บทที่ 716 ดุด่า

บัลลังก์พญาหงส์

โลงพระศพของฮ่องเต้ไม่ได้ไว้ที่วังหลวงจนถึงข้ามปีใหม่ วันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองก็รีบยกออกจากวังหลวงไป ไม่สนใจว่าโลงพระศพจะสวยงามหรือแพงเพียงใด แต่นั่นก็เป็นโลงพระศพ วางไว้ตรงนั้นก็ดูอัปมงคล

 

 

เพราะหลี่เย่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ถาวจวินหลันคิดดูแล้วจึงให้องค์ชายเจ็ดพาซวนเอ๋อร์ไปประคองโลงพระศพให้ฮ่องเต้

 

 

ส่วนตัวนางกลับเริ่มคิดมาก ตอนนี้เรื่องหลี่เย่ไม่ได้สติใกล้แตกเต็มทีแล้ว นางควรทำอย่างไรต่อไป?

 

 

ตอนนี้ฮองเฮาถูกกุมตัวไว้ อี้กุ้ยเฟยก็โดนกักบริเวณ บรรยากาศภายในวังหลวงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ที่สำคัญที่สุดคือทุกเรื่องตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของนาง นางเป็นหญิงตั้งครรภ์ แล้วยังต้องดูแลหลี่เย่อีก บางครั้งก็ต้องถามถึงเรื่องในราชสำนักบ้าง หมุนสลับเปลี่ยนไปมาเช่นนี้ทุกวันจนนางไม่มีเวลาพัก

 

 

ยังดีที่เด็กในท้องของนางไม่ได้ทรมานเท่าไรนัก ทำให้ถาวจวินหลันสบายใจ แต่ก็เจ็บปวดใจเช่นกัน นางตั้งท้องมาสามครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่เด็กในท้องจะไม่ทุกข์ทรมานไปพร้อมกับนางเลย ตอนคราวซวนเอ๋อร์นั้นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ชีวิตก็เกือบจะเอาไม่รอด ตอนหมิงจูยังดี เพียงแค่หลี่เย่ไม่ได้อยู่ข้างกายเท่านั้น ตอนนี้มาถึงคนนี้กลับยิ่งมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นมาอีก

 

 

แน่นอนว่าช่วงเวลาไว้ทุกข์ยังไม่พ้น ปีนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าไม่อาจจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ได้ และหลี่เย่ก็ยังเป็นเช่นนั้น ยิ่งทำให้บรรยากาศฉลองเทศกาลหายไปอย่างสมบูรณ์ ภายในวังหลวงเย็นเยียบ ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องฉลองเทศกาลขึ้นมา และไม่มีใครเอาเรื่องเหล่านี้ไปพูดลับหลังด้วย

 

 

ตอนที่ส่งโลงของฮ่องเต้ออกจากวังหลวง ถาวจวินหลันนั่งพูดอยู่ข้างเตียงหลี่เย่ “วันนี้ส่งโลงพระศพฮ่องเต้องค์ก่อนออกจากวังไปแล้วเพคะ คิดว่ารอจนเดือนหนึ่งวันที่แปดผ่านไป เรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์คงจะต้องถูกเสนอขึ้นมา ตอนนี้ยังถ่วงเวลาเอาไว้ได้ แต่หลังจากนั้นจะทำอย่างไรเพคะ? หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ท่านรีบตื่นขึ้นมาเถิด หม่อมฉันทำทั้งหมดเพียงลำพังไม่ได้นะเพคะ”

 

 

นางพูดพลางจับมือของหลี่เย่มาวางไว้บนท้องของตัวเอง ให้เขาได้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในท้อง ตอนนี้อายุครรภ์ของนางยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กขยับตัวถี่มากขึ้น มีบางครั้งที่ใช้มือตีหน้าท้องเบาๆ เด็กก็จะขยับตัวตามไปด้วย ช่างน่าสนใจยิ่งนัก

 

 

นางให้หลี่เย่ลูบท้องของนางเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้เขาได้สัมผัสถึงความกระตือรือร้นของลูก

 

 

บางทีให้เขาได้สัมผัสความเคลื่อนไหวของลูก เขาอาจจะตื่นเต้นจนตื่นขึ้นมาก็ได้?

 

 

“เป็นอย่างนี้ไปนาน หม่อมฉันเกรงว่าจะเริ่มมีคนคิดร้าย” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “หม่อมฉันให้คนไปปิดจวนอู่อ๋องไว้แล้ว กักบริเวณคนในครอบครัวของเขาเอาไว้ก่อน รอท่านตื่นขึ้นมาค่อยจัดการดีหรือไม่เพคะ?”

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดถึงฮองเฮาและอี้กุ้ยเฟย “ตอนนี้คงได้แต่ปล่อยฮองเฮาไป อย่างไรก็เป็นช่วงซับซ้อนที่สุด หม่อมฉันก็ไม่มีใจจะไปทรมานนาง ส่วนอี้กุ้ยเฟย เพราะเห็นแก่หน้าขององค์ชายเจ็ดหม่อมฉันจึงไม่กล้าทำอะไรนาง แต่หม่อมฉันก็อยากให้นางตายไปเสียที”

 

 

“หากท่านยังไม่ฟื้นขึ้นมา เกรงว่าสวรรค์คงไร้เมตตาแล้ว” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ก้มหัวลงไปอิงแอบแนบกับแผ่นอกของหลี่เย่ พูดออกมาอย่างอึดอัด

 

 

รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอุ่นจากร่างกายของหลี่เย่ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ถาวจวินหลันก็สงบลงไปไม่น้อย แม้หลี่เย่จะยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิต ขอแค่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็เล่าเรื่องต่างๆ อยู่ข้างตัวหลี่เย่ เช่นเรื่องสนุกของหมิงจูกับซวนเอ๋อร์ เรื่องของตนเองบางอย่าง และยังมีเรื่องในราชสำนัก

 

 

ที่จริงตอนนี้ยังถือว่าดี ในราชสำนักไม่ได้มีเรื่องใหญ่ หรือเกิดเหตุวุ่นวายอะไร

 

 

รอจนองค์ชายเจ็ดพาซวนเอ๋อร์นำเอาโลงพระศพของฮ่องเต้องค์ก่อนเข้าสู่สุสานหลวงเสร็จและกลับมาแล้ว ก็พาซวนเอ๋อร์มาส่งที่วังตวนเปิ่นด้วยตนเอง แล้วถือโอกาสมาเยี่ยมหลี่เย่ด้วย

 

 

ตราบจนวันนี้ องค์ชายเจ็ดพบหลี่เย่ก็ยังไม่อาจห้ามความรู้สึกผิดและขอโทษได้

 

 

องค์ชายเจ็ดคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้หลี่เย่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

 

 

องค์ชายเจ็ดเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน สุดท้ายก็พูดอีกว่า “วันนี้คนของตระกูลหวังเสนอเรื่องให้พี่รองขึ้นครองราชย์โดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เพราะจะต้องปิดบังสถานการณ์ของหลี่เย่ ดังนั้นเรื่องที่ฮองเฮาวางยาจึงไม่ได้แพร่งพรายออกไป แม้แต่เรื่องอู่อ๋องร่วมมือกับฮองเฮาก่อกบฏก็เช่นกัน

 

 

คนตระกูลหวังเสนอให้หลี่เย่ขึ้นครองราชย์ ก็ใช่ว่าจะเดาอะไรไม่ได้ ตระกูลหวังอาจจะรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้ แต่จงใจรอมาพูดตอนนี้

 

 

แต่จะพูดช้าพูดเร็วที่จริงแล้วก็มีผลเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หลี่เย่ก็ขึ้นครองราชย์ไม่ได้

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา ถามองค์ชายเจ็ด “เจ้าวางแผนไว้เช่นไร?”

 

 

องค์ชายเจ็ดพูดเสียงเบา “ข้าใช้เหตุผลว่าช่วงนี้ยังไม่มีฤกษ์ดีบอกปัดไป ไว้รอให้ถึงวันที่ยามดีก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

นี่ถือเป็นข้ออ้างที่ดี แต่ก็ไม่สามารถปิดบังไปนานๆ ได้ ถาวจวินหลันคิดพลางพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้โหราจารย์คำนวณวันออกมาเถิด กำหนดไว้ในเดือนสอง บอกว่าเดือนหนึ่งไม่มีวันดี หากเดือนสององค์รัชทายาทยังไม่ฟื้น พวกเราค่อยคิดหาวิธีอื่น”

 

 

องค์ชายเจ็ดรับคำ “รับทราบพ่ะย่ะค่ะ ท่านให้ข้าทำเรื่องอะไร ข้าก็จะทำให้เต็มที่ ไม่มีทางฏิเสธแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ดี” ถาวจวินหลันพยักหน้า ก่อนแย้มยิ้มน้อยๆ “ตอนนี้เจ้าต้องดูสถานการณ์ด้านนอกให้ดี ซวนเอ๋อร์ยังจัดการตัวเองไม่ได้ คนอื่นข้าก็ไม่เชื่อใจ ดังนั้นทำได้แค่พึ่งเจ้าแล้ว”

 

 

องค์ชายเจ็ดได้ยินเช่นนั้นก็แสดงท่าทีซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยพี่สะใภ้รอง เสด็จแม่ของข้านาง…”

 

 

เพราไม่อยากได้ยินชื่ออี้กุ้ยเฟย ถาวจวินหลันจึงพูดขัดองค์ชายเจ็ดขึ้นมาอย่างเกรงใจ “องค์รัชทายาทเชื่อใจเจ้ามาตลอด แล้วเจ้าก็ยังเป็นน้องชายของเขา องค์ชายแปดกับองค์ชายเก้ายังเล็กนัก ย่อมไม่อาจรับหน้าที่หนักได้ เจ้ายอมช่วยเหลือข้าควรจะขอบใจเจ้าด้วยซ้ำ”

 

 

คำพูดนี้แลดูห่างเหินอยู่บ้าง แม้ถาวจวินหลันจะพยายามยับยั้งชั่งใจ แต่ก็ยังไม่อาจยับยั้งชั่งใจจนไม่แสดงอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

 

 

องค์ชายเจ็ดย่อมต้องเข้าใจ จึงก็ไม่ได้พูดถึงอี้กุ้ยเฟยขึ้นมาอีก แต่เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ข้าอยากจะขอร้องพี่สะใภ้รองสักเรื่อง”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย คิดไปว่าจะต้องเกี่ยวกับอี้กุ้ยเฟย แต่พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดคงไม่ได้บื้อขนาดขอเรื่องนั้น จึงพยักหน้า “เรื่องอะไรหรือ ถ้าข้าช่วยเจ้าได้ก็ไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่”

 

 

“เหลียนซินนาง…ข้าอยากมอบตำแหน่งให้นาง” องค์ชายเจ็ดนิ่งไปนาน ถึงได้พูดออกมาเบาๆ

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป ก่อนถอนหายใจ “แต่นางเป็นเพียงนางกำนัลเท่านั้น อีกอย่างเจ้าก็ยังไม่มีพระชายา คงจะไม่ดีถ้ารับชายารอง…”

 

 

“ไม่ใช่ชายารองพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดส่ายหัว “ข้าอยากให้นางเป็นพระชายา ถูกฝังไปด้วยพิธีตำแหน่งชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“แต่นี่ไม่ถูกต้อง” ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แม้เหลียนซินมีจิตใจดี แต่ก็ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้ อีกทั้งฐานะขององค์ชายเจ็ดและฐานะของเหลียนซินก็ต่างกันเกินไป หากเหลียนซินยังมีชีวิตอยู่ก็ยังพอทน แต่ที่สำคัญคือเหลียนซินได้ตายไปแล้ว

 

 

หากซินเหลียนฝังไปพร้อมชื่อพระชายาขององค์ชายเจ็ด เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดจะแต่งงานอีกก็ต้องเป็นตำแหน่งรองเท่านั้น ชื่อเสียงฐานะย่อมไม่น่าฟังแล้ว

 

 

แน่นอนว่านางพูดในฐานะพี่สะใภ้ หากพูดถึงผลประโยชน์ กลับเป็นผลดีต่อนางและหลี่เย่ อย่างไรหากองค์ชายเจ็ดทำเช่นนี้จริง หลังจากนี้คนตระกูลสูงส่งมีฐานะต้องไม่ยินดีส่งลูกสาวของตนเองมาแต่งงานเป็นชายารองแน่นอน หากไร้ซึ่งอำนาจจากญาตมิตรทางฝั่งภรรยา องค์ชายเจ็ดก็ยิ่งมีอำนาจน้อยลง

 

 

สำหรับนางและหลี่เย่ย่อมถือว่าเป็นเรื่องดี

 

 

องค์ชายเจ็ดกลับไม่ยอมแพ้ “เหลียนซินนางเป็นคนดี จะเป็นนางกำนัลหรือไม่ข้าไม่สนใจ พี่รองยังไม่สนใจกฎเกณฑ์ ข้าเองก็ไม่สนใจพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เขาพูดแบบนี้ก็เหมือนเอาถาวจวินหลันมาเทียบกับเหลียนซิน

 

 

หงหลัวและปี้เจียวที่รับใช้อยู่ข้างๆ มีสีหน้าไม่ค่อยน่ามองนัก เหลียนซินถือเป็นใคร จะมาเทียบกับถาวจวินหลันได้อย่างไร?

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ได้โกรธ เพียงหัวเราะออกมา “นั่นไม่เหมือนกัน หากข้าเป็นแค่นางกำนัลธรรมดา แม้จะเป็นชายารองได้ แต่ก็ไม่มีทางเป็นชายารัชทายาทได้”

 

 

นางไม่ได้นับถือแม่บุญธรรมจวนเพ่ยหยางโหวอย่างเสียเปล่า อีกทั้งตระกูลถาวก็เคยเป็นขุนนางบัณฑิตมีความรู้ เรื่องนี้สำคัญมาก และสำคัญที่สุดก็คือ “ข้าใช้เวลานานกี่ปีกว่าจะขึ้นจากนางกำนัลมาเป็นชายารัชทายาท? ระหว่างนี้มีอุปสรรคมากมายเพียงใด? แล้วเคยพบเจอเรื่องมามากมายเพียงใด? ไฉนเลยจะเป็นเรื่องง่ายดาย?”

 

 

องค์ชายเจ็ดกลับฟังเข้าหู ใบหน้าดื้อดึง “แต่เพียงแค่ตำแหน่งชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนี้อย่างมากข้าก็เป็นได้แค่ท่านอ๋องเท่านั้น ไฉนเลยจะต้องกังวลมากเพียงนั้น?”

 

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าคิดดูให้ดีเถิด” ถาวจวินหลันไม่ยอมตกลง เพียงแค่ใช้ข้ออ้างนี้ปัดปฏิเสธไป

 

 

องค์ชายเจ็ดเห็นเช่นนั้นก็พอเข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน จึงได้ขอตัวทูลลาออกไปด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก

 

 

พอองค์ชายเจ็ดออกไปแล้ว หงหลัวก็เอ่ยปากพูดเสียงเบา “ท่านดีเกินไปแล้วเพคะ องค์ชายเจ็ดถือว่าได้คืบจะเอาศอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร”

 

 

“ช่างเถิด อย่าพูดเช่นนี้อีก” ถาวจวินหลันโบกมือ สีหน้าตำหนิหงหลัว “หงหลัว ตอนนี้เจ้ายิ่งปากมากขึ้นทุกทีแล้ว เรื่องอะไรก็กล้าพูดออกมาทั้งหมด คิดว่าข้าเป็นชายารัชทายาทแล้ว พวกเจ้าก็สูงส่งกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ? ไม่ต้องพูดว่าองค์ชายเจ็ดนั่นไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้ พูดแค่ว่าคำพูดที่เจ้าพูดออกมานั้นหมายถึงอะไร? ข้าเคยเป็นนางกำนัลมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทำไมเจ้าจะต้องโมโหเช่นนี้ด้วย?”

 

 

ไม่ใช่ว่านางอารมณ์เสียจึงบันดาลโทสะลงที่หงหลัว แต่เพราะความเปลี่ยนแปลงของหงหลัวหลายวันมานี้เห็นชัดอยู่กับตา ถ้าไม่ตักเตือนตอนนี้ หลังจากนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็สายเกินไป

 

 

หงหลัวตะลึงไป จากนั้นก็รีบคุกเข่ายอมรับผิด

 

 

ถาวจวินหลันโบกมือ “ช่างเถิด เจ้ากลับไปคิดเองเถิด ในเมื่อเจ้าจะอยู่ในวังหลวงรับใช้ข้าต่อไป ก็ควรต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ให้ดี ฐานะก็ควรจะวางให้ถูก”

 

 

หงหลัวกลั้นน้ำตาถอยออกไป

 

 

ปี้เจียวถึงได้หันไปทางถาวจวินหลันเอ่ยขอร้องอย่างขลาดกลัว “ชายารัชทายาทเพคะ หงหลัวนาง…”

 

 

“ข้ารู้ข้อดีของนาง” ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว “แต่การเปลี่ยนแปลงของนางเจ้าเองก็เห็นอยู่ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงพระชายาองค์รัชทายาเท่านั้น นางก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้ แล้วหลังจากนี้เล่า? อีกอย่างนางเฉลียวฉลาดขนาดนั้นแต่กลับมองสถานการณ์ไม่เฉียบขาด นี่เองก็เป็นปัญหา เจ้าลองคิดดู ตอนนี้ข้ายังต้องพึ่งพาองค์ชายเจ็ด นางยังกล้า…แม้ว่าเป็นข้า ต่อให้ไม่พอใจอย่างไร แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้มิใช่หรือ? ไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าเลย”

 

 

นางมองเห็นความไม่พอใจของหงหลัว แน่นอนว่าคนอื่นก็เห็นเช่นเดียวกัน ถึงเวลาองค์ชายเจ็ดจะคิดอย่างไร?