งออกมา นางหน้าแดงมองบุรุษเบื้องหน้า มุมปากกระตุก เอ่ยด้วยเสียงเย็น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าจีบสตรีอยู่เรื่อยใช่หรือไม่”

 

 

ไฉนถึงมีประสบการณ์ขนาดนี้

 

 

ครั้นนางเอ่ยออกมา เขาขบจมูกนางเบาๆ อีกครั้ง เอ่ยเนิบช้า “ข้าจีบเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งเคยจีบแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”

 

 

ทั้งสองประโยคมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ทว่าความหมายไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

 

 

หลังจากเขาเอ่ยประโยคนี้ เยี่ยเม่ยไม่รู้เป็นอะไร หัวใจสั่นไหว ยามนี้เกิดความหวานล้ำยากอธิบายได้

 

 

รอจนนางได้สติกลับมา ลำคอรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ทำให้นางรู้ว่าที่คอของตนถูกบุรุษผู้นี้ฝังรอยเอาไว้แล้ว

 

 

ยามนี้เยี่ยเม่ยหมดปัญญา “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ายังต้องออกไปข้างนอกนะ ท่านทำเช่นนี้แล้วข้าจะเปิดคอออกไปข้างนอกได้อย่างไร”

 

 

ครั้งก่อนตอนเขาทำ นางยังรู้สึกประหม่า

 

 

ยังดีที่ครั้งก่อนรอยไม่ชัด นางกลับไปทายา เช้าวันที่สองจางไปมาก ทว่าเขาฝังรอยเข้มขนาดนี้ คงไม่เลือนได้ง่ายๆ

 

 

 “ก็อยากให้เป็นเช่นนี้ คนทั้งหมดจะได้รู้ว่าฮูหยินเป็นดอกไม้ที่มีเจ้าของแล้ว” ดวงตาคู่ร้ายมองนาง เผยแววขบขันลึกๆ แสดงความเย็นเยียบชั่วร้ายออกมา

 

 

เยี่ยเม่ยพลันเข้าใจ ยื่นมือชี้บุรุษเจ้าเล่ห์ตรงหน้า “ท่านจงใจนี่”

 

 

นางชี้นิ้วใส่เขา นิ้วมือถูกเขากัดไว้ทันที ทั้งยังใช้ลิ้นเลียเบาๆ อีกด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง รีบชักนิ้วมือกลับมา นางเข้าใจแล้ว ในยามนี้ทำอะไร ก็ไม่ดีต่อตัวเองทั้งนั้น เป็นไปได้ว่าจะยิ่งถูกจีบหนักไปมากกว่านี้

 

 

ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยามนี้ กลับไม่ตอบข้อสงสัยของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงอ่อนโยนเผยอารมณ์ขบขัน ดังขึ้น “ฮูหยินฉลาดจริงๆ จนทำให้สามีแปลกใจนัก สามีหวังว่าฮูหยินจะออกไปด้วยคอแบบนี้ เป่ยเฉินอี้จะได้เข้าใจว่า เจ้าเป็นสตรีของข้า ภายหน้าไม่ว่าจะดีต่อเจ้าอย่างไร หรือว่าลงมือกับเจ้าจะได้ใคร่ครวญเอาไว้บ้าง”

 

 

เยี่ยเม่ยหน้าแดง ฝืนเชิดหน้า “ข้าไม่กลัวว่าเขาจะลงมือกับข้า ไม่ต้องให้ท่านทิ้งรอยเช่นนี้เพื่อขมขู่เขา”

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใส่ใจ เอ่ยช้าๆ “แต่ว่าสามีกลัวเหลือเกิน อีกอย่างสามีถือสาเรื่องที่เขาดีกับเจ้ามาก อย่างนั้นหัวใจอันอ่อนแออ่อนไหวของสามีจะเสียใจมาก กลัวว่าเมื่อถึงยามนั้นจะพลอยทำให้พวกเราเสียใจไปด้วยกัน เพราะคนที่จะลงจากเตียงไม่ได้หลายวันคือฮูหยินแล้ว”

 

 

เยี่ยเม่ย “…”

 

 

เจ้าคนนี้มียางอายบ้างหรือไม่

 

 

นี่ยังมีกฎระเบียบอะไรบ้างหรือเปล่า