บทที่ 712 ยุ่งเหยิง

บัลลังก์พญาหงส์

ฮองเฮายิ้มอย่างลำพองใจ แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน เหมือนกำลังเยาะเย้ยที่สุดท้ายนางก็ได้รับชัยชนะ  

 

 

หลี่เย่รับมือกับฮองเฮาที่กำลังเดินออกไปด้วยการพูดอย่างเรียบๆ ว่า “เจ้าเจ็ด” 

 

 

องค์ชายเจ็ดแค่นยิ้ม ก่อนหยิบโต๊ะชาที่เอาไว้วางกาชาและจานผลไม้ข้างมือขึ้นมา แล้วโยนตรงไปที่ฮองเฮา 

 

 

โต๊ะชานั้นทำมากจากไม้หวงฮวาหลี จึงมีน้ำหนักมาก ปกติแล้วต้องใช้นางกำนัลสองคนถึงจะยกได้ ใครจะรู้ว่าตอนนี้กลับถูกองค์ชายเจ็ดยกขึ้นมาเขวี้ยงออกไปอย่างง่ายดาย 

 

 

ทุกคนพากันตกใจ ฮองเฮาก็ตกใจจนลืมหลบ เกือบถูกกระแทกเข้าเต็มๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าองค์ชายเจ็ดเล็งไม่ตรงเป้าเท่าไรนัก เกรงว่าฮองเฮาไม่ตายก็เกือบตายแล้ว ไม่ใช่แค่ถูกกระแทกจนร้องออกมาเท่านั้น ลากขาออกไปยังขยับไปไหนไม่ได้  

 

 

อู่อ๋องสำรอกแต่กลับไม่ได้อาเจียนน้ำชาออกมา ทว่าเป็นรอยเลือดสีแดงคล้ำไหลเป็นสาย 

 

 

อู่อ๋องเริ่มลนลานแล้ว มองไปยังฮองเฮาอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน…ไม่ได้บอกให้ข้าเป็นฮ่องเต้ แล้วท่านขึ้นเป็นไทเฮาหรือ ทำไมท่าน…” อู่อ๋องไม่เข้าใจจริงๆ คำสัญญาของฮองเฮาและเขาเหมือนยังผ่านไปไม่นาน ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาสัญญาณกันเป็นดิบดี ทำไมแค่ชั่วพริบตา… 

 

 

กลิ่นคาวเลือดในปากย้ำเตือนอู่อ๋องว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง 

 

 

ถาวจวินหลันจับมือของหลี่เย่เอาไว้แน่น พลางพูดเสียงเย็นว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? นางกำลังหลอกท่านอยู่ชัดๆ นางบอกว่าจะหนุนท่านเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ? ท่านกับนางฆ่าจิ้งเฟยอย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว จิ้งเฟยก็คงตายเพราะท่านและนางร่วมมือกันกระมัง? ท่านคิดว่านางจะหนุนหลังท่านเพื่ออะไรกัน? เพียงเพื่อปูทางอย่างนั้นหรือ? คนที่ฮองเฮาอยากหนุนนำจริงๆ เป็นใครข้าจะลองเดาดู? อาอู่หรือ? หรือว่าเด็กคนไหนก็ได้ที่ควบคุมได้ง่ายหรือ?” 

 

 

ทุกครั้งที่ถาวจวินหลันพูดประโยคหนึ่ง สีหน้าของอู่อ๋องก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ และฮองเฮาก็มีสีหน้าเย็นชามากขึ้น เห็นชัดว่านางพูดถูกต้อง 

 

 

หลี่เย่ไอเบาๆ ก่อนกลืนกลิ่นคาวเลือดในปากลงไป แล้วยิ้ม “วิธีกวาดล้างฆ่าเรียบ พอเป็นเช่นนี้องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็จะตายทั้งหมด คนที่เหลือไปมีคุณสมบัติก็มีเพียงเด็กเล็กเท่านั้น ไม่ว่าจะหนุนใครขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ สุดท้ายคนที่กุมอำนาจใหญ่ก็เป็นท่าน วิธีดีงามเสียเหลือเกิน หากเดาไม่ผิดจวงอ๋องก่อกบฏก็คงเป็นแผนการของท่านด้วยกระมัง? ข้ากับจวงอ๋องเจ็บหนักพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าใครชนะท่านก็คงฆ่าให้ตายทั้งคู่” 

 

 

หลี่เย่ไออีกครั้ง ก่อนถอนหายใจออกมา “ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งแรงจริงๆ พวกเราพี่น้องเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือฮองเฮา แต่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้ท่านวางแผนพลาดไปแล้ว ตอนนี้ท่านก็ยังวางแผนพลาดอีกครั้ง” 

 

 

พูดจบ หลี่เย่ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ 

 

 

ฮองเฮาใบหน้านิ่งสงบ “อย่างนั้นหรือ? วางแผนพลาดหรือ? ข้าให้คนไปรับลูกชายของเจ้ามาไว้ในวังของข้าแล้ว เจ้าว่าใครวางแผนพลาดกันแน่?” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ซวนเอ๋อร์ถูกลอบพาออกไปนอกวังแล้วเพคะ” 

 

 

ใบหน้าของฮองเฮาเริ่มเผยความตระหนก 

 

 

“ข้างนอกข้าก็ให้ทหารองครักษ์ล้อมรอบไว้หมดแล้ว” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ท่านคิดว่าพวกเราไม่คิดแผนป้องกันเลยหรือ?” 

 

 

ฮองเฮามีสีหน้าไม่น่ามองยิ่งขึ้น 

 

 

หลี่เย่ใช้มือปิดปากพลางไอออกมา แล้วพูดว่า “แค้นที่ฆ่ามารดา แค้นที่วางแผนฆ่า วันนี้มาลองคิดทั้งหมดแล้ว ข้าควรจัดการกับท่านอย่างไรดี?” 

 

 

องค์ชายเจ็ดก็พูดเสียงเข้ม “หากให้ข้าดูแล้ว ไม่สู้เฉือนเนื้อประหารไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ในอดีตมีลวี่จื้อคิดแค้นชีฮูหยิน จึงได้จับเอามาเป็นมนุษย์สุกร ตอนนี้ทำไมพวกเราจะทำตามไม่ได้?” ถาวจวินหลันพูดด้วยความอาฆาตแค้น นางรู้สึกอยากจะฆ่าคนสักคนขึ้นมาจริงๆ ไม่สิ นางอยากให้ฮองเฮาตายทั้งเป็น! ตายแล้วก็ดูจะง่ายไปหน่อยกระมัง? มีชีวิตถึงจะทรมานที่สุด! 

 

 

นางอยากให้ฮองเฮามีชีวิต มีชีวิตรอดต่อไป รับความทรมานต่อไปเรื่อยๆ!  

 

 

หลี่เย่แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอีก “ดี ข้าก็ยังไม่เคยเห็นมนุษย์สุกรมาก่อน” 

 

 

อู่อ๋องสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว ถลึงโตมองเหม่อไร้จุดหมาย เหมือนว่าไม่เข้าใจเลยว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 

 

 

องค์ชายเจ็ดเดินตรงไปหาเขา พร้อมทั้งถอนหายใจเบาๆ “พี่สี่ ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน? คนคำนวณมิสู้ลิขิตฟ้า ผิดถูกแพ้ชนะกลับเป็นความว่างเปล่า เป็นท่านอ๋องอยู่ดีๆ ไม่ชอบหรือพ่ะย่ะค่ะ? ทำไมต้องละโมบโลภมากอยากได้ตำแหน่งนั้นด้วย มีอะไรดีอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

อู่อ๋องกะพริบตา พยายามหัวเราะเย้ยหยัน สุดท้ายก็หลับตาลงอย่างอ่อนแรง แฝงความโศกเศร้าอย่างไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ เขาอยู่ห่างความสำเร็จเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก้าวเดียวเท่านั้น! แต่เขากลับต้องหยุดฝีเท้าลงตรงนี้ 

 

 

ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอมเด็ดขาด…ทำไมหลี่เย่ทำได้ แล้วเขาทำไม่ได้เล่า? เขาไม่ยอม ไม่ยอม! 

 

 

สุดท้ายอู่อ๋องก็เหลือบไปทางหลี่เย่ สังเกตเห็นสีแดงคล้ำบนริมฝีปากของเขา ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ บางทีสวรรค์อาจจะไม่ได้เข้าข้างหลี่เย่ขนาดนั้น 

 

 

อู่อ๋องสังเกตเห็น ฮองเฮาย่อมต้องสังเกตเห็นเช่นกัน นางจึงหัวเราะลั่น “มนุษย์สุกรอย่างนั้นหรือ? ขอแค่เห็นเจ้าไม่ได้ดี ข้าก็สบายใจแล้ว” 

 

 

ฮองเฮาแย้มยิ้ม “ลูกชายของข้าตายไปแล้ว เหลือข้าอยู่เพียงลำพัง เจ้าว่าข้ายังต้องกลัวอะไรอีก?” 

 

 

“เจ้าคิดว่าถาวซื่อกับข้ามีอะไรต่างกันอย่างนั้นหรือ? นางอยู่กับเจ้าไม่ใช่เพราะอำนาจของเจ้าอย่างนั้นหรือ? นางไม่ใช้อำนาจของเจ้าแล้วจะแก้แค้นแทนพ่อแม่นางได้อย่างไร แล้วจะฟื้นฟูตระกูลถาวได้อย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮายิ้มพูดเรียบๆ เหมือนสายน้ำ น้ำเสียงนั้นเหมือนกับรู้เข้าใจทุกอย่าง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเวทนาสงสาร 

 

 

“เจ้าใกล้ตายเช่นนี้แล้ว ถาวซื่อจะทำอย่างไร? ก่อนหน้านี้นางอาจจะไม่เหมือนข้า แต่หลังจากนี้เล่า? ตอนที่อำนาจในมือของนางมากขึ้นทุกวัน เจ้ามั่นใจหรือว่านางจะยังเหมือนเดิม?” 

 

 

การเค้นถามทีละคำถามของฮองเฮา เหมือนกับค้อนเล่มใหญ่ทุบลงกลางใจของทุกคนอย่างแรง อี้กุ้ยเฟยที่เงียบมาตลอดก็มีท่าทีสับสน 

 

 

“อี้กุ้ยเฟย ทำไมเจ้าไม่พูดเล่า?” ฮองเฮามองไปยังอี้กุ้ยเฟยนิ่ง “องค์ชายเจ็ดอายุน้อยหาญกล้า เจ้าดูสิ ตอนนี้หลี่เย่เป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่ใช่โอกาสอันดีขององค์ชายเจ็ดหรือ? เจ้ารู้ว่าข้าวางยา แต่เจ้าก็ไม่เตือนพวกเขาใช่หรือไม่?” 

 

 

อี้กู้เฟยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที 

 

 

ถาวจวินหลันเหลือบมองอี้กุ้ยเฟยวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้มีเวลาจะไปสนใจเรื่องนั้นอีก สีหน้าท่าทางของหลี่เย่ดูแย่ลงเรื่อยๆ นางเห็นท่าทางโคลงเคลงจะล้มของเขาก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ “ท่านเป็นอะไรไปเพคะ! เหตุใดยาต้านพิษถึงไม่ได้ผล?” 

 

 

ใช่แล้ว หลี่เย่เคยให้ยาต้านพิษเม็ดนี้กับนาง แล้วยังทำปิ่นที่มีลูกเล่นลับเฉพาะอีกหนึ่งชิ้น จุดประสงค์ก็เพื่อให้นางป้องกันตัวในวังหลวง เมื่อครู่นี้หลี่เย่พูดถึง นางก็นึกขึ้นได้ทันที จึงแอบใส่ปากหลี่เย่ไป 

 

 

นางยังคิดว่าได้ผลแล้ว แต่พอดูตอนนี้นางก็นิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว 

 

 

หลี่เย่สะบัดมือ “อย่ารน” แม้ตอนนี้จะเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม “เจ้าเจ็ด อย่าเอาแต่พูดมาก จับตาดูคนเอาไว้ แล้วเรียกคนเข้ามา” 

 

 

ถาวจวินหลันกลับพูดสั่งด้วยร้อนรน “เร็ว รีบไปตามหมอหลวงมา!” 

 

 

องค์ชายเจ็ดได้ยินดังนั้นก็ได้สติกลับมา รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าตบฮองเฮาจนสลบไปในคราวเดียว แล้วยังให้อี้กุ้ยเฟยไปตามหมอหลวง ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของฮองเฮาเมื่อครู่นี้หรือไม่ ตอนที่องค์ชายเจ็ดกำชับอี้กุ้ยเฟยก็มีสีหน้าท่าทางเย็นชาเคร่งขรึม “เสด็จแม่รีบไปเชิญหมอหลวงมาเร็ว ล่าช้าไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

อี้กุ้ยเฟยมีท่าทีทั้งสับสน ทั้งลนลาน หลังจากรับคำเสียงเบาก็รีบวิ่งออกไปทันที 

 

 

อี้กุ้ยเฟยเพิ่งออกไป อีกด้านหนึ่งก็มีนางกำนัลรีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางลนลาน “องค์ชายเจ็ด ไม่ดีแล้ว เหลียนซินนางสลบไปแล้วเพคะ!” 

 

 

องค์ชายเจ็ดได้ยินก็ตกใจ คิดอยากจะตามออกไปดูทันที ถาวจวินหลันมองกลับไม่ได้สนใจอะไรมาก พูดออกมาตรงๆ ว่า “องค์ชายเจ็ดจัดการกับองค์รัชทายาทให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” 

 

 

องค์ชายเจ็ดจึงต้องหยุดฝีเท้าลงทันที แล้วพูดกับนางกำนัลคนนั้นว่า “รีบให้หมอหลวงไปดูนาง” 

 

 

ระหว่างพี่รองกับนางกำนัล พี่รองย่อมสำคัญกว่า 

 

 

ตอนนี้อู่อ๋องล้มอยู่ตรงนั้นแต่กลับไม่มีใครเหลียวมองเลยสักนิด ส่วนฮองเฮาก็ถูกมัดตัวเป็นท่อนๆ ตามคำสั่งขององค์ชายเจ็ด ไม่ได้เหลือความน่าเคารพของฮองเฮาไว้ให้นางเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ถาวจวินหลันยังคงตระหนกเรื่องยาต้านพิษเม็ดนั้นที่ไม่เกิดผลแม้แต่น้อย 

 

 

แม้จะบอกว่าหลี่เย่รู้สึกแย่ไปหมด แต่สติยังครบถ้วนชัดเจน ตอนที่เขาจับมือถาวจวินหลันเอาไว้แน่น จนมาถึงตอนนี้ก็ยังมีใจปลอบประโลมนาง “อย่ากลัวไปเลย น่าจะมีผล ดื่มชาพร้อมกัน แต่ตอนนี้ข้าเพียงรู้สึกไม่ปกติเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าอย่ากังวลมากไปเลย” 

 

 

แต่พบเจอเรื่องเช่นนี้ ในใจของเขาก็ใช่ว่าจะสงบนิ่งได้เหมือนที่แสดงออกมา ไม่นานเขาก็อดพูดไม่ได้ว่า “หากข้าเป็นอะไรไป หนังสือราชโองการซ่อนอยู่ที่คานห้องในตำหนักไท่จี๋ ทุกอย่างฝากไว้ที่เจ้าแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งทำใจไม่ได้ น้ำตาพรั่งพรูประหนึ่งน้ำพุไหล ส่งเสียงร่ำไห้เสียงดัง “ท่านทำเช่นนี้ทำไมเพคะ? ท่านห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด! ข้าเป็นเพียงสตรี จะคุมทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?” 

 

 

หลี่เย่หัวเราะน้อย พลางยื่นมือไปลูบท้องของนางเบาๆ “ข้าจะพยายาม ข้ายังอยากเห็นหน้าลูกชาย เพียงพูดเผื่อไว้ก่อนเท่านั้น” 

 

 

ถาวจวินหลันร่ำไห้จนหายใจไม่ทัน “ห้ามพูดเรื่องไม่ดีอีก!” 

 

 

หลี่เย่รับคำ ยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่สติก็เลือนรางเต็มที จำต้องหลับตาอย่างไร้ทางเลือก แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าหากหลับไปเช่นนี้ ก็คงต้องหลับไปจริงๆ จึงฝืนครองสติเอาไว้ 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกถึงมือของหลี่เย่ที่ปล่อยออกจากมือของนางแล้ว ความกลัวพลันผุดขึ้นในใจ ตกใจจนวิญญาณแทบกระเจิง แต่พอรู้สึกถึงนิ้วมือของหลี่เย่ค่อยๆ เขียนอักษรลงบนฝ่ามือของนางแล้ว นางก็รู้สึกสบายใจขึ้น 

 

 

คิดได้ว่าหลี่เย่คงไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ นางจึงเบี่ยงตัวน้อยๆ บังไม่ให้ใครเห็นการกระทำของเขา 

 

 

องค์ชายเจ็ดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางร้อนใจ แต่ก็เหมือนเหม่อลอยไม่รู้ว่าควรทำอะไร ตราบจนถาวจวินหลันหันหน้ามาสั่งเขาเสียงเย็น “น้องเจ็ด เจ้าออกไปคุมสถานการณ์ด้านนอก ห้ามให้คนอื่นรู้อาการขององค์รัชทายาท หากมีคนปล่อยข่าวนี้ออกไปมั่วๆ ให้ประหารทันที!”