บทที่ 713 หนามหัวใจ

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่หมอหลวงมาถึงหลี่เย่ก็พยายามครองสติอย่างสุดความสามารถ อาการดูไม่ค่อยดีนัก 

 

 

พอหมอหลวงตรวจผลชีพจรออกมาแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกบีบคั้นหัวใจยิ่ง ความรู้สึกเช่นนั้นทรมานจนพูดไม่ออก 

 

 

รอจนหมอหลวงชักมือกลับไป ถาวจวินหลันก็รีบเข้ามาถามว่า “หมอหลวง องค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง?”  

 

 

หมอหลวงลังเลครุ่นคิดคำที่จะใช้ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี 

 

 

ถาวจวินหลันเหมือนจมดิ่งลงในน้ำทะเลลึกหน้าหนาว เหน็บหนาวจนแข็งเกร็งไปทั้งตัว ตัวก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ทว่ากลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าพูดความจริงมาเถิด” 

 

 

หมอหลวงถูกเร่งถึงได้พูดออกมาช้าๆ “อาการขององค์รัชทายาทไม่ค่อยดีพ่ะย่ะค่ะ ครั้งองค์รัชทายาททรงพระเยาว์เคยถูกยาพิษมาก่อน แม้จะโชคดีรอดมาได้ แต่ก็ทิ้งบาดแผลไว้ในร่างกาย หลังจากนั้นยังโดนวางยาอีกสองครั้ง แม้ไม่รุนแรงแต่ก็มีผลกระทบอยู่บ้าง ครั้งนี้แม้จะใช้ยากันพิษได้ทันเวลา แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจล้างพิษได้ในทันที ฤทธิ์ของพิษถูกดูดซึมเข้าไปบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงสภาพตายน่าสังเวชของอู่อ๋อง ทันใดนั้นหัวใจก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ แม้แต่คำพูดก็ยังแฝงไว้ด้วยความเย็นชา “แล้วมีวิธีแก้หรือไม่? หรือจะบอกว่า…” 

 

 

พอมาถึงครึ่งประโยคสุดท้าย ถาวจวินหลันก็พูดต่อไปไม่ไหว นางกลัวอย่างมากว่าจะได้คำตอบแบบนี้จากปากหมอหลวง แต่หวังจะได้ยินจากหมอหลวงว่ามีทางรักษา 

 

 

ถาวจวินหลันมองหมอหลวงอย่างคาดหวัง 

 

 

สุดท้ายหมอหลวงกลับส่ายหน้า “ตอนนี้อาการซับซ้อนมากพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าแม้แต่เทียบยาพวกกระหม่อมยังไม่กล้าเขียน ต้องดูตัวขององค์รัชทายาทเองแล้ว ฤทธิ์ยาพิษครั้งนี้ก็รุนแรงมากอยู่แล้ว ทั้งยังกระตุ้นฤทธิ์พิษที่เหลืออยู่ในอวัยวะภายในด้วย ถือว่าใช้พิษโจมตีพิษ หากใช้ยาแก้พิษกะทันหัน ถือว่าอันตรายยิ่ง วิธีที่ดีที่สุดคือรอพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกราวกับท้องฟ้าเหนือศีรษะกลับมามืดครึ้มขึ้นอีกครั้ง 

 

 

ตอนนี้หลี่เย่สลบไม่ได้สติไปอย่างสมบูรณ์แล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันก้มมองหลี่เย่ ก็เห็นหลี่เย่หลับไปแล้ว คิ้วที่ปกติขมวดเป็นปมได้คลายออกจากกันแล้ว หว่างคิ้วทั้งอบอุ่นทั้งสงบนิ่ง ดวงตาที่ปิดสนิทหมองหม่นลง กลับไปมีท่าทางอ่อนโยนอย่างที่เลื่องลือกันมากขึ้น 

 

 

ถาวจวินหลันน้ำตาไหลพรั่งพรู นางพยายามข่มความเจ็บปวดและหวาดกลัวถามหมอหลวงว่า “เช่นนั้นเขา…” 

 

 

ไม่รอให้นางถาม หมอหลวงก็พูดขัดขึ้นมา “องค์รัชทายาทจะฟื้นหรือไม่ หรือจะฟื้นเมื่อไรก็ต้องดูลิขิตฟ้าพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็นิ่งตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังพูดไม่ออก พอนางคิดว่าหลี่เย่อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้ว นางก็เริ่มตระหนก 

 

 

“แล้วตอนนี้ขยับตัวองค์รัชทายาทได้หรือไม่?” ถาวจวินหลันกลั้นน้ำตาถามขึ้นอีก พยายามควบคุมให้ตนเองดูนิ่งสงบและใจเย็น แต่นางก็ยังได้ยินเสียงสั่นเครือของตัวเองชัดเจน 

 

 

หมอหลวงพยักหน้า “ขยับได้ อาบน้ำเช็ดตัวก็ได้เช่นกัน ความจริงแล้ว บางทีพวกกระหม่อมจะให้องค์รัชทายาทได้อาบยาวันละสองครั้ง ทำเช่นนี้ช่วยให้เลือดลมไหลเวียน อาจจะมีผลช่วยอาการประชวรขององค์รัชทายาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า จากนั้นก็หันไปกำชับ “ไปเรียกโจวอี้กับหวังหรูเข้ามา ให้พวกเขาพาองค์รัชทายาทกลับวังตวนเปิ่น” คนที่ดูแลรับใช้ที่นี่ไม่ใช่คนของตนเอง นางไม่วางใจ ฮองเฮาสามารถวางยาได้ครั้งหนึ่ง บางทีคนอื่นก็อาจทำได้เช่นเดียวกัน แล้วยังมีอี้กุ้ยเฟย… 

 

 

แม้นางไม่ได้ไปถามอี้กุ้ยเฟยว่ารู้เรื่องวางยาแล้วแต่กลับจงใจปิดบังจริงหรือไม่ แต่นางก็ไม่ได้เชื่อใจอี้กุ้ยเฟยขนาดนั้นอยู่แล้ว 

 

 

หรือจะพูดว่านางไม่เคยเชื่อใจอี้กุ้ยเฟยมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ตอนนี้ยิ่งระวังมากขึ้น 

 

 

“หลังจากเจ้ากลับกรมหมอหลวงแล้ว ก็ให้เรียกหมอหลวงที่เหมาะสมทั้งหมดมา อธิปรายคิดหาวิธีรักษาองค์รัชทายาท ยังมีอีกอย่าง อย่าปล่อยข่าวหลุดไปแม้แต่น้อย” ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก ปิดตาทั้งคู่จนแน่นสนิท พยายามทำให้หัวสมองที่วุ่นวายสับสนของตนเองสงบลง 

 

 

หมอหลวงรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางพูดแสดงความจงรักภักดีของตนเองออกมา ถาวจวินหลันสะบัดมือให้เขาถอยออกไป จากนั้นก็นั่งลงบนขอบเตียง บีบมือของหลี่เย่เอาไว้แน่น พูดพึมพำเสียงเบา “ท่านจะต้องดีขึ้น จะต้องดีขึ้นนะเพคะ” 

 

 

พูดไป ดวงตาของนางก็เริ่มชื้นอีกครั้ง นางจับมือของเขาไปวางไว้บนหน้าท้องของตนเอง พูดว่า “หากท่านไม่ตื่นขึ้นมาก็จะไม่ได้เห็นเขานะเพคะ! ถึงตอนนั้นเขาคงถูกคนว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อนะเพคะ” 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือหากเขาจากไปเช่นนี้ พวกนางแม่ม่ายและเด็กกำพร้าจะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร? 

 

 

หลี่เย่ถูกหวังหรูส่งกลับไปยังวังตวนเปิ่น แต่โจวอี้กลับห้ามถาวจวินหลันเอาไว้ ถามนางเสียงเบา “ตอนนี้พระชายาวางแผนจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

ถาวจวินหลันยืนอยู่ท่ามกลางลมพัดเบาๆ มองดูเมฆครึ้มบนท้องฟ้า ฉับพลันก็รู้สึกหนาวสะท้าน เหม่อลอยไปไกล สุดท้ายนางก็ยืนหยัดขึ้นมาได้ มองไปที่โจวอี้และพูดว่า “ตอนนี้ปิดบังอาการขององค์รัชทายาทเอาไว้ก่อน ห้ามให้บรรดาขุนนางรู้เรื่อง แล้วไปสืบเรื่องนี้ให้ละเอียด” 

 

 

ก่อนมาที่นี่ นางกับหลี่เย่ได้คิดไว้แล้วว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ดังนั้นจึงเตรียมการป้องกันบางอย่างไว้ อย่างเช่นเตรียมคนเอาไว้ในทุกพื้นที่ของวังหลวง ป้องกันอู่อ๋องก่อกบฏอีกครั้งหนึ่ง และเตรียมองครักษ์เงาให้มากขึ้นป้องกันการลอบทำร้าย 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าจะวางยาพิษ 

 

 

ต้องรู้ว่านั่นเป็นตำหนักขององค์ชายเจ็ด คนที่ชงชาก็ยังเป็นข้ารับใช้ข้างกายองค์ชายเจ็ด ข้ารับใช้คนนั้นดูแลองค์ชายเจ็ดมาตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นหลี่เย่ก็คงไม่มีทางดื่มชานั่นแน่ 

 

 

ใช่แล้ว อี้กุ้ยเฟยกับฮองเฮาก็ดื่มชาเช่นกัน แต่พวกนางกลับไม่เป็นอะไร  

 

 

คิดถึงชาถ้วยนั้นที่ตนเองไม่ได้ดื่ม ถาวจวินหลันก็หันกลับเข้าไปในห้อง เห็นว่าชาถ้วยนั้นยังอยู่ที่เดิม จึงให้คนไปจับสัตว์เป็นๆ มาชนิดหนึ่ง 

 

 

ไม่นานก็มีคนส่งนกพิราบจากครัวที่เลี้ยงไว้เตรียมตุ๋นน้ำแกงมา 

 

 

โจวอี้บีบปากนกพิราบนั่น ก่อนกรอกน้ำชาลงไป ผ่านไปไม่นานนกพิราบตัวนั้นก็ตาย 

 

 

ถาวจวินหลันมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยใจด้านชา 

 

 

ตอนนี้มีคนเข้ามารายงานพอดี บอกว่าเหลียนซินก็ตายแล้ว เพราะดื่มชาถ้วยนั้นไปเช่นเดียวกัน 

 

 

จู่ๆ ถาวจวินหลันก็สงสัยว่าทำไมอี้กุ้ยเฟยถึงไม่ตาย 

 

 

หากฮองเฮาวางยาเช่นนั้นคงไม่มีทางปล่อยอี้กุ้ยเฟยไป ตัวฮองเฮาเองไม่ต้องพูดถึง นางอาจจะไม่ได้ชิมน้ำชานั้นเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่แสดงท่าทางให้ดูเท่านั้น แต่อี้กุ้ยเฟยเล่า?  

 

 

ความสงสัยนี้เหมือนหนามแหลมทิ่มแทงใจของนาง กระทั่งรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข  

 

 

หรืออี้กุ้ยเฟยคิดมักใหญ่ใฝ่สูง? 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองไปยังโจวอี้ พูดเสียงเบา “อี้กุ้ยเฟยไม่เป็นอะไร” 

 

 

โจวอี้ท่าทางเย็นชา เห็นชัดว่าเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน ก่อนได้ยินเขาพูดว่า “เชื่อใจองค์ชายเจ็ดทั้งหมดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน หัวใจก็อ่อนแรงเช่นเดียวกัน 

 

 

“ช่วงนี้ยังไม่ต้องรับซวนเอ๋อร์กับหมิงจูกลับมา” หลังจากถาวจวินหลันพูดหลังจากนิ่งเงียบไปนาน นางอาจจะไม่ได้เห็นหน้าลูกๆ ช่วงหนึ่ง หรืออาจจะเกิดเรื่องกับนางจนไม่ได้เจออีกต่อไปแล้วก็ได้ อย่างน้อยซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็ยังปลอดภัย  

 

 

โจวอี้รับคำเสียงเบา 

 

 

“เจ้าให้ขันทีเป่าฉวนมาพบข้า เชิญเฉินฟู่กับถาวจิ้งผิงเข้าวังมาด้วย” ถาวจวินหลันนึกเผื่อถึงภายภาคหน้า สุดท้ายก็พูดว่า “เชิญซินพานเข้ามาเช่นกัน” 

 

 

โจวอี้พอเข้าใจความตั้งใจของถาวจวินหลัน คิดไปมาก็เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เชิญใต้เท้ากู่ กู่ลิ่งจือมาได้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ท้ายสุดก็ยังมีหลิงเอินและใต้เท้าจั่ว จั่วเสี่ยนอวี้ ปกติแล้วองค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ ทั้งยังถือว่าจงรักภักดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันลังเล สุดท้ายก็พยักหน้า สถานการณ์ในตอนนี้นางต้องพยายามซื้อกำลังให้มากที่สุด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงปกป้องครอบครัวให้ปลอดภัย และถ่วงเวลาให้หลี่เย่รักษาตัวได้ 

 

 

อย่างไรก็ปิดข่าวหลี่เย่สลบไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง อาจจะปิดบังไว้ได้วันสองวันแรก แต่วันที่สามที่สี่เล่า? ตอนนี้หลี่เย่จัดการทุกอย่างในราชสำนัก หากเขาไม่ปรากฏตัว ก็จะต้องมีคำอธิบาย เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ 

 

 

และตอนนี้ที่ต้องปิดบังสถานการณ์ก็เพียงเพื่อถ่วงเวลาให้นางเตรียมตัวเท่านั้น 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย ปกติแล้วหลี่เย่ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกับสามีในครอบครัวธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้นางกลับสัมผัสรู้ซึ่งถึงสถานะของหลี่เย่ 

 

 

หลี่เย่เป็นคนสำคัญยิ่ง ทั้งกับครอบครัวของเขาและราชสำนัก 

 

 

เพียงแค่หวังว่าหลี่เย่จะผ่านเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ ต่อให้นางต้องสวดมนต์ภาวนายี่สิบปีนางก็ยอม หรือเขาไม่เป็นฮ่องเต้แล้วนางเองก็ยินยอม 

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ เคราะห์ร้ายก็เกิดจากอำนาจมิใช่หรือ? 

 

 

ในหัวของถาวจวินหลันกำลังยุ่งเหยิงเพราะเรื่องเหล่านี้ จากนั้นก็ได้ยินว่าอี้กุ้ยเฟยขอเข้าพบ 

 

 

คิดไม่ถึงว่าอี้กุ้ยเฟยยังกล้ามาขอพบนางก่อน ถาวจวินหลันตะลึงไปครู่ใหญ่ถึงได้สงบลง ก่อนพูดว่า “ดี ไปเชิญอี้กุ้ยเฟยเข้ามาคุย” 

 

 

นางอยากรู้จริงๆ ว่าอี้กุ้ยเฟยมาขอพบด้วยเรื่องอะไร อี้กุ้ยเฟยเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่านางสงสัยและระแวงตัวเองแล้ว นางถึงได้อยากรู้จุดประสงค์ของอี้กุ้ยเฟยเป็นอย่างมาก 

 

 

แต่เพื่อไม่ให้อี้กุ้ยเฟยเห็นเรื่องตลก ถาวจวินหลันจึงตั้งใจจัดการกับตนเอง จัดระเบียบเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่ ก่อนตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อให้ดูมีเรี่ยวแรงมากยิ่งขึ้น 

 

 

ที่จริงแล้วดวงตาของนางยังบวมเล็กน้อย แต่พอนางใช้ผ้าห่อหิมะมาประคบครู่หนึ่งก็ลดบวมไปมาก อย่างน้อยก็เห็นไม่ชัดมาก 

 

 

บวกกับท่าทางเย็นชานิ่งเฉยและสีหน้าเรียบสงบ ถาวจวินหลันก็คิดว่าไม่หลงเหลือความโศกเศร้าและเสียใจ หรือท่าทางเลื่อนลอยอีกแล้ว 

 

 

ด้วยท่าทางวางอำนาจ อย่างน้อยคนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องตลก 

 

 

ถาวจวินหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสุขุม รอให้อี้กุ้ยเฟยเข้ามา 

 

 

ตอนที่อี้กุ้ยเฟยถูกนำตัวเข้ามา ได้เห็นถาวจวินหลันก็ยังแปลกใจเล็กน้อย ด้วยคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันนิ่งสงบได้ถึงเพียงนี้