ตอนที่ 719 ราคาหุ้นแสนบ้าคลั่ง ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 719 ราคาหุ้นแสนบ้าคลั่ง ( 1 )

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบ เดือนสิบ

วันนี้ในราชวงศ์หยูได้บังเกิดเหตุการณ์คราสำคัญเกี่ยวกับการเงินขึ้นมา !

ธนาคารซื่อทงสาขาใหญ่ที่เมืองจินหลิงและสาขาย่อยที่เมืองว่อเฟิงได้เปิดการซื้อขายหุ้นพร้อมกันในวันนี้ !

คำว่า ‘เปิดการซื้อขาย’ หมายความว่าทุกคนที่ลงนามในการซื้อหุ้นไว้ในตอนแรกสามารถถือสัญญาซื้อขายหุ้นมาทำธุรกรรมที่ธนาคารซื่อทงได้อย่างเป็นทางการ

วันนี้ธนาคารซื่อทงจึงคับคั่งไปด้วยผู้คน

สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือผู้ที่นำหุ้นมาขายมีน้อยมากยิ่งนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อเสียมากกว่า !

ผู้จัดการสาขาและลูกน้องทั้งสองสาขายุ่งจนมือเป็นระวิง พวกเขาต้องพกพู่กันเอาไว้กับตัวตลอดเวลาเพื่อแก้ไขราคาล่าสุดของหุ้นที่พุ่งกระฉูดจนหยุดไม่อยู่ !

ทว่าราคานี้มาได้เยี่ยงไร ?

แน่นอนว่านี่คือราคาที่ผู้ถือหุ้นและผู้ซื้อหุ้นกำหนดกันเอง

“พี่ชาย ราคาหุ้นซีซานแรกเริ่มซื้อขายอยู่ที่ 2 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ท่านลองดูเถิดถ้าข้าซื้อ 3 ตำลึงต่อ 1 หุ้นจะเหมาะสมหรือไม่ ? ”

คนที่ถือสัญญาซื้อขายหุ้นเริ่มมีอาการมือสั่น เมื่อปีกลายซื้อหุ้นซีซานไป 300 หุ้นโดยใช้เงินทั้งสิ้น 600 ตำลึง ตอนนี้หากจะขายเปลี่ยนมือก็ทำส่วนต่างได้มากถึง 300 ตำลึง !

นี่มันคุ้มค่ายิ่งกว่าการทำธุรกิจเสียอีก !

“4 ตำลึงต่อ 1 หุ้น หากท่านยอมซื้อ ข้าก็ยอมขาย ! ”

คนผู้นั้นเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกัดฟันรับปาก “ตกลง ! ”

ดังนั้นพนักงานของธนาคารซื่อทงจึงลบมูลค่าธุรกรรมล่าสุดของหุ้นซีซานออกแล้วเปลี่ยนเป็น 4 ตำลึงต่อ 1 หุ้น !

บัดนี้เจียงหยูนั่งอยู่ใต้กระดาน จ้องมองตัวเลขด้วยความตื่นเต้น สวรรค์ ! ราคา 4 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ข้าซื้อไปตั้ง 1,000 หุ้น นี่ข้าได้กำไรตั้ง 2,000 ตำลึงเชียวหรือ ?

แต่ทว่ายังมิทันได้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง ราคาของหุ้นซีซานก็ทะยานสูงขึ้นอีกครา 5 ตำลึง…6 ตำลึง…8 ตำลึง…

เจียงหยูได้แต่ตื่นตกใจจนอ้าปากค้าง รู้สึกตื่นเต้นเสียจนแทบจะหยุดหายใจ

ภายในห้องที่ใช้ทำธุรกรรมมีเสียงของความประหลาดใจดังขึ้นมาเป็นระยะ คนที่ขาย 300 หุ้นออกไปในตอนแรกกำลังร้องไห้คร่ำครวญ “เงินข้า…เงินข้า… ! เจ้าคืนหุ้นของข้ามา ข้ามิขายแล้ว ! ”

“พี่ชาย… หนังสือสัญญาของท่านถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของข้าแล้ว นี่คือกฎ ท่านมิเข้าใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ชายผู้นั้นรู้สึกโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก หลายคนได้กำหุ้นที่ถือครองไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น ในใจพลันเกิดความสงสารขึ้นมาแต่ก็รู้สึกว่าตนนั้นโชคดีไปพร้อม ๆ กัน… ดูสภาพเขาสิ ! เมื่อครู่ตอนที่ราคาดีดขึ้นถึง 8 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ข้าเกือบจะขายไปแล้วเชียว

โชคดีมากยิ่งนักที่ข้าเบียดเข้าไปขายมิทัน มิเช่นนั้นคงขาดทุนแย่ !

“ไอหยา…ตกลงซื้อขายสำเร็จไปอีก 1,000 หุ้น ตอนนี้หุ้นซีซานไต่ราคาขึ้นสูงถึง 12 ตำลึงต่อ 1 หุ้นแล้ว ให้ตายเถิด ! ”

“หุ้นของบริษัทเหล่าม่อจายก็ราคาขึ้นแล้ว…”

“ราคาขึ้นหมดแล้วทั้งสิ้น ไอหยา…เห็นทีเมื่อกลับจวนข้าคงต้องไล่ภรรยากลับบ้านเกิดของนางเสียแล้ว! ”

“พี่ชายกล่าวเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“ก็ภรรยาของข้าที่มีความรู้น้อยนิด ตอนที่หุ้นซีซานประกาศขายในตอนแรกข้าซื้อมิทัน แต่ตอนที่ตระกูลซือหม่าประกาศขายหุ้นของบริษัทจิ่งจือ ข้าบอกนางว่าจะซื้อ 1,000 หุ้น แต่นางให้ข้าซื้อเพียงแค่ 100 หุ้นเท่านั้น… เจ้าลองคิดดูเถิดว่าหุ้นของบริษัททอผ้าพุ่งถึง 4 ตำลึงต่อ 1 หุ้นไปแล้ว ! ได้กำไรตั้ง 3 ตำลึงต่อ 1 หุ้นเชียวนะ หากข้าขายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้กำไรมากถึง 3,000 ตำลึง เฮ้อ…บ้าจริง ! หุ้นบริษัทจิ่งจือทะยานสูงถึง 6 ตำลึงไปแล้ว…”

“พี่ชาย ข้าก็เช่นกัน ! หากกลับไปข้าจะไล่ตะเพิดภรรยาออกจากเรือน ! ”

“…”

ในธนาคารซื่อทงสาขาเมืองหลวงนั้น จึงมีทั้งผู้สุขสมและโศกเศร้าโศกา

ผู้ที่โศกเศร้านั้นมีทั้งเพราะซื้อมาน้อยจนเกินไปหรือขายเร็วจนเกินไป แต่ทว่าการซื้อขายหุ้นในวันนี้ ณ ธนาคารซื่อทง มิมีหุ้นใดที่ราคาตกลงเลย มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น

นี่เพียงแค่ตลาดภาคเช้าเท่านั้น ราคาหุ้นทั้งหมดได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นซีซานที่โดดเด่นกว่าหุ้นอื่น ๆ

จนกระทั่งยามอู่ราคาก็ได้ทะยานขึ้นสูงถึง 16 ตำลึงต่อ 1 หุ้น แต่กลับมิมีผู้ใดอยากขายเลยสักคน !

แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมถูกนำไปบอกเล่าในพระราชวัง ส่งผลให้ฮองเฮาซั่งและองค์หญิงใหญ่ลืมจิบชาตามกิจวัตรประจำวัน

“…16 ตำลึงต่อ 1 หุ้น ตอนแรกพวกเราซื้อมากี่หุ้นกัน ? ” พระเนตรของฮองเฮาซั่งเริ่มเผยความรู้สึกริษยา พระองค์มิคาดคิดเลยว่าของสิ่งนี้จะมีมูลค่ามากมายมหาศาล !

องค์หญิงใหญ่ก็มิต่างกัน นางกลืนน้ำลายหนึ่งอึก “พระองค์ทรงไปซื้อมาด้วยพระองค์เองนะเพคะ ทรงซื้อมาทั้งสิ้น 750,000 หุ้น ! ”

ฮองเฮาซั่งอ้าพระโอษฐ์ค้างแล้วทรงคิดคำนวณในพระหฤทัยอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพึมพำออกมาในที่สุด “นี่ก็หมายความว่าได้กำไรถึง 10 ล้านตำลึงเชียวหรือ ? ”

“ดูเหมือนว่า…จะเป็นเช่นนั้นเพคะ นี่เทียบเท่าจำนวนภาษีที่ราชวงศ์หยูเก็บได้ในครึ่งปีเลยนะเพคะ ! ”

เมื่อเปรียบเทียบเช่นนั้น ฮองเฮาซั่งก็ยิ่งตกพระทัยมากขึ้นกว่าเดิม “จริงด้วย…ของพรรค์นี้มีมูลค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วพวกเราจะขายเลยหรือไม่ ? ”

ในยามนั้นเอง ขันทีที่รับใช้ฮองเฮาซั่งก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ทูลฮองเฮา…ราคาล่าสุดของหุ้นซีซานอยู่ที่ 18 ตำลึงต่อ 1 หุ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“…เวลาเพียงครู่เดียวก็เพิ่มขึ้นอีก 2 ตำลึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทูลฮองเฮา กระหม่อม…รู้สึกเหลือเชื่อเสียจริงพ่ะย่ะค่ะ นี่มันบ้าคลั่งเกินไปแล้ว คนพวกนั้นต้องเป็นบ้ากันไปหมดแล้วเป็นแน่ ผู้คนในธนาคารซื่อทงต่างก็เบียดเสียดกันอย่างเนืองแน่นพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮองเฮาซั่งพยายามรวบรวมสติ จากนั้นจึงตรัสถามออกไปอย่างรีบร้อนว่า “แล้วบริษัทเต้าเฉียวเล่า ? ตอนนี้ราคาเท่าใดแล้ว ? ”

“ทูลฮองเฮา เมื่อครู่หุ้นของบริษัทเต้าเฉียวทะยานสู่ 6 ตำลึงต่อ 1 หุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ไอหยา… ! ” ฮองเฮาซั่งทรงตกพระทัยอีกครา จากนั้นก็รีบจับพระหัตถ์ขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ “พวกเราซื้อหุ้นของบริษัทเต้าเฉียวมาเท่าใดกัน ? ”

“6 ล้านหุ้นเพคะ ! ”

“…นี่มัน สวรรค์ ! ได้กำไรตั้ง 30 ล้านตำลึงเชียว ! ”

ฮองเฮาซั่งทรงลุกขึ้นทันพลัน “ซูหรง พวกเราได้กำไรจากบริษัทเต้าเฉียวตั้ง 30 ล้านตำลึงเชียวนะ ! ”

พระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่แดงก่ำเนื่องด้วยความตื่นเต้น “จริงด้วยเพคะ…30 ล้านตำลึง สวรรค์ ! ได้กำไรตั้ง 30 ล้านตำลึง…นี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือเพคะ ? ”

ในขณะเดียวกันนั้น ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จมายังวังเตี๋ยอี๋ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายขององค์หญิงใหญ่จึงตรัสถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้า…เรื่องจริงอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฝ่าบาท…พวกเรามีเงินแล้วเพคะ ! ”

“อย่าเอ่ยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพราะเมื่อนึกถึงสมบัติกองเท่าภูเขาที่หายวับไปกับตาคราใด ดวงหทัยของข้าก็เจ็บปวดราวกับโดนมีดเชือดเฉือน ! ”

เมื่อฮ่องเต้ทรงประทับบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ฮองเฮาซั่งก็รีบทูลอย่างรีบร้อนทันที “สิ่งที่หม่อมฉันเอ่ยคือหุ้น… หุ้นเพคะฝ่าบาท คือหุ้นที่ซื้อมาจากธนาคารซื่อทง และในวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดซื้อขายอย่างเป็นทางการ พวกเราได้กำไรแล้วเพคะ ! ”

ฮ่องเต้ทรงโบกพระหัตถ์ไปมา “ของพรรค์นั้น…ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเจ้านำเอาเงินในท้องพระคลังออกไปใช้ตั้งหลายล้านตำลึง แล้วทำกำไรได้เท่าใดเล่า ? ”

ฮ่องเต้ทรงเห็นว่า เงินหลายล้านตำลึงนี้หากสามารถได้กำไรสักห้าหกแสนก็ถือว่ามิเลวแล้ว แต่ทว่าสิ่งที่พระองค์มิคาดคิดก็คือ…

“ทูลฝ่าบาท ตอนแรกซื้อหุ้นซีซานมาทั้งสิ้น 750,000 หุ้นในราคา 1,500,000 ตำลึง หลังจากนั้นได้ซื้อหุ้นของบริษัทเต้าเฉียวอีก 6,000,000 หุ้นในราคา 6,000,000 ตำลึง จึงได้กำไรทั้งสิ้น… 40,000,000 ตำลึงเพคะ ! ”

“ว่า…ว่าเยี่ยงไรนะ ? ! ”

ฮ่องเต้ถึงกับกระโดดขึ้นจากที่ประทับแล้วทรงคว้าพระอังสาของฮองเฮาเอาไว้ “เจ้าบอกว่าเท่าใดนะ ? ”

“ทูลฝ่าบาท 40 ล้านตำลึงเพคะ ! ”

“…แล้ว แล้วเงินอยู่ที่ใดล่ะ ? ”

“ยังมิได้นำหุ้นไปขายเลยเพคะ ต้องนำไปขายเสียก่อนถึงจะสามารถแปรเป็นเงินตำลึงได้”

“แล้วรออันใดอยู่เล่า รีบขายเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ เทกระจาดขายเสียให้หมด ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างบ้าคลั่ง “ในที่สุดข้าก็จะมีเงินมาบูรณะวังหลังเสียที ! ”

“อ่า…ยังมิได้สินะ ปีนี้แม่น้ำแยงซีและแม่น้ำหวงเหอประสบอุทกภัยขั้นวิกฤต…ปัดโธ่เอ๊ย… ! เจ้าพวกขุนนางไร้ความสามารถพวกนั้นสมควรตายเสียให้หมด โธ่…เงินของข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกมันเสียให้สิ้น ! ”