บทที่ 714 ร้องไห้

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันนิ่งสงบจนอี้กุ้ยเฟยตกใจ ถาวจวินหลันเห็นอี้กุ้ยเฟยท่าทางตระหนกก็เข้าใจทุกอย่าง 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ อี้กุ้ยเฟยแสดงออกเช่นนี้ยิ่งทำให้นางคิดผิดและคิดมาก 

 

 

หากไม่ใช่เพราะยังเห็นแก่หน้าขององค์ชายเจ็ด นางคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งไม่ได้แน่นอน 

 

 

ต่อให้เห็นแก่หน้าขององค์ชายเจ็ด แต่นางก็ไม่ได้ไว้หน้าอี้กุ้ยเฟยเลยแม้แต่น้อย “อี้กุ้ยเฟยมาขอเข้าพบตอนนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยลังเล มองถาวจวินหลันนิ่ง “คิดว่าชายารัชทายาทคงเชื่อคำพูดของฮองเฮาเป็นแน่?” 

 

 

“ที่จริงแล้วข้ามาอธิบายเรื่องนี้” อี้กุ้ยเฟยก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วถึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าต้องตั้งใจฟังแล้ว” หากอี้กุ้ยเฟยสามารถให้คำอธิบายที่นางพอใจได้ก็คงดี ถ้าไม่ได้ก็คงไม่จบลงง่ายๆ เป็นแน่ ไม่เพียงอี้กุ้ยเฟย แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ถูกลากเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย 

 

 

อี้กุ้ยเฟยมาครั้งนี้คิดว่าด้วยจุดประสงค์นี้เหมือนกัน 

 

 

อี้กุ้ยเฟยสูดหายใจลึก “คนที่วางยาคือเหลียนซิน ข้าไม่รู้เรื่องมาก่อน” 

 

 

แต่เมื่อครู่นางขวางเจ้าเจ็ดไม่ให้เขาดื่มชา นางย่อมสงสัยจึงไม่ได้ดื่มชานั่น 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า มองไปยังอี้กุ้ยเฟยอย่างลึกล้ำ “จากนั้นเล่า?” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยมองถาวจวินหลัน ฉับพลันก็ตระหนกจนปากคอแห้งผาก ก่อนลูบจมูกอย่างอับอาย “ตอนนั้นข้าคิดจะเตือนองค์รัชทายาท แต่…” 

 

 

“แต่ท่านกลับคิดเรื่องบางอย่างได้สินะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองอี้กุ้ยเฟยพลางพูดต่ออย่างเนิบช้า “ท่านคิดจะสนับสนุนให้องค์ชายเจ็ดขึ้นตำแหน่ง คิดจะให้เขาเข้ามาแทนที่องค์รัชทายาทใช่หรือไม่? ฉะนั้นท่านถึงได้จงใจปิดปากเงียบ แล้วมององค์รัชทายาทดื่มชานั่นลงไป” 

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ถาวจวินหลันก็สูดหายใจเข้าลึก พูดเสียงเย็น “อี้กุ้ยเฟย ข้ากับองค์รัชยาทไม่เคยแย่กับท่านนักนี่เพคะ” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยหน้าแดงมีเลือดฝาด กระอึกกระอักพูดอธิบายไม่ออก นางยังพูดอะไรได้อีก? ทุกคำที่ถาวจวินหลันพูดล้วนเป็นความจริงอันโสมมลึกๆ ในใจของนางเอง นางยังเถียงอะไรได้อีก? 

 

 

ถาวจวินหลันกับองค์รัชทายาทหลี่เย่ดีกับพวกนางแม่ลูกมากเพียงใด นางขึ้นมาถึงตำแหน่งกุ้ยเฟยได้ ก็เพราะพึ่งพาถาวจวินหลันกับหลี่เย่ทั้งนั้น ทั้งยังเอาใจใส่อนาคตขององค์ชายเจ็ดเป็นอย่างดี พูดได้เลยว่าเป็นการปูทางที่ราบเรียบและกว้างใหญ่ให้พวกนางสองแม่ลูกแล้ว 

 

 

แต่น่าเสียดาย การพึ่งพาคนอื่นสู่ไม่ได้กับการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และกุมทุกอย่างเอาไว้เอง นางจึงยับยั้งชั่งใจไม่ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดไม่ออกว่าผิดหวังหรือโมโหกันแน่ 

 

 

 พอถอนหายใจแล้วถึงพูดเนิบๆ ว่า “ทำไมเหลียนซินถึงได้วางยาเล่า? ข้าจำได้ว่านางปรนนิบัติรับใช้องค์ชายเจ็ดมานานที่สุดนี่เพคะ” 

 

 

“ฮองเฮาจับคนในครอบครัวของนางมาข่มขู่” อี้กู้เฟยถอนหายใจ ไม่รู้ว่าถอนหายใจให้ตนเองหรือเหลียนซิน “เหลียนซินจำต้องลงมือ แต่นางก็รู้ดีว่าหากนางทำลายความตั้งใจของฮองเฮาย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ได้ ดังนั้นถึงได้ดื่มชาของเจ้าเจ็ดฆ่าตัวตายไป” 

 

 

ถึงคำอธิบายนี้ยังพอรับได้ แต่ก็ยังมีเรื่องน่าสงสัยอยู่ดี 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองไปยังอี้กุ้ยเฟยด้วยท่าทางคล้ายยิ้ม “อี้กุ้ยเฟยเพคะ ท่านหลอกข้าเห็นข้าเป็นลิงอย่างนั้นหรือ? คิดว่าข้ามองไม่ออกเลยหรือ? เหลียนซินฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดจริงหรือ? หรือว่าถูกประโยคสุดท้ายของท่านบีบให้ตายเพคะ?” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยหน้าซีดขาวไม่เห็นแม้แต่สีเลือดฝาด 

 

 

“เมื่อครู่นี้ท่านคิดมักใหญ่ใฝ่สูง ตอนนี้ยังมายอมรับผิด ท่านบอกข้าหน่อยว่าท่านคิดอะไรอยู่หรือ?” ถาวจวินหลันทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีผิดปกติของอี้กุ้ยเฟย เพียงแค่มองไปยังกำไลหยกเขียวบนข้อมือของตน แบ่งสมาธิคิดเรื่องอื่น นี่เป็นของที่หลี่เย่ให้นาง แต่เดิมควรจะเป็นของคู่กัน แต่มีชิ้นหนึ่งที่โดนนางกระแทกแตกเป็นรอยเล็กๆ ดังนั้นจึงเหลือเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น… 

 

 

ถ้านางระวังหน่อยก็คงดี 

 

 

แต่น่าเสียดายที่บนโลกใบนี้ไม่มียารักษาความเสียดาย เหมือนกับตอนนี้ พอคิดดูแล้ว เหลียนซินบอกใบ้ชัดเจนขนาดนั้น นางกับหลี่เย่ยังดูไม่ออก มาหงุดหงิดเสียดายตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา? ไม่ว่าอะไรก็ไร้ประโยชน์ 

 

 

อี้กุ้ยเฟยถูกถามจนนิ่งไป ไม่พูดอะไรออกมาอีกนาน 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ ตอบแทนอี้กุ้ยเฟย “ท่านคิดว่าข้าก็จะตายเหมือนกัน ถึงให้องค์ชายเจ็ดสืบทอดตำแหน่งต่อก็เป็นเรื่องสมเหตุผล ใครจะรู้ว่าไม่เพียงองค์รัชทายาทไม่ตาย ข้าเองก็ไม่ตาย ตอนนี้ยังสงสัยพวกท่านสองแม่ลูก ท่านกลัวว่าจะทำให้องค์ชายเจ็ดเหนื่อยไปด้วยสินะเพคะ” 

 

 

อี้กู้เฟยสีหน้าซีดขาว แต่นับว่าเห็นด้วยกับคำพูดของถาวจวินหลันนัยๆ 

 

 

 ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา แต่สีหน้าท่าทางบนใบหน้ากลับเย็นชายิ่ง “คนเป็นแม่ล้วนคิดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกชายตนเองเสมอ ต่อให้ต้องเสียสละชีวิตของตนก็ยอม พูดไปแล้วนี่ก็ช่างโง่เขลาเสียจริง ท่านเคยถามองค์ชายเจ็ดหรือไม่ว่าเขาต้องการอะไร?” 

 

 

อี้กู้เฟยเลียริมฝีปากที่แห้งผากให้ชุ่มชื้นขึ้น “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงได้เลอะเลือนเหมือนผีเข้าสิง” ทั้งๆ ที่นางไม่ควรคิดอย่างนั้น นี่เป็นสันดานร้ายของมนุษย์ ละโมบมักทำให้คนตกไปในบ่อบาป 

 

 

อี้กุ้ยเฟยไม่ได้พูดอธิบายอะไรให้ตนเองแม้แต่น้อย เพียงแค่มองถาวจวินหลันอย่างจริงใจ “เจ้าเจ็ดไม่รู้เรื่องด้วย ขอชายารัชทายาทละเว้นเขา ข้ายอมตายเพื่อล้างความผิด!” พูดจบอี้กุ้ยเฟยก็ลุกขึ้นพุ่งตัวไปกระแทกเข้ากับเสาใหญ่  

 

 

เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ใครก็คิดไม่ถึงว่าอี้กุ้ยเฟยจะทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นทุกคนจึงพากันตกตะลึง แค่ช่วงเวลาที่อึ้งตะลึงอยู่นั้น จะเข้าไปดึงอี้กุ้ยเฟยให้ออกมาก็ไม่ทันเสียแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันหรี่ตาลง แต่ไม่ได้ขยับตัว แม้แต่ริมฝีปากของนางก็ยังกระตุกเป็นรอยยิ้มเย็นชา 

 

 

นางไม่รีบ แต่มีคนรีบ อย่างเช่นองค์ชายเจ็ด 

 

 

องค์ชายเจ็ดทันตะโกนแค่ “เสด็จแม่!” เท่านั้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปดึงอี้กุ้ยเฟยไว้ 

 

 

พออี้กุ้ยเฟยได้ยินเสียงตะโกนขององค์ชายเจ็ดก็อึ้งไปครู่หนึ่ง พลางหันกลับไปมองตามความเคยชิน ดังนั้นแรงที่พุ่งออกไปจึงผ่อนลงหลายส่วน สุดท้ายเมื่อถูกคนดึง รอจนกระแทกเสาก็แทบไม่แรงแล้ว เพียงกระแทกไปบนนั้นเบาๆ เท่านั้น 

 

 

ดังนั้นจึงไม่ได้กระแทกจนหัวร้างค้างแตก อย่างมากก็เพียงปูดบวมและวิงเวียน 

 

 

หน้าผากของอี้กุ้ยเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก เซถลาล้มลงไปบนพื้น องค์ชายเจ็ดจึงรีบพุ่งเข้าไปประคองอี้กุ้ยเฟยลุกขึ้น เอ่ยเรียกเสียงขรึม “เสด็จแม่” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยมีสีหน้าเลื่อนลอยและตกใจ แต่ก็ไม่กล้ามององค์ชายเจ็ดเลยสักครั้ง เอาแต่เบนหน้าหนี เห็นชัดว่านางรู้สึกผิด 

 

 

ถาวจวินหลันรอจนองค์ชายเจ็ดกับอี้กุ้ยเฟยหันมามองนาง นางถึงได้หลุบตาลง พูดช้าๆ ว่า “อี้กุ้ยเฟยไม่ต้องพยายามฆ่าตัวตายหรอกเพคะ ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย? หรือจะบอกว่าท่านรู้ดีว่าหากท่านเป็นอะไรไป องค์ชายเจ็ดจะต้องเคียดแค้นข้าจนก่อกบฏขึ้นมาก็ได้ใช่หรือไม่?” 

 

 

“องค์ชายเจ็ดกตัญญูมาโดยตลอด หากรู้ว่าข้าสงสัยอี้กุ้ยเฟย ก็คงไม่คิดว่าเป็นความผิดของอี้กุ้ยเฟยเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องคิดว่าข้าปั้นน้ำเป็นตัว ใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ละสายตาจากหน้าตาและท่าทีสับสนของสองแม่ลูก พูดต่อไปว่า “อี้กุ้ยเฟยเข้าใจองค์ชายเจ็ดมากที่สุด รู้ว่าทำอย่างไรให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจข้าใช่หรือไม่? ให้ข้าลองเดาดู ท่านคงไม่ได้คิดว่าจะตายเช่นนี้จริงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่อยากให้องค์ชายเจ็ดคิดว่าท่านกำลังใช้ความตายแสดงความบริสุทธิ์ใช่หรือไม่? ลับหลังแล้วท่านพูดกับองค์ชายเจ็ดว่าอย่างไรเพคะ?” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยหน้าซีดขาว กุมหน้าผากที่บวมปูดเอาไว้ อธิบายอย่างตื่นตกใจ “ทำไมชายารัชทายาทถึงคิดเช่นนี้…” 

 

 

“อี้กุ้ยเฟย” ถาวจวินหลันพูดขัดคำพูดของอี้กุ้ยเฟย ถอนหายใจพลางพูดต่อไปว่า “ท่านเกิดเรื่องที่นี่ องค์ชายเจ็ดต้องไม่พอใจเป็นแน่ หากเขาไม่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร ท่านลองบอกสิว่าเขาจะทำอย่างไร? ทั้งข้าและท่านรู้ดีแก่ใจ แล้วทำไมท่านจะต้องมาบิดเบือนด้วยเพคะ? องค์ชายเจ็ดไม่ได้โง่เขลา แท้จริงแล้วเหลียนซินตายได้อย่างไร ไม่ช้าก็เร็วต้องเข้าใจแน่เพคะ เสียดายก็แต่เหลียนซินบ่าวแสนจงรักภักดีคนนั้น” 

 

 

ความเป็นห่วงและความจริงใจที่เหลียนซินมีต่อองค์ชายเจ็ด นางมองเห็นอยู่ตลอดเวลา นางยังคิดว่าสักวันองค์ชายเจ็ดอาจจะรับเหลียนซินเข้าเรือน แต่คิดไม่ถึงว่า… 

 

 

สีหน้าขององค์ชายเจ็ดพลันก็เคร่งขรึม แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็กำมือเข้าหากันแน่นจนกระดูกของอี้กุ้ยเฟยเริ่มซีดขาวและเจ็บปวดขึ้นมา 

 

 

อี้กุ้ยเฟยปากสั่นมองลูกชายของตนที่กำลังโมโห นางลนลานคิดจะอ้าปากพูดอธิบาย “เจ้าต้องเชื่อแม่…” 

 

 

“เสด็จแม่” องค์ชายเจ็ดสูดหายใจเข้าลึก น้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังไม่ออกว่าผิดหวังหรือเสียใจ “ข้าเคยบอกว่าไม่อยากเป็นฮ่องเต้ ใจของข้าไม่อยู่ที่นี่” 

 

 

เขาเคยพูดมานานแล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่ยังเด็กอี้กุ้ยเฟยเคยหยอกถามว่าเขาอยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ตอนนั้นเขาพูดว่าไม่อยาก แต่อยากเป็นแม่ทัพใหญ่ อยากจะปกป้องบ้านเมือง ตอนนั้นเสด็จแม่ยังหัวเราะขบขันว่าเขาไม่มีเป้าหมายใหญ่ในชีวิต แล้วยังไล่เรียงข้อดีของการเป็นฮ่องเต้ออกมาอีกหลายข้อ 

 

 

พอโตมาแล้วเริ่มเข้าใจความคิดของเสด็จแม่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ก็ยังยืนหยัดแสดงจุดยืนของตนเอง เขาจะเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร? เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น เขายังไม่ชอบจัดการเรื่องงานราชการเหล่านั้น เขาชอบความอิสระไม่ผูกมัด ความอิสระขี่ม้าโบยแส้ รวดเร็วดั่งสายลมในสนามรบ 

 

 

แต่เสด็จแม่กลับไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย เขาพูดตั้งหลายครั้งขนาดนั้น นางกลับฟังไม่เข้าหูเลยแม้สักครั้ง จนกลายมาเป็นปัญหาใหญ่เช่นวันนี้ 

 

 

องค์ชายเจ็ดหมุนตัวไป คุกเข่าไปทางถาวจวินหลัน ผู้ชายอกสามศอก องค์ชายเจ็ดที่ฆ่าคนโดยไม่รู้จักหวาดกลัว กลับคุกเข่าหมอบลงไปเช่นนี้ หน้าผากกระแทกลงกับพื้น เหมือนเสียงไม้กลองกระทบเข้าตัวหน้ากลองอย่างหนัก สั่นสะเทือนเป็นเสียงทุ้มต่ำ ก็ให้คนที่เห็นตาโตอ้าปากค้าง 

 

 

 ถาวจวินหลันเห็นความรู้สึกผิดและเศร้าเสียใจบนใบหน้าขององค์ชายเจ็ดอย่างชัดเจน จึงเริ่มใจอ่อนขึ้น 

 

 

องค์ชายเจ็ดโขกหัวอย่างแรง หมอบอยู่บนพื้น องค์ชายเจ็ดผู้สูงส่ง องค์ชายเจ็ดผู้ที่นำคนไปปราบกลุ่มกบฏก่อความวุ่นวายเมื่อวานนี้ ตอนนี้กลับคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้นเหมือนเด็กน้อย พูดว่า “พี่สะใภ้รอง ข้าขอโทษ”