[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 31 เรื่องมงคลของวั่งไฉ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ชอบนอนเปลรับบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงเป็นที่สุด อากาศก็ค่อนข้างเย็น แต่ว่าใบของต้นเมเปิ้ลที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็ยังคงร่วงลงมาบนตัวอยู่ตลอดเวลา จากนั้นไม่นาน มันก็ซ้อนทับกันเป็นชั้นหนาๆ ลำต้นที่สูงใหญ่ ใบไม้สีเขียวมรกต จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ จำได้แค่ว่าบทกวีนี้ทำให้ตัวเองต้องลำบาก 

 

 

ไอ้บทกวี ‘ต้นเมเปิ้ล’ นี่ ตอนนั้นไอ้เฟิงจึข่ายนึกอยากจะเอาใจภรรยาที่รักในบทกวี กัดฟันท่องบทกวีนี้จนจำได้ แล้วก็แกล้งทำเป็นว่าตัวเองเป็นคนเขียน อ่านให้ภรรยาฟัง 

 

 

สุดท้ายไม่ต้องบอกก็รู้ เลือกบทกวีที่มีชื่อเสียงมากเกินไป มีชื่อเสียงมากจนภรรยารู้ที่มาที่ไป เอาใจไม่ได้ยังไม่พอ แถมยังถูกหัวเราะเยาะ 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ซินเย่วดีกว่าตั้งเยอะ นอนแอ้งแม้งอยู่ใต้เปลของอวิ๋นเยี่ยแล้วยังคอยผลักเปลเป็นครั้งเป็นคราว มองดูสามีที่แกว่งไปมาในอากาศ นางก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความสุขของตัวเองไว้ได้แล้ว 

 

 

ขอแค่เป็นบทกวีที่ออกมาจากปากของอวิ๋นเยี่ย นางก็จะเชื่อว่าสามีของนางเป็นคนเขียน ถึงแม้ว่าคนอื่นพึ่งจะอ่านไป แต่นั่นก็คือสามีนางเป็นคนเขียน ถ้าไม่เชื่อก็ให้เหล่าเจียงไปถามว่าใครเป็นคนเขียนกันแน่  

 

 

หลี่จิ้งก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับเรื่องของซีถง เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่มีทางพูดความจริง ต้องไปถามจากซีถงเองเท่านั้น 

 

 

ไม่เป็นไร ซีถงเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ส่งคนของหลี่จิ้งไป ก็ถือว่าช่วยเอาของขวัญให้เขา ตอนขากลับก็ถือโอกาสเอาจดหมายอะไรกลับมาสักสองฉบับ 

 

 

หลี่ซื่อหมินโมโหมาก บอกว่าพวกขุนนางอยู่สุขสบายก็ไม่อยากจะทำงานอะไร ชีวิตตกต่ำ เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ตัวเขาเองตอนแรกจะบริจาคเครื่องแก้วนกอินทรีสองตัว เตรียมขายให้กับชาวหูเพื่อจัดเตรียมเสบียงมาช่วยบรรเทาทุกข์คนที่ยากลำบากในเหอเป่ย 

 

 

จั่งซุนเองก็บริจาคชุดเครื่องประดับเครื่องแก้ว รัชทายาทก็บริจาคเครื่องแก้วลูกบอล หลี่ไท่ หลี่เค่อก็เอาเครื่องแก้วที่อยู่ในมือออกมาบริจาค แม้แต่ฉางเล่อก็ยังบริจาคด้วย 

 

 

สัญญาณที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือ จักรพรรดิของต้าถังไม่ชอบเห็นสิ่งของมีค่าพวกนี้กระจัดกระจายอยู่ในต้าถัง ดังนั้นพวกที่ซื้อเครื่องแก้วพวกนั้นไป ไม่อยากบริจาคก็คงไม่ได้ 

 

 

ชาวหูมีกระเพาะที่ใหญ่ พวกเขาไม่เคยปฏิเสธเครื่องถ้วยแก้วที่สวยงามพวกนั้น แถมยังซื้อไปในราคาที่สูง 

 

 

ถ้าห้าปีก่อนพ่อค้าของรัชศกเจินกวนเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดของต้าถังไป ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเครื่องแก้ว 

 

 

หลังจากขายเครื่องแก้วเสร็จ หลี่ซื่อหมินเห็นว่าเงินมากเกินไป ก็เลยคืนกำไรค่าเครื่องแก้วของอวิ๋นเยี่ยให้พวกขุนนาง สำหรับคนที่ไม่จ่ายเงิน เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแอบหัวเราะดีใจ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าจะขอบคุณหรือจะโกรธดี แผนการแก้แค้นของเขาต้องล้มละลายเพราะการทำเช่นนี้ แต่เขาจะกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน 

 

 

เว่ยเจิงรับสินบนของตระกูลอวิ๋นเยี่ยไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ไว้หน้า คำนวณรายได้ของตระกูลอวิ๋นเยี่ยที่ได้จากงานประมูลแล้วเขียนบัญชีออกมาอย่างถูกต้อง ดังนั้นค่าภาษีก็ต้องชำระให้ถูกต้องตามที่เขียนไว้ด้วย ไม่ให้ตระกูลอวิ๋นมีโอกาสได้คั่งค้าง 

 

 

หลังจากจบงานประมูล ตระกูลของพวกเศรษฐีก็เริ่มชำระค่าภาษี ต่อไปตระกูลใหญ่ก็คงจะทำธุรกิจได้อย่างเปิดเผย กฎห้ามตอนกลางคืนของฉางอันก็อนุญาตให้ดึกกว่าเดิมได้อีกหนึ่งชั่วโมง 

 

 

ตระกูลอวิ๋นสะสมเงินได้จำนวนนับไม่ถ้วน หลี่กังเห็นแบบนี้ก็รีบขอให้ทำการขยายสำนักศึกษาครั้งที่สองทันที จ้าวเหยียนหลิงที่คุ้นเคยกับเรื่องของดาราศาสตร์ ก็ยื่นใบขอเงินจำนวนสามพันเหรียญอย่างไม่มีความเกรงใจ บอกว่าจะสร้างแผนที่ดาราศาสตร์ของตัวเองในสำนักศึกษา เพื่อที่จะแสดงให้เห็นได้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ เขาวางแผนที่จะฝังดวงดาวทั้งหมดไว้บนหลังคารูปโค้งขนาดใหญ่ ทิ้งหลักฐานไว้เพื่อดูว่าดาวหมาป่า กลุ่มดาวหมีใหญ่ กลุ่มดาวที่ไม่เป็นมงคลพวกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะได้เตือนราชวงศ์ให้เตรียมรับมือกับความโกลาหลของโลก 

 

 

ไม่รู้ว่ากลุ่มดาวพวกนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของโลกอย่างไร แต่เห็นสีหน้าที่ดื้อรั้นและไม่มีทางยอมแพ้ของจ้าวเหยียนหลิง อวิ๋นเยี่ยก็ให้เงินสามพันเหรียญเขาไปโดยไม่ลังเล ใครจะรู้ เขาอาจจะค้นพบอะไรตอนระหว่างดูดาวก็ได้ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรจากการซื้อหวย 

 

 

บางทีตอนที่กำลังวิจัยความยาวของหางหมูอยู่ อาจจะค้นพบว่าทำไมวัวถึงมีสี่กระเพาะ คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจความมหัศจรรย์ของเรื่องพวกนี้ และแน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เข้าใจ แค่คิดว่าคนที่มีความรู้อยู่เต็มสมองจู่ๆ ก็เลิกวิจัยเรื่องของใบชา เปลี่ยนมาวิจัยในสิ่งที่ตัวเองถนัด มันก็คือการพัฒนาตัวเองนั่นแหละ 

 

 

ใบของต้นเมเปิ้ลยังคงร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกยังร่วงลงมาเชื่องช้า แต่ต่อมากลับร่วงลงมาเป็นชั้นๆ แม้แต่เท้าของซินเย่วก็ถูกใบไม้พวกนั้นทับถมไปหมด ซิวเย่วหยิบใบไม้ที่ตกลงบนหน้าของอวิ๋นเยี่ยออกทิ้งข้างๆ และเอ่ยกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อกี้ยังตกลงมาช้าๆ อย่างสวยงาม ตอนนี้ตกลงมาราวกับโดนหมาไล่ เสียบรรยากาศ เยี่ยจึ เรากลับกันเถอะ ถ้าเจ้าหลับที่นี่เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” 

 

 

เอ่ยเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็จามออกมาเสียงดัง มีน้ำมูกไหล เขารีบหยิบใบไม้มาเช็ดแล้วก็พูดกับซินเย่วว่า “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามีหายนะกำลังใกล้เข้ามา ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาซะเลย” 

 

 

สองสามีภรรยาครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะมีหายนะอันใด 

 

 

สุดท้ายซินเย่วก็บอกว่า “เจ้าไม่สบายแล้ว ตากลมเย็น ร่างกายก็ต้องเย็นเป็นธรรมดาน่ะสิ” 

 

 

วั่งไฉวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมห่างไปไหน หรือว่ามันก็รู้สึกว่าจะมีหายนะเหมือนกัน มันโค้งหัวให้อวิ๋นเยี่ยไม่หยุด ราวกับว่าอยากจะทำอะไรบางอย่าง 

 

 

เมื่อถูกวั่งไฉผลักเข้ามาที่คอกม้า เห็นวั่งไฉกัดที่เสาไม้ตลอดเวลา ราวกับว่ามีอะไรอยากจะบอกอวิ๋นเยี่ย พอเดินเข้ามาในคอกม้า อวิ๋นเยี่ยจับหัวแล้วนั่งลงกับพื้น รู้สึกว่าตัวเองหมดสติ ท่อนไม้ที่ทำไว้ให้วั่งไฉแปรงฟันในคอกมีเห็ดขึ้น ก็คือหมายความว่า วั่งไฉใช้น้ำลายปลูกเห็ดขึ้นมาน่ะสิ 

 

 

การที่เห็ดหลินจือขึ้นบนคานบ้านเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องมงคลที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นต้องเอาไปรายงานต่อราชสำนัก อวิ๋นเยี่ยคิดมาโดยตลอดว่าการที่มีเห็ดขึ้นบนคานบ้าน แสดงได้ถึงปัญหาเดียวก็คือ คานบ้านกำลังจะเน่าเสียและบ้านก็กำลังจะพัง แต่ก็ยังหยุดพวกนักประพันธ์ที่ชอบร้องเพลงสรรเสริญโอ้อวดคุณธรรมไปทุกหนทุกแห่งไม่ได้ 

 

 

ตอนนี้วั่งไฉได้ปลูกเห็ดขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ซินเย่วจูบบนใบหน้าที่ยาวของวั่งไฉ มือหนึ่งลูบท้องของตัวเอง อีกมือหนึ่งลูบท้องของวั่งไฉ แล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “บ้านของเรากำลังจะมีเรื่องที่ดี เจ้าอย่าพูดว่ากำลังจะมีหายนะอะไร เจ้าดูสิ แม้แต่วั่งไฉยังปลูกเห็ดยาชูกำลังที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ ตระกูลอวิ๋นเยี่ยยังจะมีเรื่องร้ายได้อย่างไรกัน” 

 

 

หยุนซีที่มีหน้าที่ดูแลวั่งไฉตะโกนร้องและวิ่งเข้าไปที่สวนหลังบ้าน ไปเล่าเรื่องที่วั่งไฉปลูกเห็ดขึ้นมาให้ท่านย่าฟัง สักพักก็ทำให้บ้านตระกูลอวิ๋นครึกครื้นขึ้นมา 

 

 

เหล่าเฉียนทรุดตัวลงบนพื้นแล้วร้องไห้ ราวกับว่ามันเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ร้องไห้ออกมาสักนิดหนึ่งมันคงไม่เพียงพอที่จะแสดงถึงความภาคภูมิใจภายในใจของเขา 

 

 

ท่านย่ากัมหัวเคารพบรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นและพูดว่า นี่คือพรของบรรพบุรุษ ตระกูลอวิ๋นจะต้องเจริญรุ่งเรือง 

 

 

เมื่อออกมาจากห้องบูชาบรรพบุรุษ สิ่งแรกที่เริ่มทำคือเตือนซ่านอิง ต่อไปไม่อนุญาตให้รังแกวั่งไฉแล้ว มันอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำ ชอบให้มันดูอ้วนๆ หน่อย จะลดน้ำหนักทำไม ตาแก่อ้วนที่อยู่ในหมู่บ้านพึ่งจะตายไป มีอายุตั้งแปดสิบปี ใครบอกว่าต้องผอมถึงจะมีอายุยืน ผอมเหมือนไม่มีอันจะกินถึงจะดูดีอายุยืนก็ไม่ใช่มั้ง 

 

 

ซ่านอิงมองดูท่อนไม้อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ไปเอามาจากที่อื่นจริงๆ เขาก็เลยมองไปยังวั่งไฉตั้งแต่หัวจรดเท้า อยากจะดูว่ามันปลูกเห็ดที่ดีแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร 

 

 

แค่ซ่านอิงปรากฏตัว วั่งไฉก็รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยทันที ต่อมาเห็นว่าหลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยไม่ปลอดภัยก็เลยวิ่งไปหลบอยู่หลังท่านย่าแทน ถึงแม้ว่าก้นที่ใหญ่ของมันจะโผล่ออกมาข้างนอกก็ไม่สนใจ 

 

 

เรื่องมงคลเช่นนี้เมื่อเอาไปรายงานต่อราชสำนัก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากมณฑลหลานเถียนเซี่ยนได้มาตรวจสอบพื้นที่นี้ด้วยตัวเองและยังหารือกับอวิ๋นเยี่ยอย่างละเอียดว่า เป็นไปได้ไหมที่วั่งไฉจะเป็นม้าวิเศษ จากนั้นก็รีบกลับไปที่มณฑล ผ่านไปไม่นาน ก็มีม้าเร็วออกมาจากสำนักงานของหลานเถียนเซี่ยน และมุ่งหน้าไปยังฉางอัน 

 

 

วั่งไฉปลูกเห็ดออกมาจริงๆ แต่อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าวั่งไฉไม่ใช่ม้าวิเศษ ถ้าหลี่ซื่อหมินอยากจะได้ส่วนใดส่วนหนึ่งของม้าวิเศษไปทำยา เขาจะต้องให้หรือไม่ให้ล่ะ 

 

 

หลี่กังพาพวกศิษย์ของสำนักศึกษามาเดินรอบคอกม้านานกว่าชั่วโมง จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งสวดมนต์ขึ้นมา 

 

 

จุดเริ่มต้น จุดจบ เหตุและผลของเรื่องราว เมื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงและลางสังหรณ์ของเรื่องราวอย่างละเอียด เพราะนักบุญสามารถรู้ล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เขาถึงได้แสดงออกมาเป็นวาจา แสดงออกมาให้เห็นเป็นภาพ ในเมื่อเรื่องราวต่างๆ คาอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ จึงสามารถรู้ถึงเหตุและผลผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่มีหยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดตัวเลข มีตัวเลขถึงจะสามารถบันทึกได้ การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดรูปร่าง มีรูปร่างถึงจะสามารถบันทึกได้ ดังนั้น สามารถรับรู้เหตุและผลของเรื่องราวต่างๆ ได้จากการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขและรูปร่าง วันนี้มีม้าตัวผู้ทำให้ทุกสิ่งฟื้นฟูขึ้นมา… 

 

 

ผู้เฒ่าหลายคนต่างพากันส่ายหน้าและสวดมนต์ จมอยู่ในกับบทสวดจนไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ 

 

 

เมื่อเห็นเห็ดอันอวบอิ่ม อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะเอามาชิมสักหน่อย แต่กลับถูกท่านย่าปัดมือที่กำลังยื่นออกไป 

 

 

“หลานชายสุดที่รัก ถ้าเจ้าอยากทานเห็ดก็ให้อวิ๋นชีไปซื้อที่ร้านขายยา อย่าทำของมงคลพวกนี้เสียของ” เอ่ยจบนางก็มองไปยังท่อนไม้ซึ่งเต็มไปด้วยเห็ดด้วยความดีใจ 

 

 

พึ่งจะถึงตอนเที่ยง บ้านของตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นสถานที่ครึกครื้นไปเสียแล้ว หลี่เฉิงเฉียนพาขันทีมาดูสัญลักษณ์ของความมงคลนี้ เขานึกว่าเป็นฝีมือของอวิ๋นเยี่ย คิดว่าจะมาดูละครสักหน่อย 

 

 

หลังจากฟังที่อวิ๋นเยี่ยเล่าอย่างละเอียด และได้ยินที่ท่านย่าเล่า ถึงได้เชื่อว่าวั่งไฉปลูกเห็ดขึ้นมาจริงๆ หลังจากตรวจสอบในคอกม้าแล้ว เขาก็มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้ามึนงง 

 

 

เฉิงเหย่าจินก็มาด้วย ดูสัญลักษณ์ของความมงคลเสร็จเขาก็พูดออกมาว่า “กลุ่มพ่อค้ากลุ่มสุดท้ายของฉ่าวหยวนกำลังจะมาถึงฉางอัน ภรรยารองชาวเติร์กของเจ้าก็มาด้วย พรุ่งนี้ก็จะมาถึงฉางอัน เจ้าส่งคนไปรับหน่อยเถิด จะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลของเจ้าได้มาก อย่าปล่อยให้หลุดมือไป ผู้หญิงเช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ” 

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยรู้แล้วว่าทำไมตัวเองรู้สึกเหมือนหายนะกำลังใกล้เข้า เด็กคนนี้จะมาฉางอันก็ไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ภายใต้การจู่โจมที่กะทันหัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยเลย 

 

 

อีกไม่กี่เดือนซินเย่วก็จะคลอดแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องมีความสุข หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยจะเผาตระกูลอวิ๋นทิ้งให้หมด 

 

 

“ท่านพี่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้น” ซินเย่วเห็นว่าสามีที่กลับมาจากข้างนอกดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุข นางเลยวางงานเย็บปักถักร้อยในมือลง และเอ่ยถามอวิ๋นเยี่ย 

 

 

“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่ชอบให้พวกเขาเรียกวั่งไฉไปๆ มาๆ ข้าไม่สบายใจ” อวิ๋นเยี่ยก็เลยต้องหาข้ออ้างโกหกไป 

 

 

“เยี่ยจึ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า เจ้าอย่าโกรธข้านะ วันนี้ท่านลุงเฉิงมาที่บ้านเรา คงจะปิดเจ้าไม่ได้ ข้าเรียกน้องน่ารื่อมู่ที่ฉ่าวหยวนกลับมาที่ฉางอัน”