ตอนที่ 718 ราษฎรยอมเชื่อฟัง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 718 ราษฎรยอมเชื่อฟัง

ข่าวนี้ได้แพร่ไปถึงหูของซ่งจี้ซึ่งเป็นตระกูลค้าข้าวรายใหญ่อีกตระกูลหนึ่ง

ซ่งเฉิงหวน ผู้นำตระกูลซ่งจี้กำลังลูบไล้กาน้ำชาจื่อซาอันล้ำค่าในมือ เมื่อได้ยินหัวหน้าพ่อบ้านเอ่ยดังนั้น มือขาว ๆ ป้อม ๆ ทั้งสองข้างก็พลันสั่นเครือขึ้นทันใด จากนั้นกาน้ำชาจื่อซาก็ได้หล่นกระทบพื้นจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? นี่เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นไปมิได้ ! ”

“เป็นเรื่องจริงขอรับนายท่าน นี่มิใช่เรื่องที่ข้าน้อยได้ยินต่อกันมา ข้าน้อยได้ส่งคนไปสอบถามความจริงที่อำเภอซิ่วสุ่ยเมื่อห้าวันก่อน วันนี้พวกเขาเพิ่งจะกลับมาถึง ดังนั้นเรื่องการเก็บเกี่ยวได้ 770 ชั่งโดยเฉลี่ยนั้นคือเรื่องจริงขอรับ ! ”

“…”

ซ่งเฉิงหวนชะงักงัน เมื่อผ่านไปราวสิบอึดใจเขาถึงได้สติกลับคืนมาอีกครา จากนั้นก็สั่งการอย่างร้อนรนว่า “เตรียมรถม้า รีบไปเตรียมรถม้าเร็วเข้า ข้าต้องการไปซื้อข้าวเปลือกที่อำเภอซิ่วสุ่ยด้วยตัวข้าเอง ! ”

“นายท่าน…สายไปแล้วขอรับ แรกเริ่มที่ข้าน้อยได้เอ่ยออกไปนั้นนายท่านมิเชื่อ ตอนนี้จึงถูกเฉินจี้และหลินจี้สองตระกูลนี้กว้านซื้อจนหมดเกลี้ยงแล้วขอรับ”

“…”

ซ่งเฉิงหวนได้แต่อ้าปากค้าง เอ่ยอันใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เมื่อครึ่งเดือนก่อน หัวหน้าพ่อบ้านได้รายงานเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้ว เขาบอกว่าจำนวนข้าวเปลือกที่อำเภอซิ่วสุ่ยจะเปลี่ยนเเปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน ว่ากันว่าจะสามารถทะลุ 700 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ได้เลย

ตอนนั้นตนยังเย้ยหยันหัวหน้าพ่อบ้าน อีกทั้งยังสงสัยว่าอีกฝ่ายสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไม่ ตนถึงขั้นเตรียมหัวหน้าพ่อบ้านคนใหม่มาแทนคนสติมิดีแล้วด้วย…

700 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่ ตระกูลข้าเป็นพ่อค้าข้าวมาสามชั่วอายุคนแล้ว เจ้าเอาความกล้าจากที่ใดมาหลอกข้า !

แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงเข้าให้แล้ว !

จะทำเยี่ยงไรดี ?

แม้ว่าอำเภอซิ่วสุ่ยจะมีที่นาอันอุดมสมบูรณ์เพียงแค่ 20,000 หมู่ แต่ก็เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกได้มากถึง 15 ล้านชั่งเขียว !

มันมากเสียยิ่งกว่าข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวจากที่นา 50,000 หมู่ในอดีตเสียอีก !

ในเมื่อเฉินจี้และหลินจี้ได้แบ่งข้าวเปลือก 15 ล้านชั่งกันเองแล้ว พวกเขาก็คงลงนามในสัญญาซื้อขายกับอำเภอซิ่วสุ่ยเป็นระยะเวลาสองถึงสามปีแล้วเช่นกัน

พันธุ์ข้าวฟู่ซานต้ายมิได้กระจายไปทั่วว่อโจวแสดงว่ามันถูกปลูกขึ้นที่อำเภอซิ่วสุ่ยเป็นลำดับแรก หมายความว่าก่อนที่ข้าวพันธุ์นี้จะถูกผลักดันให้ใช้ทั้งว่อโจวจะต้องผ่านการทดลองที่ซิ่วสุ่ยเสียก่อน และแน่นอนว่าซ่งจี้ของตนนั้นล้าหลังกว่าตระกูลค้าข้าวอีกสองตระกูลไปถึงสองสามปี !

ความเสียหายครานี้…

ซ่งเฉิงหวนถอนหายใจยาวออกมา “เตรียมรถม้า เตรียมรถม้าประเดี๋ยวนี้ ! ”

เขากระทืบเท้าไปมา จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเร่งรีบ

ต้องรีบไปหาเถ้าแก่จังเหวินฮุยให้เร็วที่สุด เขาคิดว่าตนจะสามารถเข้าถึงฟู่เสี่ยวกวนผ่านทางเถ้าแก่จังได้

ก่อนหน้านี้ตนคิดผิดไปแล้ว คิดผิดไปแล้วอย่างแท้จริง !

ค้าข้าวมาทั้งชีวิต แต่เคยมีผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติเฉกเช่นติ้งอันป๋อเสียที่ใดกันเล่า ถึงขั้นสามารถทำให้จำนวนข้าวเปลือกมีปริมาณมากกว่าเดิมเกินหนึ่งเท่าตัว !

ต้องรีบชดเชยความผิดพลาดคราใหญ่นี้โดยเร็วที่สุด เถ้าแก่จังได้ร่วมดื่มโต๊ะเดียวกันกับติ้งอันป๋อถึงสองครา อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสมาคมการค้าแห่งเมืองว่อเฟิงอีกด้วย นอกจากขอความช่วยเหลือจากเขาแล้ว ซ่งเฉิงหวนก็คิดมิออกแล้วว่าต้องไปหาผู้ใดอีก

ในขณะที่ซ่งเฉิงหวนกำลังนั่งรถม้าตรงดิ่งไปยังหอเสียงไท่ เถ้าแก่จังแห่งหอเสียงไท่ เฉียวลิ่วเย รวมถึงคนอื่น ๆ กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่หอดื่มชาพิ่นอวิ๋นซึ่งตั้งอยู่ที่ตรอกริมน้ำ

“บุตรชายของข้าแพ้เดิมพันคุณชายโจ่งจี้ถังตั้ง 5,000 ตำลึง ซึ่งมีปริมาณข้าวที่ได้จากการเก็บเกี่ยวที่อำเภอซิ่วสุ่ยเป็นเดิมพัน…” เถ้าแก่หวังเสี่ยวจงจากร้านจิ่นซิ่วได้แต่ส่ายศีรษะไปมา เขายิ้มอย่างเก้อเขินแล้วเอ่ยต่อว่า “แต่ข้ามิได้กล่าวโทษลูกชายของข้าหรอก ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าปริมาณข้าวเปลือกในอำเภอซิ่วสุ่ยจะสูงถึงเพียงนี้ ? ”

“เรื่องนี้ทำให้ข้าได้ค้นพบปัญหาหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน เกรงว่าพวกเราจะประเมินความสามารถของติ้งอันป๋อผู้นี้ต่ำไปเสียเเล้ว”

“เถ้าแก่หวังเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ” เฉียวลิ่วเยเอ่ยถาม

“เมื่อมิกี่วันก่อนข้าได้เชิญคุณชายซือหม่าเทามาที่จวน คุณชายโจ่งจี้ถัง และหยูซิ๋งเจี่ยนก็ได้ติดตามมาด้วย อีกทั้งยังมีเจ้าหนุ่มนามว่าหวางซุนอู๋หยาเพิ่มมาด้วยอีกคน… เขาเป็นนายน้อยตระกูลหวางซุนจากเปี้ยนเหอ

ในระหว่างที่ร่วมวงสนทนากันนั้น ข้าได้เอ่ยถามเกี่ยวกับติ้งอันป๋ออย่างละเอียดถี่ถ้วน และข้าก็ได้คำตอบที่สุดแสนจะเหลือเชื่อออกมาจากปากของพวกเขา”

“ท่านลองเอ่ยออกมาสิ”

หวังเสี่ยวจงโน้มตัวเข้าไป จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ติ้งอันป๋อผู้นี้มิเคยทำเรื่องเหลวไหลมาก่อนแม้แต่เรื่องเดียว ! ”

คนที่เหลือนิ่งค้างไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งจังเหวินฮุยจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านหมายความว่าติ้งอันป๋อมิเคยทำเรื่องใดผิดพลาดมาก่อนเลยใช่หรือไม่ ? ”

หวังเสี่ยวจงพยักหน้าเล็กน้อย “จะว่าเยี่ยงนั้นก็ย่อมได้ ตัวอย่างเช่นปืนใหญ่ที่ทำให้แคว้นอี๋พ่ายแพ้อย่างน่าอดสูในตอนนั้นก็เป็นอาวุธที่ติ้งอันป๋อคิดค้นขึ้นมา ไหนจะปืนคาบศิลา สุราหมักซีซาน สบู่หอม น้ำหอมไปจนถึงชุดชั้นในของเหล่าสตรี”

“พันธุ์ข้าวฟู่เอ้อต้ายนั้นก็เป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดค้นขึ้นมาเช่นกัน พวกท่านลองคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนดูเถิดว่ามีคราใดที่เขาประสบกับความผิดพลาดบ้างกัน ? ”

บัดนี้ทุกคนกำลังคิดตามคำเอ่ยของหวังเสี่ยวจง ผ่านไปครู่ใหญ่จังเหวินฮุยถึงได้พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นเช่นนั้นจริงด้วย…เช่นนั้นแล้วหากก้าวเดินตามรอยเท้าก็ย่อมไร้หนทางผิดพลาด ! ”

“ใช่ ! เมื่อวานนี้ข้าได้เดินทางไปที่ธนาคารซื่อทงและนี่คือตั๋วเงินแบบใหม่…” หวังเสี่ยวจงคลำหาตั๋วเงินที่มีมูลค่าสิบตำลึง มาวางไว้บนโต๊ะ “ตั๋วเงินนี้เป็นตั๋วเงินที่ออกโดยธนาคารซื่อทงสาขาใหญ่ และมีมูลค่าเทียบเท่ากับตั๋วเงินที่ออกโดยธนาคารเป่าหลง”

เฉียวลิ่วเยหยิบตั๋วเงินนั้นขึ้นมา จากนั้นก็สำรวจอย่างพินิจพิเคราะห์ “กระดาษและการพิมพ์ดีกว่าตั๋วเงินของธนาคารเป่าหลงเสียอีก…นี่หมายความว่าฮ่องเต้อนุญาตให้ธนาคารซื่อทงออกตั๋วเงินแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ถูกต้อง ! ” หวังเสี่ยวจงเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “ติ้งอันป๋อสำรวจพบเหมืองทองที่ภูเขาหมิน แท่งทองคำส่วนแรกได้ถูกส่งไปที่ธนาคารซื่งทงเรียบร้อยแล้ว นี่คือตั๋วเงินส่วนแรกที่ออกโดยธนาคารซื่อทงและถูกใช้ในตลาดอย่างกว้างขวางภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการเอ่ยกับพวกท่านมิใช่เรื่องตั๋วเงินนี้หรอก”

“แล้วเป็นเรื่องอันใดกันเล่า ? ”

“หุ้นส่วน ! ” หวังเสี่ยวจงปรับท่านั่งยืดหลังตรง “เรื่องหุ้นส่วนนี้จังชีเยวี่ยมีความเข้าใจมากกว่าพวกเรา และในตอนนี้พวกเราทุกคนก็ได้ก่อตั้งบริษัทและได้ขายหุ้นทอดสู่ตลาดแล้ว แต่วันนี้เรื่องที่ข้าต้องการจะเอ่ยคือการซื้อหุ้น”

“ติ้งอันป๋อได้ซื้อหุ้นของบริษัทเต้าเฉียวกว่า 200,000 หุ้น อีกทั้งยังซื้อหุ้นของบริษัทขนส่งทางเรือชิงโจวอีก 300,000 หุ้น… ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินของเขาที่เมืองจินหลิงก็ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นของที่อื่นไปมากกว่า 3 ล้านตำลึง นี่แสดงให้เห็นสิ่งใดกันเล่า ? ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้สามารถทำเงินได้อย่างแน่นอน ! อีกทั้งยังสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล ! ”

ฟ่านสือหลินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เหล่าหวังเอ๋ย พวกเรากำลังขายหุ้นกันอยู่แท้ ๆ หากมีเงินซื้อหุ้นแล้วเหตุใดต้องขายหุ้นเพื่อรวมทุนกันด้วยเล่า ? ”

“สิ่งที่ท่านเอ่ยก็ถูก ท่าน ข้า พวกเราล้วนเป็นตระกูลใหญ่ เงินของพวกเราจำต้องใช้ในการลงทุนสร้างโรงงาน แต่ให้ผู้อื่นไปซื้อแทนก็ได้นี่ เก็บเงินเอาไว้ในจวนเฉย ๆ มันจะไปมีประโยชน์กับผีอันใด การซื้อหุ้นคือการลงทุนและมิต้องทำสิ่งใดก็ยังมีรายได้ นี่มิใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ ? ”

คำเอ่ยนี้ช่างมีเหตุผลมากยิ่งนัก !

ทันใดนั้นทุกคนก็ราวกับปะติดปะต่อบางอย่างขึ้นมาได้ ในอดีตนั้นมิมีหุ้นทำนองนี้ เงินของทุกคนจึงวางทิ้งไว้ในธนาคารอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ในเมื่อตอนนี้สามารถร่วมกันเก็บเงินเล็กเงินน้อยจากการซื้อหุ้นได้… ดังนั้นจึงมิอาจทิ้งเงินไว้ในธนาคารให้ขึ้นราได้อีกต่อไป !

“สิ่งที่เหล่าหวังเอ่ยมานั้นมีเหตุผลยิ่ง วันพรุ่งนี้ให้เรียกพ่อค้าในสมาคมของเรามาร่วมพูดคุยกัน หากพวกเขาสนใจซื้อหุ้นของพวกเราก็ดี หรือหากซื้อของผู้อื่นก็ช่าง เยี่ยงไรเสียก็สามารถหาเงินมาได้ เรื่องนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่สมาคมการค้าของพวกเราอย่างแน่นอน”

เหตุเนื่องจากจำนวนการเก็บเกี่ยวข้าวที่อำเภอซิ่วสุ่ยเกินความคาดหมาย จึงทำให้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนพุ่งทะยานแบบที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน

มิว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือสามัญชนธรรมดา พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่า…ติ้งอันป๋อคือเทพเจ้าอย่างแท้จริง !

ความนับถือที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนแบบหน้ามืดตามัวได้บังเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยมีเมืองว่อเฟิงเป็นจุดศูนย์กลางและได้แพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว