ตอนที่ 740 ต่อสู้กับว่านอู๋เทียน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

คำสั่งสายฟ้านี้มีพลังวิญญาณขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกของอาจารย์ใหญ่เหลยผู้นี้อยู่ หากใช้มันจริง ๆ การที่อาจารย์ใหญ่เหลยโกงก็จะถูกเปิดโปง

ต้องบอกเลยว่าทรัพยากรของดินแดนเหลยโจวนั้นอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก และอาจารย์ใหญ่เหลยมีของล้ำค่าอยู่ในมือไม่น้อยเลย

สิ่งนี้ทำให้นางมีหมากต่อรองเพิ่มขึ้นในการเอาชนะได้ ถึงแม้อาจารย์ใหญ่เหลยจะคิดว่าพลังของมู่เฉียนซีจะเพิ่มขึ้นสามระดับ แต่นั้นก็เป็นแค่พลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าเท่านั้น ถึงแม้ว่านางจะต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่พลังจริง ๆ ของว่านอู๋เทียนนั้นก็ยากที่จะหยั่งรู้ได้

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน เงื่อนไขอีกสองข้อ รอให้อาการของเหลยหมิงฟื้นฟูกลับมาได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“สองข้าอะไรกัน สามข้อไม่ใช่หรอกเหรอ สิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงแค่ของขวัญที่ข้าให้เจ้าไว้เพื่อแก้แค้นให้เหลยหมิงก็เท่านั้น” อาจารย์เหลยขมวดคิ้วพลางกล่าว

“เงื่อนไขสามข้อ ใช้ไปแล้วแค่ข้อเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรหนิ” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว

“เจ้านี่นะ ใจกว้างเกินไปแล้ว เจ้าต้องรู้เอาไว้นะว่าคำขอของข้ามันมีค่ามาก”

มีอาจารย์ใหญ่เหลยคอยสนับสนุนอย่างลับ ๆ เช่นนี้ การประลองในวันพรุ่ง แน่นอนว่ามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นแล้ว

วันต่อมาก่อนการประลองในรอบตัดสิน สีหน้าของอาจารย์ใหญ่ซวยก็เป็นกังวลมากเช่นกัน “หากมีอันตรายให้รีบยอมแพ้ เข้าใจหรือไม่ หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ระวังข้าจะไล่เจ้าออก”

“ตาเฒ่า เจ้ากล้าไล่ศิษย์ของข้าก็ลองดู!” ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

“ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่นะ!” อาจารย์ใหญ่ซวนต่อล้อต่อเถียงกับผู้อาวุโสสูงสุดไม่ยอมเลิกรา

ซวนอี้เดินมาที่มู่เฉียนซี และกล่าวว่า “เฉียนซี เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”

ตอนนี้อาจารย์ใหญ่เหลยได้ขึ้นไปประกาศว่า “นี่เป็นการประลองรอบตัดสินในรอบสุดท้ายของการแข่งขันใหญ่ร้อยสำนัก การตัดสินอันดับหนึ่งและอันดับสองกำลังจะเริ่มขึ้น มู่เฉียนซีจากสำนักศึกษาซวนเสียแห่งดินแดนเหลยโจว กับว่านอู๋เทียนจากสำนักศึกษากุ่ยหยู้แห่งดินแดนเหยียนโจว บัดนี้ขอเชิญทั้งสองขึ้นลานประลอง”

“ในที่สุดก็ถึงวันนี้สักที คุ้มค่ากับการรอคอยจริง ๆ” ตอนนี้ไป๋ชางมองไปที่ลานประลองด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหมอเทวดากล่าวอย่างเย็นชาว่า “สาวน้อยผู้นี้ ตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน”

ตอนนี้มู่เฉียนซีได้ขึ้นไปบนลานประลองแล้ว แต่ว่านอู๋เทียนกลับมาสาย เมื่อถึงวินาทีสุดท้ายแล้ว เขาถึงจะปรากฏตัวขึ้น

พลังวิญญาณอันเย็นยะเยือกนั้นได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งลานประลอง เจ้าหมอนี่ขึ้นมาบนลานประลองก็แสดงอำนาจใส่มู่เฉียนซีทันที

ส่วนมู่เฉียนซีที่อยู่ภายใต้การกดดันนี้ แต่ใบหน้าของมู่เฉียนซียังคงสงบดุจดั่งสายน้ำอยู่ ดวงตามองไปที่ชายรูปร่างหน้าตาธรรมดาตรงหน้าผู้นี้ด้วยความนิ่ง

ว่านอู๋เทียนมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างโหดเหี้ยม แววตาคู่นั้นราวกับจ้องเหยื่อก็มิปาน

อาจารย์ใหญ่เหลยมองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้เขาจะมอบของล้ำค่าให้มู่เฉียนซีไปสองอย่างแล้ว แต่ก้นบึ้งของหัวใจก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้

ถึงแม้ว่าจะกังวลใจมากเพียงใด แต่เขาก็ต้องประกาศเริ่มการประลองอยู่ดี

“เริ่มการประลองได้!”

หลังจากสิ้นสุดคำประกาศของอาจารย์ใหญ่เหลย ว่านอู๋เทียนก็ชิงพุ่งตัวออกไปก่อน เขาสนแค่ว่าจะต้องจัดการกับเป้าหมาย ไม่ได้สนใจกิริยาท่าทางแต่อย่างใดเลย

ความเร็วของว่านอู๋เทียนนั้นรวดเร็วยิ่งนัก แม้ว่าพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีจะโคจรถึงขีดสุดแล้ว ก็เกือบจะได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน

ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้น การโจมตีนั้นแฉลบเฉียดหูนางไปแค่เสี้ยวเดียว

การเผชิญหน้าในครั้งแรกนี้ทำให้มู่เฉียนซีรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสองอย่างนางสามารถรับมือได้

มู่เฉียนซีเอาไข่มุกวิญญาณวารีที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ออกมา พลังอันอบอุ่นที่อยู่ในไข่มุกวิญญาณวารีนั้นทำให้พลังวิญญาณของนางเพิ่มขึ้นถึงสามระดับ

ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ตกใจผงะไป “มู่เฉียนซีเพิ่มพลังขึ้นสามระดับ!”

“นี่ใช้อาวุธวิญญาณหรือยาวิญญาณเพิ่มพลังกันแน่ เช่นนี้ก็ได้เหรอ ?”

“……”

อาจารย์ใหญ่เหลยกล่าว “กฎของการประลองไม่ได้บอกเอาไว้ ว่าใช้วิธีการอ่อนโยนเช่นนี้เพิ่มพลังไม่ได้”

เขาไม่กลัวว่าทุกคนจะคัดค้าน ถึงอย่างไรเมื่อวานนี้ว่านอู๋เทียนก็ลงมือไปอย่างเหี้ยมโหด ทำให้ทุกคนต่างไม่พอใจ

สิ่งที่เขากลัวก็คือ ว่านอู๋เทียนจะมีสิ่งของที่เพิ่มพลังได้ด้วย ยากมากกว่าที่จะทำให้พลังเพิ่มขึ้นมาใกล้เขาได้ และต้องห่างชั้นกันอีกครั้ง

ทว่า ตอนนี้ว่านอู๋เทียนกลับไม่คิดจะเพิ่มพลังแต่อย่างใด เขากล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “ก็แค่เพิ่มมาถึงระดับห้า ข้าจะขยี้เจ้าให้เหมือนกับขยี้หมดปลวกตัวนึงก็ย่อมได้!”

พลังวิญญาณแผ่ซ่านออกมาราวกับน้ำในมหาสมุทร ตอนนี้ว่านอู๋เทียนได้ปะทุความแข็งแกร่งของตนเองออกมาแล้ว

“ห๊ะ! จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า!”

“เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง!”

“ต่อให้เป็นเหลยหมิงกับเหยียนหลัวก็ยังมาไม่ถึงขั้นนี้เลย สำนักศึกษาที่ต่ำกว่าระดับสองไม่มีทางฝึกฝนอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้แน่นอน”

“จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า มิน่าล่ะว่าเหตุใดเหลยหมิงถึงเอาชนะไม่ได้”

อาจารย์ใหญ่เหลยขมวดคิ้วขึ้น ประหลาดเกินไปแล้ว

แดนใต้มีปรากฏอัจฉริยะเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกเขาไม่ได้ข่าวคราวมาก่อนเลย

ในแดนใต้ เดิมทีไม่มีกองกำลังใดที่สามารถฝึกฝนอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้ นี่มันระดับเก้าเชียวนะ!

ระยะเวลาในการฝึกฝนระดับแปดถึงระดับเก้านั้นเร็วสุดก็ต้องใช้เวลาสามสี่ปี หากช้าหน่อยก็คงจะใช้เวลาเป็นสิบปี

เมื่อมู่เฉียนซีเทียบกับว่านอู๋เทียนแล้ว ยังห่างชั้นกันถึงสี่ระดับ หากเทียบกับพลังของนางเมื่อครู่ก็ห่างชั้นกันถึงเจ็ดระดับ ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้ แต่ตอนนี้…

ครั้งนี้มู่เฉียนซีเป็นฝ่ายลงมือกับว่านอู๋เทียนก่อน นางยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง และฟาดลงไป

“ทักษะเทียนซวน!”

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! แน่นอนว่าทักษะเทียนซวนเป็นทักษะวิญญาณที่ทรงพลังมากในการต่อสู้ข้ามระดับในระยะประชิด

ว่านอู๋เทียนหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่า ลานประลองตรงจุดที่เขายืนอยู่นั้นตอนนี้กลับปรากฏรอยแตกระแหงขึ้น

มู่เฉียนซีคิดในใจว่า ‘เมื่อใช้ทักษะเทียนซวนในตอนที่มีพลังระดับห้าแล้ว มันแข็งแกร่งกว่าตอนมีพลังระดับสองไม่น้อยเลย’

สีหน้าของว่านอู๋เทียนเคร่งขรึมลง เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหลังจากที่พลังของมู่เฉียนซีเพิ่มขึ้น พลังของทักษะวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

แต่หากคิดจะหนี ก็ฝันไปเถอะ!

ร่างสีดำนั้นพลันเปลี่ยนเป็นกระแสลมหมุนอันรุนแรงเข้ามาใกล้มู่เฉียนซี มู่เฉียนซีใช้ทักษะก้าวเท้าพันเงาหลบหลีก

ความเร็วนั้นรวดเร็วยิ่งนัก แต่ก็ยังถูกว่านอู๋เทียนตามทันอยู่ดี

เขายกฝ่ามือขึ้นและพุ่งเข้าหาหัวใจของมู่เฉียนซี “ฝ่ามือหมื่นสังหาร!”

มู่เฉียนซีไม่อาจหลบหลีกได้ทัน และแล้วการโจมตีนี้ก็กระแทกลงบนร่างของนาง

“เฉียนซี!” ซวนอี้ตะโกนขึ้น

ตูม! ร่างของมู่เฉียนซีกระเด็นลอยไป แต่กลับไม่ตกลงไปจากลานประลอง

สีหน้าดูเหมือนปกติดีราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

ของล้ำค่าที่อาจารย์ใหญ่เหลยให้มานั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ สามารถขวางฝ่ามือนี้ได้อย่างปลอดภัย

ดวงตาของว่านอู๋เทียนฉายแววประหลาดใจขึ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมตัวมาอย่างดี คิดจริง ๆ เหรอว่ามีเกราะป้องกันนี้แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้”

ร่างสีม่วงกับร่างสีดำต่อสู้กันบนลานประลองอย่างดุเดือดขึ้น ความเร็วของมู่เฉียนซีฝืนจนเทียบว่านอู๋เทียนได้ การป้องกันก็พึ่งเกราะป้องกัน พลังการโจมตีห้าวหาญมาก ว่านอู๋เทียนคิดจะเอาชนะนางนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ส่วนการโจมตีของมู่เฉียนซี ก็ไม่ได้ทำให้ว่านอู๋เทียนได้รับบาดเจ็บเลย

หลังจากที่ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า มู่เฉียนซีก็เอากระบี่มังกรเพลิงออกมา

“ในที่สุดมู่เฉียนซีก็เอากระบี่ออกมาแล้ว”

“สมควรจะใช้ได้แล้วล่ะ หากยังทุ่มไม่สุดกำลังแล้วพ่ายแพ้ไป มันก็คงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก”

“……”

อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าวขึ้นด้วยความเคร่งเครียดว่า “ซวนอี้ สาวน้อยใช้กระบี่ไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว”

ซวนอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบว่า “หลังจากการประลองหลายครั้งที่ผ่านมา ทั้งหมดก็ใช้ไปแล้วเจ็ดครั้ง”

“เจ็ดครั้ง นั่นก็หมายความว่ายังเหลืออีกห้าครั้ง!”

ห้าครั้ง เขาคิดว่ามันยังไม่พอ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่ฝีมือการหลอมอาวุธของเขาได้แค่นี้

และในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่ามู่เฉียนซีจะใช้กระบี่มังกรเพลิงนั้น ในตอนนี้เองกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านออกมา

“มังกรวารีพิฆาต!” มู่เฉียนซีพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ทักษะวิญญาณแต่อย่างใด กระบี่ก็พุ่งแทงไป