ตอนที่ 27 คนซื่อสัตย์ไม่สมควรได้รางวัลหรือ!? โดย Ink Stone_Fantasy
“ชิ น่ารังเกียจสมกับเป็นแมวจริงๆ ข้าดิ้นรนแทบตายให้เจ้าได้สู้เพื่ออิสรภาพ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าแบบนี้เรอะ”
หนวดของเด็กสาวหูแมวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ “หน้าเจ้ามียางอายบ้างไหม ตั้งแต่ต้นมานี่ข้าไม่เห็นเจ้าทำอะไรสักนิด! เป็นเยวี่ยเซียนต่างหากที่ช่วยข้าตัดโซ่ตรวนนั่นทิ้ง เจ้าไม่มีเอี่ยวอะไรเลย เข้าใจไหม!?”
“พูดจาน่าขำ! ข้าคือศิษย์พี่และผู้พิทักษ์ของเซียนเอ๋อร์ พูดอีกอย่างนึงก็คือข้าคือผู้บังคับบัญชาของนาง ความดีของผู้ใต้บังคับบัญชาก็เท่ากับความดีของผู้บังคับบัญชา แล้วเจ้ายังจะพูดว่าข้าไม่มีเอี่ยวอีกเรอะ!?”
“เจ้า!?”
“อะไร นี่คือท่าทีของเจ้าที่มีต่อผู้บังคับบัญชาหรือ”
หวังลู่ดึงหนวดแมวของอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ เด็กสาวอดนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บไม่ได้
“สรุปก็คือเจ้าจะต้องมีลูกให้ข้า แต่พอนึกถึงต้นกำเนิดที่ต่ำต้อยของเจ้าซึ่งเป็นแค่สัตว์ภูต ขั้นตบะประมาณขั้นสร้างแกน -15 วิชาบำเพ็ญเซียนก็พื้นๆ แถมระดับสมองก็เอาไปอวดใครไม่ได้…”
เด็กสาวหูแมวพูดขัดอีกฝ่ายอย่างรำคาญ “นี่ เจ้าพูดจบยัง”
“เอาเป็นว่าด้วยต้นกำเนิดและสถานภาพของเจ้าในตอนนี้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะติดตามข้าได้ ดังนั้นเจ้ามีลูกกับนางน่าจะดีกว่า ระดับสติปัญญาของพวกเจ้าสองคนไม่ต่างกันมาก ดังนั้นหากว่ากันตามกฎพันธุกรรม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร…”
จากนั้นหวังลู่ก็ชี้ไปยังหลิวหลีที่ยังหัวเราะคิกคักไม่หยุด
เด็กสาวหูแมวพยักหน้า “ย่อมได้!” ดวงตาทั้งคู่ของนางเป็นประกายวาววับด้วยแสงแห่งความสุข
“เอาละ ตอนนี้เรื่องส่วนตัวก็สะสางเรียบร้อยแล้ว เรามาเจรจาธุรกิจกันดีกว่า”
หวังลู่ค่อยๆ คลายท่าทีสบายๆ ของตัวเองจากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้า “คราวก่อนเจ้ายังเล่าไม่จบ ตอนนี้ก็พูดมาได้แล้ว”
เด็กสาวหูแมวตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่ง อดทอดถอนใจอยู่ภายในอกไม่ได้ ชายผู้นี้มองออกจริงๆ…
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเป็นเชลยอยู่ ถึงนางเผยข้อมูลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไปไม่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่านางยังซ่อนประเด็นสำคัญไว้อีกมากมาย
ทว่าครั้งก่อนที่นางแย้มข้อมูลของสำนักออกมา ความจริงแล้วมันเป็นแผนการของอาเซี่ย ดังนั้นผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดย่อมต้องเป็นอาเซี่ย ทว่าครั้งนี้หากนางแพร่งพรายความลับภายในของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ มันก็แปลว่านางได้ตัดสัมพันธ์กับสำนักของตนในทุกทางอย่างแน่นอนแล้ว
แล้วตัวเลือกของเด็กสาวหูแมวจะเป็นอะไรได้อีก
“ไม่มีปัญหา ข้ามีเรื่องสำคัญสองสามเรื่องจะบอกเจ้า”
เด็กสาวไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้สอนวิชาที่ดีงามให้กับนาง และนางก็ได้รับการฝึกจากพวกเขา เพราะคนพวกนั้นทำให้ภายในไม่กี่ทศวรรษนางจึงสามารถพัฒนาจากขั้นพิสุทธิ์มาเป็นขั้นสร้างแกนช่วงปลายได้ ทั้งยังมีโอกาสจะบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ สรุปก็คือสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ให้อะไรกับนางไม่น้อยทีเดียว
ทว่าหากมองอีกด้านหนึ่ง ชีวิตตลอดสามร้อยกว่าปีของนาง ช่วงที่เจ็บปวดที่สุดก็เป็นช่วงที่นางอยู่ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เช่นกัน
ความจริงแล้วชายที่ผลักนางลงนรกนั้นคืออาเซี่ย ทว่าใครกันเล่าที่เป็นสอนอาเซี่ย ใครกันเล่าที่นิ่งดูดายไม่รู้ร้อนรู้หนาวตอนที่เด็กสาวต้องทุกข์ทรมาน ใครกันเล่าที่เห็นดีเห็นงามกับการที่อาเซี่ยกดขี่ข่มเหงเหล่าสัตว์ภูต
เด็กสาวหูแมวไม่ต้องการที่จะตามกระแสด้วยการกล่าวโทษว่าปัญหาอยู่ที่ระบบ เพราะในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์นั้น ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีเมตตาอยู่มากมาย ทว่าโชคร้ายที่ตัวนางเองกลับไม่เจอสักคน ดังนั้นนางจึงถอดใจกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ไม่อยากที่จะมีสัมพันธ์ใดๆ กับคนเหล่านั้นอีก
“เรื่องของสัตว์เซียนภูตจันทรา พวกเขาไม่เคยให้ข้าได้เข้าถึงความลับสุดยอดของเรื่องนี้ ทว่าในฐานะผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย จะบอกว่าข้าไม่รู้อะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้” เด็กสาวลูบหนวดของตัวเองจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ตัวอย่างเช่น เราประจำการณ์อยู่บนเขาอวิ๋นไท่นี่มามากกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลับไม่เคยมีใครได้เห็นสัตว์เซียนภูตจันทราตัวเป็นๆ สักคน”
“ไม่เคยมีใครได้เห็น?”
“มีหลักฐานโดยอ้อมอยู่มากมาย บางคนเห็นร่างของมันรางๆ จากที่ไกลๆ แต่ไม่เคยมีใครได้เผชิญหน้ากับมันตรงๆ หนำซ้ำวิธีที่มันปรากฏตัวก็ประหลาดมาก ยากที่จะเข้าใจ บางครั้งมันก็ปรากฏตัวในสองสถานที่ที่อยู่ห่างกันหลายร้อยลี้พร้อมๆ กัน แม้ว่าสัตว์เซียนส่วนใหญ่จะมีพลังเหนือธรรมชาติที่สูงส่ง แต่เจ้าตัวนี้ยังไม่ทันจะเปลี่ยนร่าง แถมเราเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพลังเหนือธรรมชาติประเภทนี้มาก่อน นอกจากนี้คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ไม่ได้อ่อนด้อย ดังนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่จะไม่เคยเห็นแม้ด้านข้างของสัตว์เซียนตัวนี้ได้ยังไง”
หวังลู่ไม่ได้คิดล้อเลียนอีกฝ่าย แต่กลับเปรยออกไป “แล้วเจ้าคิดว่ายังไง”
เด็กสาวหูแมวกล่าว “นี่อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ภูตด้วยกัน ข้ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับสภาพโดยรอบของเขาอวิ๋นไท่ หลังจากอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่ง ข้าก็รู้สึกได้รางๆ ว่าสภาพโดยรอบนั้นกำลังตั้งครรภ์บางสิ่งอยู่”
จากนั้นเด็กสาวก็หยุดพูด เพื่อปล่อยให้หวังลู่มีเวลาย่อยและซึมซับข้อมูล ทว่าตอนที่นางกำลังจะพูดสมมติฐานตัวเองต่อ หวังลู่ก็กลับชิงตัดหน้า “เจ้าจะพูดว่า สัตว์เซียนภูตจันทรานั้นยังไม่มีรูปร่างเป็นตัวเป็นตนใช่ไหม”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวหูแมวประหลาดใจกับความสามารถในการทำความเข้าใจของอีกฝ่าย นางพยักหน้าแกนๆ และกล่าวขึ้น “สัตว์เซียนของเขาอวิ๋นไท่คือจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งที่เปลี่ยนร่างด้วยแสงจันทร์ จากบันทึกเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของมันก่อนหน้านี้ สัตว์เซียนชนิดนี้กำเนิดจากสถานที่ที่มีความหนาแน่นของแสงจันทร์สูง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่มันจะยังไม่มีรูปร่างที่แท้จริง หากเป็นตามนั้น ตอนนี้มันเก็เป็นเพียงจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่งแห่งเขาอวิ๋นไท่ ดังนั้นมันจึงสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ เพราะหากพูดถึงความเป็นปัจเจกแล้ว มันยังไม่ถือว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง”
หวังลู่พูดขึ้น “และข้อสรุปของเจ้าคือ?”
เด็กสาวตอบ “ข้อสรุปของข้าคือ อีกไม่กี่วัน เมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด มันก็จะมีรูปร่างที่แท้จริง และวันนั้นยังเป็นวันที่สัตว์เซียนจะเปลี่ยนร่างด้วย”
หวังลู่ตกใจ พลันนึกถึงสิ่งที่เรียนในหอเถิงอวิ๋น วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด วันสารทจีน แกนจักรพรรดิ!
ทุกๆ หกสิบปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์และโลกมนุษย์ แกนของแสงจันทร์จะตกลงมาจากฟากฟ้าราวกับแม่น้ำ ถือเป็นวันพิธีกรรมที่เหล่าสัตว์ประหลาดจะมาซึมซับแกนแสงจันทร์เพื่อเปลี่ยนร่าง และในเมื่อสัตว์เซียนแห่งเขาอวิ๋นไท่ถือกำเนิดมาจากแสงจันทร์ มันจะพลาดวันนี้ไปได้อย่างไร
จากนั้นเขาก็ได้ยินเด็กสาวพูดขึ้น “แน่นอนว่าในเมื่อข้าคิดได้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ย่อมคิดได้เช่นกัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของผู้อาวุโสสูงสุดใกล้จะเสร็จในวันสองวันนี้แล้ว จึงเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะจับตัวมันในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดนี้”
หวังลู่ถามกลับ “มีอยู่ปัญหาหนึ่ง หากจะพูดว่าเขาอวิ๋นไท่นั้นใหญ่ ความจริงก็ไม่ใช่ แต่ด้วยอำนาจของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตามคุมทั่วทุกพื้นที่ และสัตว์เซียนภูตจันทรานั้นปกติย่อมมีพลังวิเศษ หากมันมีจิตคิดอยากซ่อนตัว เมื่อเวลานั้นมาถึง มันย่อมซ่อนตัวในความมืดเพื่อซึมซับแกนจักรพรรดิและเปลี่ยนร่างอย่างเงียบๆ ได้ และความพยายามมากกว่าหนึ่งปีของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็จะสูญเปล่า เรื่องนี้เจ้าคิดยังไง”
เด็กสาวตอบกลับ “พวกเขาคงหวังพึ่งปลอกคอสัตว์ภูตที่เป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงพลังชีวิตของสุนัขวิเศษที่กลั่นออกมา ถ้าพวกเขาทำสำเร็จก่อนวันที่สิบห้า พลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นย่อมสามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเขาอวิ๋นไท่ ไม่ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด ผลสุดท้ายก็คงจบไม่ต่างกัน”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ยังไงซะมันก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ไม่แปลกที่ตลอดทางมานี่ข้ารู้สึกว่าเวรยามของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ได้หนาแน่นนัก น่าจะเป็นเพราะพวกเขาถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่สัตว์เซียนไปปรากฏตัวบ่อยๆ แล้ว”
เด็กสาวหูแมวส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่นั้น ความจริงแล้วไม่กี่เดือนมานี้ สัตว์เซียนภูตจันทราไม่ปรากฏตัวอีกเลย ราวกับว่ามันเกรงกลัวบางอย่าง ดังนั้นเราจึงไม่คิดจะเสียเวลาจับตาดูความเคลื่อนไหวของมันอีก”
“ไม่ปรากฏตัวอีกเลย? ฟังดูไม่สมเหตุสมผล ยิ่งใกล้วันที่มันจะเปลี่ยนร่าง มันก็ยิ่งต้องซึมซับแกนของแสงจันทร์เพื่อเก็บสะสมเพื่อที่จะได้มีวิธีรับมือกับความยากลำบากในการเปลี่ยนร่าง เพราะแม้มันจะเป็นสัตว์เซียนแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงความจริงข้อนี้ไปได้”
เด็กสาวหูแมวดูสับสน “ข้า ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
หวังลู่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ขอข้าดูแผนที่ก่อนหน้านั้นของเจ้าอีกทีซิ”
เด็กสาวหูแมวยื่นมือออกมา จากนั้นแผนที่ของเขาอวิ๋นไท่ก็ปรากฏขึ้น จุดที่มีเครื่องหมายแสดงสถานที่ที่สัตว์เซียนปรากฏตัวบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ยอดเขาหรือไม่ก็หุบเขาโล่งร้าง
หวังลู่ศึกษาแผนที่อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็จิ้มนิ้วไปบนจุดจุดหนึ่งบนแผนที่และถามขึ้น “แล้วที่นี่ล่ะ มันเคยปรากฏตัวบ้างไหม”
เด็กสาวหูแมวมองที่จุดนั้น “ทะเลสาบมรกต? ข้าไม่แน่ใจ… มันอยู่ชายขอบของเขาอวิ๋นไท่ หนำซ้ำภูมิประเทศแถบนั้นก็หลากหลาย ไม่มียอดเขาให้มองสำรวจรอบด้าน แถมป่าแถบนั้นก็หนาแน่น ดังนั้นจึงยากที่จะสะสมแกนแสงจันทร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงไม่ได้ใส่ใจที่นี่มากนัก”
หวังลู่ถอนหายใจ “งั้นก็ใส่ใจซะ รีบไปกันเถอะอย่ามัวชักช้า”
เด็กสาวประหลาดใจ “เราไม่ได้จะรออยู่ที่นี่หรือ”
“ก็ได้ งั้นเจ้าก็เฝ้าอยู่ที่นี่ แล้วทบทวนเรื่องลูกไปด้วย”
“เจ้า!”
——
หวังลู่เป็นคนว่องไว ยังไม่ทันได้กลบร่องรอยกองไฟ พวกเขาก็ออกจากที่นั่นมุ่งตรงไปทะเลสาบมรกตอย่างเร่งรีบ
เสี่ยวชีและคนที่เหลือเดินตามเขาไป แม้ทุกคนจะสงสัย แต่ไม่มีใครตั้งคำถามกับการตัดสินใจของเขา ในหมู่คนเหล่านี้ แม้ขั้นตบะของหวังลู่จะต่ำเตี้ยที่สุด แต่อำนาจของเขาก็เหลือล้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายใต้อาคมของเสี่ยวชี ไม่นานนักคนทั้งกลุ่มก็สามารถทะลวงแนวเส้นป้องกันของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้หลายด่านและมาถึงยังทะเลสาบมรกตจนได้
เมื่อทอดสายตาไปยังทะเลสาบมรกต ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจเจตนาของหวังลู่
แสงจันทร์เจิดจ้าส่องสะท้อนอยู่บนผิวของทะเลสาบ แกนของแสงจันทร์นั้นหนาแน่นเสียจนพวกเขาสามารถซึมซับมันเข้าร่างตัวเองได้
“เอาละ เข้าใจที่ข้าพูดแล้วใช่ไหม”
หวังลู่หัวเราะหยัน “ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกเจ้าถึงคว้าน้ำเหลวมาเป็นปีๆ สมงสมองย่ำแย่กันจริงๆ”
เด็กสาวหูแมวพูดไม่ออก พวกเขาเคยมาสำรวจทะเลสาบมรกตนี้แล้ว ทว่าในตอนนั้นความหนาแน่นของแสงจันทร์ไม่ได้สูงมาก ที่นี่จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขานัก ทว่าราวกับว่าพอสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์คลายการคุ้มกันลง สัตว์เซียนภูตจันทราก็ดำเนินการเตรียมตัวอย่างเงียบๆ จนสำเร็จ สถานที่ที่มีแสงจันทร์หนาแน่นเช่นนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะในการเปลี่ยนร่างอย่างยิ่ง
จุดที่มีแกนแสงจันทร์หนาแน่นเช่นนี้ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่
“เอาละ แม้เราจะไม่เจอสัตว์เซียนภูตจันทราในตอนนี้ แต่ข้าเชื่อว่ามันต้องอยู่แถบทะเลสาบมรกตนี่แน่” จากนั้นหวังลู่ก็เอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้าใกล้ๆ ทะเลสาบ “เราแค่ต้องอดทนรอจนกว่ามันจะปรากฏตัวออกมา”
ทว่าทันทีที่เขานอนลง เงาสีเทาก็วิ่งแผล็วผ่านด้านข้างของเขาและกระโดดลงทะเลสาบไป ทันทีที่สิ้นเสียงตู้ม ร่างของมันก็จมหายลงไปในทะเลสาบ แรงปะทะทำเอาผิวน้ำที่นิ่งสงบกลายเป็นละอองฝอยสีเงินนับล้าน
หวังลู่ประหลาดใจมากที่เห็นฮวาฮวา สุนัขลายด่างของเขากระโดดลงทะเลสาบเช่นนี้ ในใจเขาพลันคิดไปว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่เกิดหมดกำลังใจจะอยู่ต่อเพราะแก้โจทย์เลขไม่ออก
ทว่าอึดใจถัดมา ฉากที่น่าทึ่งก็ปรากฏต่อหน้าเขา
ระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบเริ่มถี่ขึ้น และที่ใจกลางนั้นเอง ร่างของหญิงสาวบอบบางก็ผุดขึ้นจากน้ำอย่างช้าๆ
ด้วยความที่นางหันหน้าเข้าหาแสงจันทร์ หวังลู่จึงเห็นใบหน้าที่ไร้ที่ติของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน รวมถึงเส้นผมสีเงินกระจ่างคล้ายแสงจันทร์ของนางด้วย ชุดสีขาวห่อหุ้มร่างเพรียวระหงไว้ นิ้วเท้าสัมผัสผิวของทะเลสาบอย่างแผ่วเบา ช่างไม่ต่างจากเทพธิดาที่ลงมาจุติบนโลกเลยจริงๆ
ที่เท้าของหญิงสาวมีสุนัขภูตสีขาวนอนหมอบอยู่ สุนัขภูตตัวนี้มีเสน่ห์อย่างเหลือล้น ร่างของมันงดงามไร้ที่ติ และยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้มันจะเป็นคนละสายพันธุ์กับมนุษย์อย่างหวังลู่และพวกพ้อง แต่กลับดึงดูดใจพวกเขาเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างตกตะลึงและประหม่ากับความงามน่าใจหายของทั้งหญิงสาวและสุนัขภูตคู่นี้อยู่พักใหญ่ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา แม้แต่ผู้ที่พบเจอโลกมามากอย่างเสี่ยวชีก็ยังได้แต่นิ่งอึ้ง ร่างทั้งร่างของนางไม่ไหวติงราวกับได้กลายเป็นหินไปแล้ว… มีเพียงหยาดน้ำลายที่ไหลออกมาจากมุมปากเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่านางยังพอมีสติอยู่
ผู้ที่รู้สึกตัวก่อนคนแรกคือหวังลู่
ความสุขุมของนักผจญภัยมืออาชีพนั้นพึ่งพาได้อเสมอ
เขาผุดลุกจากพื้นหญ้าและกระแอมไอเบาๆ จากนั้นก็เดินไปที่ริมทะเลสาบพร้อมทั้งเปิดปากพูด
“ขอโทษเถอะ ท่านเทพธิดา สุนัขภูตของข้าที่ตกลงไปในทะเลสาบไม่ใช่สุนัขภูตไร้ที่ติตัวนี้ แต่เป็นสุนัขหน้าโง่ลายด่าง”
จากนั้นเขาก็หยุดนิ่งรอคอยปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเทพธิดาที่อยู่กลางทะเลสาบพยักหน้าเห็นด้วย เขาจึงพูดต่ออย่างระมัดระวัง
“ในเมื่อข้ากล้าพูดอย่างสัตย์จริง งั้นท่านจะยกสุนัขภูตที่อยู่ตรงเท้าให้ข้าได้หรือเปล่า”