[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 32 น้ำตาของน่ารื่อมู่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ผู้หญิงไม่เคยแน่นอนอยู่แล้ว เพื่อที่จะไปรับน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยจงใจให้ซินเย่วทำงานที่นางชอบทำมากที่สุด นั่นก็คือการนับเงิน 

 

เหอเซ่าขนเงินจากฉางอันมาที่บ้านเป็นรถเข็น เอามากองอยู่ในโกดังใหญ่ กองใหญ่รกรุงรังนับไม่ถ้วน เหอเซ่าตอนนี้ไม่นับเงินทีละเหรียญอีกต่อไป แต่ใช้เครื่องชั่งขนาดใหญ่ในการชั่งน้ำหนัก ดังนั้นตอนที่นักบัญชีของตระกูลอวิ๋นบันทึกเงิน ก็จะคำนวณตามน้ำหนักที่ชั่งได้ มันทำให้เว่ยเจิงที่คอยนับเงินของตระกูลอวิ๋นรู้สึกหดหู่ 

 

มองดูตระกูลอวิ๋นจ่ายค่าภาษีหนึ่งแสนเหรียญ แล้วมองดูกองเงินที่ใหญ่เท่าภูเขาของตระกูลอวิ๋น มีหลายครั้งที่เขาอยากจะอ้าปากบอกให้ตระกูลอวิ๋นจ่ายค่าภาษีให้เยอะๆ หน่อย เพราะว่าเงินของตระกูลอวิ๋นได้มาอย่างง่ายดาย แต่คำพูดก็ติดอยู่ที่ปากไม่กล้าพูดออกมา ไม่มีอะไร ตอนนี้ในฉางอันก็มีแค่ตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่จ่ายค่าภาษี ต่อมาก็มีตระกูลเหอ ตอนนี้ดูเหมือนจะมีตระกูลเฉิง หนิว ฉินเพิ่มขึ้นมาอีกสามตระกูล 

 

ซินเย่วนั่งอุ้มท้องอยู่ที่เก้าอี้ มองดูคนรับใช้ที่ขนเงินเข้าออกราวกับมดอย่างไม่ยิ้มแย้มเลยสักนิด 

 

เหล่าเฉียนเอาเงินและทองไปฝากไว้ที่ธนาคารของหมู่บ้านแล้ว ที่เหลือเป็นเงินที่ตระกูลอวิ๋นเตรียมไว้สำหรับเป็นเงินเก็บของสำนักศึกษา 

 

เสี่ยวตงคอยเดินนับตามคนรับใช้และเก็บเหรียญที่ตกกระจัดกระจายอยู่ข้างทาง เขาหวงแหนเงินทองทุกบาททุกสตางค์ แม้แต่เหรียญที่อยู่ในโคลนก็ต้องขุดออกทีละเหรียญ ล้างให้สะอาดแล้วค่อยเก็บไว้ เงินพวกนั้นก็กลายเป็นของตัวเอง ตั้งชื่อให้ว่า เก็บมา 

 

ซินเย่วที่กำลังทำบัญชี ทำอยู่ดีๆ ก็ขว้างปากกาที่ถืออยู่ในมือออกไปอย่างหงุดหงิด ถอนหายใจแล้วมองไปยังประตู 

 

อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ในศาลาที่ห่างออกไปสามสิบเมตร น่ารื่อมู่จะมาถึงในวันนี้ เมื่อกลุ่มพ่อค้าของตระกูลเฉิงปรากฏขึ้นมาในสายตา อวิ๋นเยี่ยก็หยิบกาลาฮ้านออกมาจากกระเป๋าแล้วเอามาใส่ไว้ตรงหน้าอก น่ารื่อมู่จะต้องดูทุกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะคิดว่าถ้าอวิ๋นเยี่ยยังคงเก็บกาลาฮ้านไว้แสดงอวิ๋นเยี่ยชอบตัวเอง บอกว่าเทพพระเจ้าอะไรสักอย่างบอก 

 

ชนเผ่าฉ่าวหยวนมีเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากมาย แม้แต่บ่อน้ำก็มีเทพเจ้า แค่ออกมาจากกระโจมก็จะต้องเจอเข้ากับเทพเจ้าสักองค์หนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม น่ารื่อมู่เชื่ออย่างหนักแน่นว่ารอบตัวนางเต็มไปด้วยเทพเจ้า เพราะแบบนี้ แค่นางไปตักน้ำที่บ่อน้ำนางยังต้องอธิษฐาน ตัดหญ้าก็ต้องอธิษฐาน หรือแม้แต่ก่อไฟก็ต้องขอให้เทพแห่งไฟประทานไฟให้นาง 

 

ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาที่จุดไฟให้นาง แต่นางก็ยังคงเชื่อว่าเทพพระเจ้าแห่งไฟเป็นคนบอกให้อวิ๋นเยี่ยเอาให้นาง นางก็เลยไม่เคยขอบคุณอวิ๋นเยี่ยเลย ขอบคุณแต่เทพพระเจ้าบนสวรรค์ 

 

ได้ยินเสียงม้าร้องมาแต่ไกล ใช่ มันเป็นเสียงของม้าต้าชิง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเลี้ยงสัตว์อะไร สุดท้ายมันก็จะเข้ากับเขาได้ดีตลอด เมื่อได้กลิ่นของอวิ๋นเยี่ย ก็ต้องร้องทักทายเป็นธรรมดา 

 

เงาสีแดงลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมที่อยู่ข้างหลังถูกลมพัดโบกสะบัด หญิงชาวฮั่นคนหนึ่งที่ขี่ม้าด้วยความชำนาญ ตะโกนเรียก “ท่านพี่” มาแต่ไกล… 

 

เท้าหน้าของม้าต้าชิงกระโดดขึ้นสูง เท้ายังไม่ทันลงถึงพื้น หญิงที่ใส่ชุดสีแดงก็พุ่งตรงไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยล้มลงกับพื้นทันที ไม่สนใจสายตาแปลกๆ ของคนอื่น น่ารื่อมู่นั่งทับบนท้องของอวิ๋นเยี่ยและล้วงเข้าไปในหน้าอกของเขา 

 

กาลาฮ้านพึ่งจะอุ่นได้อุณหภูมิพอดี น่ารื่อมู่หยิบมันมาลูบกับหน้า จากนั้นใส่กลับเข้าไปในหน้าอกของอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง 

 

หอมแก้มของอวิ๋นเยี่ยและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าสวยไหม ตอนนี้ข้าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในฉ่าวหยวน เซ้อเหลิงยังต้องเอาวัวตั้งห้าร้อยตัวมาเป็นสินสอดขอแต่งงานกับข้า แต่เจ้ากลับให้ข้าแค่ก้อนหินก้อนเดียว” 

 

พูดเสร็จนางก็หยิบจี้หยกสีขาวของอวิ๋นเยี่ยออกจากคอด้วยความน้อยใจ เอาวางไว้ตรงหน้าให้อวิ๋นเยี่ยดู 

 

ไม่ได้เจอน่ารื่อมู่สองปี นางโตขึ้นแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงก้นที่นั่งอยู่บนท้องของอวิ๋นเยี่ย แค่หน้าอกที่ยื่นออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้ ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะมีร่องรอยของการฝ่าฟันอุปสรรค แต่กลับทำให้นางดูสง่างาม 

 

อวิ๋นเยี่ยแอบดมกลิ่นที่คอของนาง โชคดีที่มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ตระกูลอวิ๋นเป็นคนผลิต ไม่ใช่กลิ่นวัวกลิ่นแกะเหมือนแต่ก่อน 

 

น่ารื่อมู่ดีใจมากที่ได้เจอกับอวิ๋นเยี่ย เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ชนเผ่าฉ่าวหยวนให้เขาฟัง จับวัวจับแกะ แขนเสื้อที่เต็มไปด้วยขิงและร้องไห้กับพวกนายพลถังในค่ายทหาร แกะถูกตัดขนจนเกลี้ยงเกลาวิ่งไปวิ่งมา เอ่ยจบ สุดท้ายนางก็นอนร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย บอกว่าหลายครั้งที่ฝันว่าอวิ๋นเยี่ยไปหานางที่ฉ่าวหยวน แต่พอตื่นขึ้นมา ก็มีแค่น้ำตาบนใบหน้าแต่กลับมองไม่เห็นใคร 

 

คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นเยี่ยก็ต่างพากันหันหลังให้เป็นวงกลมล้อมรอบอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ที่อยู่ข้างใน จะมองดูท่านขุนนางของพวกตนถูกผู้หญิงนั่งทับท้องไม่ได้ 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ลูบผมของน่ารื่อมู่ ปล่อยให้นางพูดให้เต็มที่ นางร้องไห้หนักมาก จนเสื้อผ้าของอวิ๋นเยี่ยเปียกโชกไปหมด ผิวบริเวณหน้าอกก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่อยู่ในน้ำตาเหล่านั้น 

 

น่ารื่อมู่จับมือของอวิ๋นเยี่ยมาจับลงที่หน้าอกของตัวเองและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า ใหญ่ขึ้นไหม ข้าดื่มนมทุกวัน เพื่อที่จะได้มีลูกที่แข็งแรงในอนาคต ให้เขาเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของฉ่าวหยวน 

 

ปล่อยให้นางนั่งบนท้องของตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว คนที่ว่างเว้นมานานอย่างอวิ๋นเยี่ยไม่สามารถทนต่อความหอมที่เย้ายวนเช่นนี้ได้ 

 

เขาอุ้มน่ารื่อมู่ขึ้นมา แต่นางกลับไม่ยอมลงจากเอวของอวิ๋นเยี่ย หัวเราะคิกคักและห้อยอยู่บนตัวของเขาราวกับสลอธ มือสองข้างกอดคอของอวิ๋นเยี่ย ขาสองข้างรัดเอวของอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น 

 

ขี่ม้าในท่านี้คงจะถูกคนฉางอันสาปแช่งเอาได้ เพราะฉะนั้น นั่งรถม้าจึงกลายเป็นทางเลือกเดียว ฮ่วนเหนียงใช้เวลาสองปีในการอบรมสั่งสอนน่ารื่อมู่ให้กลายเป็นแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายกย่องจริงๆ 

 

หันหน้าไปมองฮ่วนเหนียงที่นั่งอยู่ในรถม้า ดูเหมือนว่านางก็ดูเด็กลงไม่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้า มองดูน่ารื่อมู่ที่กำลังอ้อนอวิ๋นเยี่ย ราวกับกำลังมองลูกสาวที่ยังไม่โตของตัวเอง 

 

“สองปีนี้ลำบากเจ้าแล้ว” อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอ้อมค้อมอะไร แต่พูดถึงประเด็นสำคัญโดยตรง 

 

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว สองปีนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของข้า ชีวิตในฝันของข้าก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ขอบพระคุณท่านที่คอยสนับสนุนและเมตตากับฉ่าวหยวน หากไม่มีท่าน พวกเราก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จ น่ารื่อมู่ยังคงเด็ก ท่านโปรดสงสาร” 

 

น่ารื่อมู่ที่ห้อยอยู่บนตัวของอวิ๋นเยี่ย มองที่อวิ๋นเยี่ยแล้วก็มองไปที่ฮ่วนเหนียง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนครอบครัวเดียวกันต้องเกรงใจกันขนาดนี้ 

 

จิตใจที่บริสุทธิ์ไม่สามารถทนต่อความสกปรกในเงามืดได้ อวิ๋นเยี่ยกับฮ่วนเหนียงยิ้มให้กัน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก วันนี้ไม่ควรที่จะมาคิดกังวลอะไร ได้มาเจอกันเช่นนี้จะต้องดีใจเท่านั้น 

 

น่ารื่อมู่ไม่ยอมออกห่างจากอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย นั่งบนรถม้าเล่าถึงความสำเร็จนั่นนี่ของตัวเอง นางก็แค่อยากจะให้อวิ๋นเยี่ยภูมิใจในตัวนางเท่านั้น 

 

จู่ๆ ชาวเติร์กที่ขี้ม้าติดตามมาด้วยก็พากันร้องเพลงขึ้นมา ฟังไม่เข้าใจ แต่แค่รู้สึกว่าบทเพลงนี้เต็มไปด้วยคำอวยพร 

 

จู่ๆ น่ารื่อมู่ก็รู้สึกอายขึ้นมา เอาหัวซุกเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย แต่ก้นกลับงอนขึ้นสูง 

 

“พวกเขาร้องเพลงอะไรกัน ช่างไพเราะ” อวิ๋นเยี่ยถามพร้อมกับตบก้นนาง 

 

“เพลงส่งตัวเจ้าสาว ท่านพี่ พวกเขาส่งตัวข้ามาแต่งงานกับเจ้า เเต่ต้าอาหม่านกลับไม่เห็นด้วย ข้าเชิญต้าอาหม่านมา ข้ารับปากว่าจะให้วัวเขาสิบตัวเป็นการขอบคุณ แต่เขาก็ไม่ยอมมา เขาบอกว่าสักวันหนึ่งข้าจะถูกเทพเจ้าลงโทษ” 

 

พูดถึงเทพเจ้าน่ารื่อมู่ก็ตัวสั่นไปหมด ในใจของอวิ๋นเยี่ยโมโหราวกับถูกไฟแผดเผา ดูเหมือนว่าต้าถังยังทำให้พวกเขาก้มหัวไม่ได้ พวกเขายังคงเชื่อในเทพเจ้าของตัวเองอย่างหนักแน่ 

 

เมื่อเช็ดน้ำตาให้น่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของชาวฮั่น ต่อไปเทพเจ้าของชนเผ่าฮั่นจะปกป้องเจ้าเอง ต้าอาหม่านไม่เห็นด้วยที่เจ้าแต่งงานกับข้า แถมยังสาปแช่ง บรรพบุรุษของตระกูลอวิ๋นต้องลงโทษเขาเป็นแน่ ไม่เพียงแต่ลงโทษเขาคนเดียว แต่จะลงโทษอาหม่านทั้งหมด” 

 

น่ารื่อมู่ที่ไร้เดียงสาฟังไม่เข้าใจคำพูดที่ซับซ้อนของอวิ๋นเยี่ย แต่แค่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก มีกลุ่มบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่คอยปกป้องตัวเอง 

 

“แล้วบรรพบุรุษจะชอบข้าไหม แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเขาจะต้องชอบน่ารื่อมู่ที่งดงามแน่ๆ” นางมีความมั่นใจอยู่เสมอ 

 

ประตูของตระกูลอวิ๋นในช่วงพระอาทิตย์ตกดูยิ่งใหญ่อลังการ ซินเย่วพึ่งจะให้คนทาสีใหม่ไปสองครั้ง ดูหรูหราและเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูก ซินเย่วต้องลงทุนมากแค่ไหน แค่เพียงเพื่อจะแสดงอำนาจให้น่ารื่อมู่เห็น 

 

ไม่มีประโยชน์ ทุกสิ่งที่นางพยายามเตรียมไว้ไม่มีผลต่อน่ารื่อมู่เลยสักนิด นางแค่คิดว่าประตูของตระกูลอวิ๋นมีสีสันสวยงาม ซินเย่วเสียเงินเปล่าแล้ว 

 

น่ารื่อมู่เดินเล่นในตลาดที่กำลังจะปิด สนุกสนานราวกับนกกระจอกตัวน้อย นางชอบไปหมดทุกอย่าง แต่ที่น่าหดหู่ก็คือ ของในที่นี้เก็บเอาไม่ได้ ต้องจ่ายเงินซื้อ 

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนที่บ้านรออยู่ แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เร่งน่ารื่อมู่ เดินเล่นเป็นเพื่อนนาง จนกระทั่งเห็นว่าน่ารื่อมู่จะยกหม้อขนาดใหญ่สองใบไปขึ้นรถม้า อวิ๋นเยี่ยถึงได้ห้ามพฤติกรรมที่ไร้สาระของนาง 

 

ตอนนี้ในรถม้าเต็มไปด้วยสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง ผ้าไหมสวยๆ เก้าอี้สไตล์ใหม่ กระโถนสีแดง กลองของเล่นเด็ก กังหันลม และยังมีผลไม้ต่างๆ ของฤดูใบไม้ร่วง 

 

นางอุ้มทับทิมสองลูกที่อวิ๋นเยี่ยแกะให้นาง กัดซ้ายกัดขวาอยากพอใจ เคี้ยวเมล็ดทับทิมอย่างเอร็ดอร่อย 

 

น่ารื่อมู่มองดูพ่อค้าแม่ค้าออกไปจากตลาดด้วยความผิดหวัง ที่ฉ่าวหยวนมีแค่ในวันเกิดของเทพเจ้าเท่านั้นถึงจะมีการรวมตัวของผู้คนมากมายเช่นนี้ ทุกครั้งที่จากลากัน อาจจะเป็นการจากลาที่ตลอดไป น่ารื่อมู่ก็เลยไม่ชอบการจากลา ไม่ชอบเลยสักนิด 

 

“พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาก็มาเหมือนเดิม ครึกครื้นเช่นนี้ทุกวัน” 

 

“จริงเหรอ พรุ่งนี้พวกเขาไม่ไปต้อนแกะเหรอ” 

 

“ไม่ไป พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการขายของ ก็เหมือนกับกลุ่มพ่อค้าที่เจ้าเห็นในฉ่าวหยวน” 

 

คนที่ไร้เดียงสา ความเศร้าเสียใจมาเร็วไปเร็ว ได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่าพวกเขาแค่กลับไปนอนหลับพรุ่งนี้ก็มาใหม่ ความเศร้าในใจก็หายไปทันที และเต็มไปด้วยความดีใจ 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าน่ารื่อมู่ไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบของที่บ้าน เขาก็เตรียมพร้อมที่จะช่วยน่ารื่อมู่ไว้แล้ว แค่เห็นคอที่ยื่นออกมาของซินเย่ว ก็รู้แล้วว่าน่ารื่อมู่จะต้องเจอกับอะไร 

 

แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้ วิธีการที่น่ารื่อมู่เคารพท่านย่าแทบจะไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นคำทักทายหรือการโค้งคำนับ ก็เป็นไปตามกฎระเบียบ 

 

ท่านย่าประคองน่ารื่อมู่ขึ้นมาด้วยความดีใจ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหู หน้าอกและบั้นท้ายเป็นสัญลักษณ์ของการมีลูกที่ดีมาโดยตลอด ตระกูลอวิ๋นตอนนี้มีลูกแค่สองคน น้อยไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นเยี่ยคัดค้าน ท่านย่าคงให้อวิ๋นเยี่ยแต่งภรรยารองไปแล้วไม่รู้กี่คน