ตอนที่ 128-5 สกุลหนานกง พวกเรามาแล้ว!!

จำนนรักชายาตัวร้าย

ตอนที่รับอาหารเช้าด้วยกันนั้น เสิ่นถูเลี่ยเองก็ได้กลิ่นหอม ทั้งเป็นกลิ่นหอมของดอกไอริสอีกด้วย จากนั้นเขาจึงเหลือบมองไปที่หน้าตาที่อิ่มเอิบเปี่ยมสุขของอวี้เฟยเยียน พลันก็เข้าใจในทันที

 

 

คนกำลังมีความสุขสินะ! เสิ่นถูเลี่ยคีบซาลาเปาพร้อมกับน้ำซุปเข้าปากอีกคำ

 

 

“อ๊าก——”

 

 

น้ำแกงที่กำลังร้อนระอุจากในซาลาเปาไหลลวกคอเสิ่นถูเลี่ย จนเขาร้องเสียงหลง

 

 

“ร้อน ชู่ว์!” เสิ่นถูเลี่ยรีบอ้าปากกว้างแลบลิ้น แล้วใช้มือพัดเพื่อบรรเทาความร้อน

 

 

“นี่!” อวี้เฟยเยียนส่งขวดอะไรบางอย่างให้กับเสิ่นถูเลี่ย

 

 

“ดื่มเสีย!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยไม่สงสัยในคำพูดของอวี้เฟยเยียนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงไม่รอช้ารีบเปิดจุดยาออกแล้วเทยาเข้าปากทันที ไม่นานเขาก็รู้สึกสบายขึ้นมาก

 

 

“ขอบคุณ!” เสิ่นถูเลี่ยหน้าแดงกก่ำด้วยความขายหน้า เมื่อครู่เขาต้องแสดงอาการที่โง่เขลามากออกมาแน่ๆ! ภาพลักษณ์ของคุณชายแห่งตระกูลใหญ่ป่นปี้หมดแล้ว!

 

 

“เสี่ยวเลี่ย——” หลังจากที่กินอิ่ม อวี้เฟยเยียนก็วางตะเกียบลง แล้วสบสายตากับซย่าโหวฉิงเทียน ก่อนจะหันไปหาเสิ่นถูเลี่ยเอ่ยว่า

 

 

“บอกอย่างไม่ปิดบัง เราสองคนมีบุญคุณความแค้นกับสกุลหนานกง มาครั้งนี้ก็เพื่อจัดการกับสกุลหนานกง!”

 

 

“ท่านคือคนของคนสกุลเสิ่นถู เราสองคนจึงไม่อยากที่จะดึงท่านไปเกี่ยวด้วย และไม่อยากที่จะเป็นศัตรูกับท่านเช่นกัน ข้าและฉิงเทียนจะไม่ปล่อยสกุลหนานกงเอาไว้แน่!

 

 

“หากว่าท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหนานกง จะยืนอยู่ข้างเขาละก็ เราสองคนคงจะเสียใจที่ต้องบอกกับท่านว่า ขอโทษ!”

 

 

แม้ว่าเสิ่นถูเลี่ยจะสามารถคาดเดาได้บางส่วนจากสีหน้าท่าทางของคนทั้งสอง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกับสกุลหนานกง

 

 

ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง หากได้ประลองเดี่ยวกับหนึ่งในตระกูลทั้งแปดละก็ หากไม่กล่าวถึงผลสุดท้ายว่าใครแพ้ใครชนะ ในส่วนของความกล้าหาญของพวกเขาก็ทำให้ผู้คนยอมรับนับถือแล้ว

 

 

ในตอนนี้อาหูเองก็เช่นกัน

 

 

‘คุณชายซย่าโหว แม่นางอวี้ พวกท่านกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก!’

 

 

แม้ว่าสกุลหนานกงในตอนนี้ละตกต่ำลงจนอยู่ในอันดับรั้งท้าย แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่อยู่ดี!

 

 

‘พวกเขาทั้งสองจะต่อกรกับกับสกุลกกนานกง มิเท่ากับนำไข่ไปกระทบหินหรอกหรือ?’

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ความเงียบงันก็เข้าปกคลุมเสิ่นถูเลี่ยในทันที

 

 

ไม่ว่าเสิ่นถูเลี่ยจะตัดสินใจอย่างไร นางและซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้าใจได้ นางก็มิได้ปรารถนาที่จะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเสิ่นถูเลี่ย เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นเพื่อนคนแรกของนางเมื่อมาถึงแผ่นดินอู๋โยวแห่งนี้

 

 

ดวงตาของอวี้เฟยเยียนใสซื่อราวกับน้ำ มันเป็นประกายแวววาวไม่มีท่าทีราวกับคนกำลังโกหกปิดบังแม้แต่น้อย

 

 

เสิ่นถูเลี่ยเองก็รู้ว่าพวกเขามีจิตใจที่เปิดเผย

 

 

จริงๆแล้วซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้แฝงตัวเข้าไปในสกุลหนานกงแล้วก่อเรื่องได้เลย ถึงตอนนั้นค่อยลากเขาไปเอี่ยวด้วย แล้วค่อยทำให้หนานกงอ๋าวเข้าใจว่าเขาคอยสนับสนุนพวกนางอยู่เบื้องหลัง ทำให้สองตระกูลเป็นปฏิปักษ์กันไปเสียเลยก็ได้เลย…

 

 

แต่พวกเขากลับไม่ทำ จึงเห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่อยากที่จะลากเสิ่นถูเลี่ยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ

 

 

“ซย่าโหว เสี่ยวอวี้ พวกเจ้าพูดเช่นนี้เห็นข้าเป็นคนนอกเกินไปแล้วนะ!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยตบที่อกของตนเอง สีหน้าแววตาจริงจัง

 

 

“ในเมื่อพวกเจ้าเห็นข้าเสิ่นถูเลี่ยเป็นเพื่อน ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของข้า! อย่างมากข้าก็รบเคียงข้างบ่าเคียงไหล่กับพวกเจ้าสักตั้ง หลังจากนั้นค่อยกลับไปให้ตาแก่ที่บ้านลงโทษสักรอบ อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าโดนลงโทษด้วยกฎบ้านอยู่แล้ว”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยรับรู้ได้ว่า เรื่องนี้มีอะไรน่าสนุกแฝงอยู่

 

 

กฎที่ตระกูลทั้งแปดใช้ปกครองเมืองอู๋โยวมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาเป็นเวลานานหลายปี จึงต้องการจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาทลายมันลง

 

 

ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นบ่าว

 

 

ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ดำรงอยู่ต่อไป ผู้แพ้ย่อมต้องถูกคัดออกนี่เป็นกฎของการดำรงอยู่บนโลกนี้ที่ทุกคนต่างก็ยอมรับ

 

 

เมืองอู๋โยวต้องการเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่เข้ามา

 

 

“ท่านทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งความไม่พอใจจากตระกูลต่างๆ? มันอาจจะส่งผลกระทบในด้านร้ายต่อตระกูลเสิ่นถู? เพราะในครั้งนี้เป็นการทำลายความสงบสุขของเมืองอู๋โยวที่มีมาช้านานให้พลังทลายลง”

 

 

ความใจกว้างและมีน้ำใจของเสิ่นถูเลี่ย อวี้เฟยเยียนซาบซึ้งใจยิ่งนัก

 

 

แต่นางก็มิใช่คนที่ไร้หัวใจไร้ความรู้สึก ที่คิดจะลากเอาเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องมาวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้ มันไร้จรรยาบรรณเกินไป

 

 

“วางใจเถอะ!” เสิ่นถูเลี่ยตอบแทบความห่วงใยของอวี้เฟยเยียนด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจกับฟันเขี้ยวขาวๆของเขา

 

 

“เป็นถึงตระกูลใหญ่ หากว่าเพียงแค่พวกเราสี่คนก็รับมือไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ควรที่จะดำรงอยู่ต่อไป”

 

 

คำพูดเย็นชาไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมาจากปากของเสิ่นถูเลี่ย มันให้ความหมายที่ลึกซึ้งขณะเดียวกันก็ทำให้อวี้เฟยเยียนพึงระลึกได้ว่า การจะดำรงอยู่ในเมืองอู๋โยวแห่งนี้โหดร้ายเพียงใด

 

 

บางที ภายในตระกูลต่างๆอาจจะกำลังไม่พอใจที่แปดสกุลใหญ่แบ่งแยกเมืองปกครองกันเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว

 

 

เมื่อขาดตระกูลใดตระกูลหนึ่งไป ก็เท่ากับหมดคู่แข่งที่จะมาขอแบ่งในส่วนที่ควรจะเป็นของฝ่ายตนไปได้คนหนึ่ง คิดได้ดังนั้น อวี้เฟยเยียนก็สบายใจขึ้นมา!

 

 

“เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกับสกุลหนานกง?” เสิ่นถูเลี่ยสนใจข้อนี้มากที่สุด

 

 

หากว่าเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกันเล็กน้อย และการใหญ่ในครั้งนี้พวกเขาเกิดผิดพลาด ถึงตอนนั้นเขาก็สามารถบอกได้ว่าเป็นการเข้าใจผิด เพื่อช่วยเหลือให้ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนรอดพ้นได้ แต่หากว่าเป็นความแค้นที่ไม่ตายไม่เลิกลาละก็ เช่นนั้นเขาก็จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา

 

 

มีทางเลือกสองทาง ไม่ลงมือเสียเลย กับลงมือก็ต้องขุดรากถอนโคนให้สิ้น

 

 

คงเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้กับศัตรูไม่ใช่วิถีทางของเสิ่นถูเลี่ย

 

 

“พูดไปแล้วเรื่องมันยาว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนไม่รูว่าจะเริ่มอธิบายความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างซย่าจืออวี้และซย่าโหวฉิงเทียนอย่างไรดี ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างกายจึงได้เอ่ยปากแทน

 

 

“หนานกงจื่อหลิงคือน้องสาวของข้า! สกุลหนานกงนอกจากหลิงเอ๋อร์แล้ว คนอื่นล้วนแต่สมควรตายทั้งสิ้น!”

 

 

ประโยคง่ายๆเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เสิ่นถูเลี่ยจับใจความสำคัญที่เขาต้องการรู้ได้ในทันที

 

 

เห็นทีคงจะต้องมองหน้ากันไม่ติดเสียแล้ว!

 

 

“ได้! เช่นนั้นโจมตีและล่าถอยไปพร้อมกับพวกเจ้า!”

 

 

เสิ่นถูเลี่ยตัดสินใจได้ในที่สุด

 

 

สบสายตาเสิ่นถูเลี่ยแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงหยิบป้ายคำสั่งหน้าผีสีทองแดงอมเขียวโยนให้กับเสิ่นถูเลี่ย

 

 

“รับไป! วันหน้าหากเจ้ามีเรื่อง ข้าจะช่วยเจ้าครั้งหนึ่ง”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นนแยกแยะบุญคุณความแค้นออกจากกันได้อย่างชัดเจน

 

 

ถึงแม้ว่าเขาและอวี้เฟยเยียนจะได้พบกับเสิ่นถูเลี่ยโดยบังเอิญ แต่อีกฝ่ายกลับยืดอกสนับสนุนปกป้องเขาและอวี้เฟยเยียนได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าเสิ่นถูเลี่ยจะทำเพราะน้ำใจของความเป็นเพื่อน หรือเพราะผลประโยชน์ของสกุลเสิ่นถูก็ตาม แต่สำหรับซย่าโหวฉงิเทียนและอวี้เฟยเยียนแล้ว นี่เป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่

 

 

ดังนั้นซย่โดหวฉิงเทียน ถึงได้หยิบเอาป้ายคำสั่งหน้าผีออกมา

 

 

เมื่อได้รับป้ายคำสั่งหน้าผีนั้น เสิ่นถูเลี่ยถึงกับตกตะลึง

 

 

“ท่านคือ——”

 

 

ประโยคต่อจากนั้นเสิ่นถูเลี่ยไม่กล้าที่จะเอ่ยต่อ เพราะเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเช่นกัน

 

 

“นี่คืออะไร?” อวี้เฟยเยียนมองดูป้ายคำสั่งหน้าผีในมือของเสิ่นถูเลี่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ ลวดลายดอกไม้ที่หน้าผีบนป้ายนั้น เหมือนกันกับลวดลายของหน้ากากที่ซย่าโหวฉิงเทียนสวมใส่เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองอู๋โยวในอดีตไม่มีผิดเพี้ยน

 

 

เห็นอวี้เฟยเยียนทำหน้าตาท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เสิ่นถูเลี่ยก็ได้แต่ยิ้มฝืดๆ

 

 

“เสี่ยวอวี้ ผู้ชายของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ!” มิน่าเล่าซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้ ที่แท้แล้วเขาคือ ‘เขา’ นั่นเอง!

 

 

ในตอนที่อวี้เฟยเยียนกำลังซักไซ้ไล่เรียงนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็จับมือของนางแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

 

 

“แมวน้อย เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”

 

 

“พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว”

 

 

อวี้เฟยเยียนยิ้ม ดวงตาเป็นประกายสว่างระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี

 

 

“สกุลหนานกง พวกเรามาแล้ว!”