น่ารื่อมู่ชื่นชอบชุดของซินเย่วเป็นพิเศษ ชุดสีแดง ด้านบนปักรูปดอกไม้ มงกุฎไข่มุก ปิ่นสีทองปักอยู่บนเส้นผม นกยูงที่อยู่ข้างบนเหมือนกำลังกระพือปีกบิน
ดูก็รู้ว่านางอยากได้ปิ่นปักผมอันนั้น แต่ซินเย่วทำหน้าเชิด ทำให้นางไม่กล้าขยับ บึนปากและทำความเคารพซินเย่วด้วยความน้อยใจ จากนั้นก็จับแขนอวิ๋นเยี่ยไม่ปล่อย
ชี้ไปยังปิ่นบนหัวซินเย่ว เขย่าแขนของอวิ๋นเยี่ยไม่หยุด บอกว่านางก็อยากได้เหมือนกัน
สีหน้าของซินเย่วเปลี่ยนไป กำลังจะโมโหอะไรสักอย่าง แต่ก็กลับยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว นางนึกถึงวันที่ตัวเองไปขอชุดให้น่ารื่อมู่ที่หงหลู่ซื่อ ชุดของผู้หญิงระดับเจ็ด ท่านอวิ๋นกับภรรยารองต่างก็ชอบสิ่งของระดับเจ็ดพวกนี้
นางยิ้มและโบกมือให้น่ารื่อมู่ หยิบชุดที่อยู่ในกล่องด้านหลังออกมาให้น่ารื่อมู่ สีขาวหิมะ มีผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากเส้นไหม มงกุฎไข่มุกก็มี แต่แค่ไข่มุกไม่ใหญ่เท่าของซินเย่ว ไม่ได้สง่างามเท่าของนาง
ซินเย่วรู้จักความเหมาะสม รู้ว่าตัวเองแสดงอำนาจบาตรใหญ่ได้แค่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ จะทำให้คนนอกเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอวิ๋นเยี่ยจะโกรธเอาได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวนางเอง
น่ารื่อมู่ยิ้มราวกับลูกสุนัขน้อย เห็นชุดที่สวยงาม มองซ้ายมองขวาแล้วก็ปิดประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเพื่อลองชุดใหม่
เลือดกำเดาของอวิ๋นเยี่ยกำลังจะไหลออกมา ซินเย่วอ้าปากค้าง น่ารื่อมู่เปิดเผยรูปร่างที่สวยงามต่อหน้าพวกเขาสองคน หน้าอกที่เนินสูง บั้นท้ายที่กลมกลึง เอวที่รีดบาง ต้นขาที่แข็งแรง รูปร่างที่สวยสมบูรณ์แบบ
นี่คือชุดที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีการตัดเย็บ ไม่มีไข่มุก สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงก็คือความงามอีกอย่างหนึ่ง
ซินเย่วก้มมองลงไปที่หน้าอกของตัวเอง มองขาของตัวเอง จากนั้นก็มองแขนของตัวเอง สุดท้ายมองมาที่ท้องที่กำลังป่อง ถึงได้มีความมั่นใจขึ้นมา
ในฐานะพี่สาว นางไม่มีทางปล่อยให้น่ารื่อมู่ยืนเปลือยกายใส่ชุดด้วยตัวเอง นางยืนขึ้นไปช่วยน่ารื่อมู่ใส่ชุด แล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “มีคนบอกว่าแต่งภรรยาให้ดูที่คุณธรรม แต่งภรรยารองให้ดูความงาม ไม่ผิดจริงๆ เจ้าสามารถหาคนที่สวยงดงามเช่นนี้ได้ในฉ่าวหยวน ท่านพี่ช่างเก่งกล้าสามารถ”
มองซินเย่วที่กำลังกัดฟัน อวิ๋นเยี่ยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ใครจะรู้ว่าแค่สองปีน่ารื่อมู่จะเปลี่ยนไปขนาดนี้ เด็กผู้หญิงที่เคยผอมแห้ง ถูกลมพัดก็ปลิว ขี่ม้าตลอดทั้งวัน ทำให้พระเจ้าประทานรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้แก่นาง
น่ารื่อมู่อวดชุดใหม่ให้อวิ๋นเยี่ยกับซินเย่วดูไม่หยุด เด็กหญิงคนนี้ใส่ชุดเช่นนี้ ก็มีความงามที่แตกต่างออกไป
ซินเย่วดูออกแล้วว่า น่ารื่อมู่เป็นแค่เด็กที่ไม่รู้ประสาอะไร ตัวเองอยากจะสอนมารยาทให้นาง มันก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง ถึงแม้ว่าไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ในใจกับยิ้มอย่างพอใจ ผู้หญิงเช่นนี้ ไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลตระกูลอวิ๋น
แสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปแล้ว รอยยิ้มก็ดูมีเมตตาขึ้นมาไม่น้อย จับแขนน่ารื่อมู่ให้มายืนแต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจกของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ภรรยารองของตระกูลอวิ๋นที่สวยสดงดงามก็เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล
ความงดงามของฮูหยินคนที่สองของตระกูลอวิ๋นแพร่กระจายไปทุกตำหนักในฉางอันอย่างรวดเร็ว แต่งภรรยารองไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของบ้านออกหน้า พวกฮูหยินในตำหนัก หลูฮูหยิน สาวใช้พวกนั้นต่างพากันยื่นคอออกมา พร้อมที่จะดูว่าความงดงามของฉ่าวหยวนเป็นเช่นไร
ผู้หญิงในฉ่าวหยวนไม่เคยอายที่จะอวดความงดงามของตัวเอง นิสัยร่าเริง ความกล้าหาญ ทำให้ผู้หญิงที่เติบโตมาด้วยความถนุถนอมมีความรู้สึกแปลกตาเป็นอย่างมาก
สุดท้ายก็กลายเป็น อวิ๋นเยี่ยแต่งภรรยารองที่งดงามจนเป็นหายนะของประเทศและประชาชน หลี่เฉิงเฉียนถามแปดครั้งว่า น่ารื่อมู่มีพี่สาวน้องสาวไหม ถ้ามี จงหยวนยินดีต้อนรับและจะดูแลเป็นอย่างดี
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับภรรยารอง อย่าให้ข้าได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ครั้งที่ผ่านมาที่เจ้าแต่งงานกับตระกูลซู แผลภายในข้ายังไม่หายดีเลย ผ้าพันแผลยังพันรอยแส้พวกนั้นไม่หมด ข้ารับไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้ามีภรรยาเยอะเหมือนกับพ่อของเจ้า ข้าโดนเฆี่ยนอยู่ทุกครั้ง ข้าคงจะอยู่ได้ไม่นาน ขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าไปหาเพื่อนเจ้าบ่าวคนใหม่ได้ไหม อย่างเช่นหลี่ไท่น้องของเจ้าก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”
หลี่ไท่ที่กำลังดื่มชาถึงกับสำลัก สะบัดมือแล้วพูดว่า “ผู้หญิงพวกนั้นอย่างกับคนบ้า ข้ายังเห็นมีคนถือเข็มยาวๆ เยี่ยจึ ก้นของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง พวกเขาไม่เบามือเลย”
หลี่เค่อส่ายพัดในวันที่อากาศเย็น แล้วพูดเบาๆว่า “เยี่ยจึ เจ้าเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าคิดว่ารอให้ข้าแต่งงานปีหน้า ข้าก็จะเชิญเจ้าไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
หลี่ไท่หัวเราะและพูดว่า “เพื่อนเจ้าบ่าวของเราทั้งสามคนล้วนเชิญเจ้ามาเป็น ข้าลองนับดูแล้ว แต่งงานครั้งหนึ่ง เจ้าจะต้องถูกเฆี่ยนสามสิบกว่าที กฎระเบียบของราชวงค์ ท่านพี่ต้องมีภรรยารองสิบสองคน พวกข้าสองคนมีอีกแปดคน ลองนับดู เจ้าก็จะถูกเฆี่ยนแปดร้อยกว่าที บวกกับมเหสีอีกสามคน ก็คือหนึ่งพันที เจ้าน่าจะยังพอไหว”
“ถ้าอนุญาตให้ข้าใส่ชุดเกราะในงานแต่งของพวกเจ้าก็ยังพอคุยกันได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะต้องกลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกผู้หญิงเฆี่ยนจนตายเพราะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
“เรื่องมงคลของวั่งไฉรายงานให้กับราชสำนักเรียบร้อยแล้ว วั่งไฉของเจ้าจะได้รับรางวัล น่าจะเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความคิดที่ไม่ดีของเจ้า ตำแหน่งขุนนางของข้าสูงส่งและบริสุทธิ์ ยังไม่ถึงขั้นต้องมาเป็นเทพพระเจ้าให้สัตว์พวกนี้”
นี่ก็คือสามคนที่มาแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ยที่แต่งภรรยารอง พูดจาถากถาง จิตใจโหดเ**้ยม หนึ่งในนั้นยังมีคนที่มาขัดขวางความคิดที่ไม่มีอยู่จริงของอวิ๋นเยี่ย
เอาพี่น้องสามคนนี้ออกไปจากบ้านได้แล้วก็กลับมาที่ห้องโถงด้านหลัง เห็นว่าซินเย่วกำลังอุ้มท้อง ยุ่งอยู่ในห้องหอ ปูพื้นให้ชุดชงชา จุดเทียนในโคมไฟ แล้วยังสะบัดผ้าห่มตั้งหลายครั้ง ดูว่ามีพวกวอลนัทที่นูนออกมาจากข้างใต้หรือป่าว
น่ารื่อมู่นั่งอยู่หน้าเตียง ส่งสายตาให้อวิ๋นเยี่ยเพื่อบอกว่าให้ซินเย่วออกไปได้แล้ว ผู้หญิงที่ไร้เดียงสาก็ไม่อยากให้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องของตัวเองในคืนแต่งงาน
“รัชทายาทไปแล้ว? ทำไมไปเร็วจัง ยังเช้าอยู่เลย ตอนที่เราแต่งงานกัน เจ้ากลับมาตั้งดึก เหตุใดกัน หรืออาลัยอาวรณ์คนสวยของเจ้า?”
ซินเย่วนั่งลงและเหลือบไปมองอวิ๋นเยี่ย รู้สึกขุ่นเคือง ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่อยู่ด้วยกันคือเรื่องผิด ตัวเองเสียเปรียบมาก
“ไม่อยากไปก็อยู่ต่อได้ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะร้องไห้เช่นไร ข้าจะรอดู”
ปวดใจอย่างไม่มีเหตุผล นางทำการทำงานที่ไหนกัน นางหาข้ออ้างให้ตัวเองทั้งนั้น จะได้อยู่ที่ห้องหอต่อ ดูว่าน่ารื่อมู่จะทำอะไรกับสามีตัวเอง
พูดเสร็จ ซินเย่วก็ลุกขึ้นไปบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงปลายจมูก เหลือให้เห็นแค่ดวงตาสองข้าง ตั้งหน้าตั้งตาดูว่าสองนี้จะเริ่มต้นอย่างไร
ยังจะเริ่มอะไรอีกล่ะ นอนหลับท่ามกลายเสียงเอะอะโวยวายของน่ารื่อมู่ ถอดชุดของนางออกแล้วยัดเข้าไปใต้ผ้าห่ม ตัวเองก็ถอดชุดคลุมออก นอนอยู่ตรงนอกสุดแล้วเป่าเทียนให้ดับ
เสียงหัวเราะของซินเย่วดังออกมาจากผ้าห่ม น่าเตะซะจริงๆ แต่ว่าตอนนี้นางท้องอยู่ จะรุนแรงกับนางไม่ได้
น่ารื่อมู่ก็ยังคงพึมพำไม่หยุด แถมยังให้นิ้ววาดวงกลมบนท้องของอวิ๋นเยี่ย โดนซินเย่วเตะที่ก้นสองทีถึงได้เงียบลง
ถ้าบอกว่าน่ารื่อมู่ไม่รู้อะไรเลยก็คงจะดูถูกนางเกินไป วันนั้นที่นางถอดเสื้อผ้าต่อหน้าซินเย่ว ในใจนางคิดที่จะโอ้อวด แน่นอนว่ามันกระทบต่อซินเย่วไม่เบา
มันทำให้ซินเย่วกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียความเป็นที่รักไป เพราะท้องอยู่เลยไม่สามารถทำให้สามีมีความสุขได้ วันนี้ถึงได้มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นนี้
“เจ้าสองคนฟังนะ ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร ชีวิตนี้ของข้าก็จะมีแค่พวกเจ้าสองคน อาเย่วท้องแล้ว คาดว่าจะเป็นลูกผู้ชาย ชีวิตนี้ของข้าไม่มีพรสวรรค์ที่จะมีลูกสาว ถึงแม้ว่าข้าจะอยากมีลูกสาวแค่ไหนก็ตาม
ชีวิตจะสั้นจะยาวแค่ไหนก็เถอะ อาเย่ว เดิมที่ข้าจะแต่งกับเจ้าคนเดียว เจ้าก็รู้ แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่แต่งกับน่ารื่อมู่ไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงของฉ่าวหยวน ไม่ใช่เรื่องที่เด็กโง่อย่างนางจะรับมือได้คนเดียว เด็กคนนี้เอาชีวิตของนางให้ข้า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งนางได้
ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา คิดว่าเรื่องทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของตัวเอง แต่น่าเสียดาย ข้าคงยังมีจุดยืนที่ไม่มั่นคงพอ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่าได้โศกเศร้าเสียใจ ถ้าข้าตายไป พวกเจ้าก็เอาข้าไปแบ่งเป็นสองส่วน เก็บไว้เป็นที่ระลึกคนละส่วน ถือว่าข้าขอโทษ เพราะอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็เป็นคนผิด”
น่ารื่อมู่กอดอวิ๋นเยี่ยแน่น เหมือนว่าจะใช้แรงทั้งหมดที่มี นางไม่พูดอะไร ใช้การกระทำบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองห่วงใยเขามากเพียงใด
ซินเย่วออกมาจากผ้าห่ม ร้องไห้ตีอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “วันดีเช่นนี้ยังจะมาพูดจาเช่นนี้อีก ไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยก็บอก ข้าออกไปก็ได้ ไม่ต้องพูดจาเหมือนเอามีดมาแทงหัวใจเช่นนี้”
“ถอดชุดออก นอนดีๆ ฟังข้าพูด อย่าพูดแทรก” อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นไปถอดเสื้อผ้าของซินเย่วออก แล้วก็ยัดเข้าไปในผ้าห่ม
“ตระกูลของเราจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เล็กก็ไม่เล็ก ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในฉางอัน แต่ก็ยังคงเป็นตระกูลชั้นสอง ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็เลยจัดอะไรบางอย่างไว้ที่ฉ่าวหยวน หลี่จิ้งสงสัยในสิ่งที่ข้าทำ แต่เขาไม่มีหลักฐาน พูดอะไรไม่ได้”
“ไอ่แก่นี่เอาเปรียบเราขนาดนั้น ยังจะมามีปัญหากับตระกูลเราอีก ไม่มีจิตสำนึกเลย ท่านพี่ต้องหาเงินเหนื่อยเช่นนั้น ยังจะมาทำกันเช่นนี้ ท่านพี่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ตระกูลเราไปหลบอยู่ที่เขาหยู้กันเถอะ น้องน่ารื่อมู่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เงินของเรามีมากพอสิบชั่วอายุคน”
“มิเช่นนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน หญิงพี่ก็ไปด้วย กลางวันเราต้อนวัว กลางคืนฟังท่านพี่เล่านิทาน ดูดาว ท้องฟ้าของฉ่าวหยวนสดใสที่สุด เราให้ฮ่วนเหนียงดูแลลูกของเรา ท่านย่าชงชาอยู่ในกระโจม ดีไหม”
“การใช้ชีวิตสองแบบนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดในชีวิต รอให้น้องๆ ออกเรือนแต่งงานกันหมดแล้ว เราก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของราชวงค์ ช่วงบรรยากาศดีๆ เราก็ไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน ก่อนจะถึงหิมะแรกเราก็กลับไปที่เขาหยู้ ต้องมีความสุขมากแค่ไหนที่มีช่วงเวลาเช่นนี้”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองมาอยู่ตรงกลาง ผู้หญิงสองคนกอดแขนเขาคนละข้าง กระซิบข้างหูของเขาเบาๆ ข้างหนึ่งคือความเงียบสงบของเขาหยู้ ข้างหนึ่งคือความกว้างใหญ่ไพศาลของฉ่าวหยวน พร้อมกับร้อยยิ้ม อวิ๋นเยี่ยเข้าสู่โลกแห่งความฝัน
โลกแห่งความฝัน ความฝันของทุกคนกำลังโบยบิน แค่โบกมือเบาๆ ก็จะมีความฝันที่หอมหวานกลายเป็นผลไม้ที่หวานฉ่ำให้เขาได้ลิ้มลอง…