บทที่ 717 วันสิ้นปี

บัลลังก์พญาหงส์

สิ้นปีวันที่สามสิบ ตามหลักเกณฑ์แล้ววันนี้บรรดาสตรีมียศจะต้องเข้าวังหลวงมาทำความเคารพฮองเฮา แต่ถาวจวินหลันกลับใช้ข้ออ้างเรื่องไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนมาเบี้ยวกฎเกณฑ์ครั้งนี้

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับไปพบฮองเฮาเป็นการส่วนตัว

 

 

ตอนนี้ฮองเฮาย่อมไม่ได้อาศัยอยู่ในวังเดิมแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ถาวจวินหลันก็จัดการให้ฮองเฮาไปอยู่ในพระราชวังที่ถูกทิ้งร้าง

 

 

ฮองเฮาถูกมัดมือมัดเท้า ล้มนอนอยู่บนเตียง นอกจากหัวที่พอขยับได้แล้ว ส่วนอื่นของร่างกายกถูกมัดไว้หมด นางกำนัลร่างใหญ่สองคนเฝ้าอยู่ข้างเตียง แต่ไม่มีใครคิดจะปฏิบัติรับใช้ฮองเฮาเลย ในความเป็นจริงแล้ว หน้าที่ของพวกนางไม่ใช่การรับใช้ฮองเฮา แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ฮองเฮาหนีหรือก่อเรื่องอะไรอีก

 

 

ถาวจวินหลันเห็นฮองเฮาอยู่ไกลๆ ก็หยุดฝีเท้าลง ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้หวีผมล้างหน้าอีก เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน ร่างกายยังมีกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์

 

 

พอฮงเฮาได้ยินเสียงเดินก็ลืมตาขึ้น ก่อนหลับลงอีกครั้ง เห็นชัดว่าไม่อยากมองถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันพิจารณาฮองเฮาอย่างละเอียด

 

 

ฮองเฮาดูชราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แค่เวลาสิบวัน ผมของฮองเฮาก็กลายเป็นสีดอกเลาทั้งศีรษะ ปิ่นทองบนศีรษะสวยงาม ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ แต่กลับยิ่งขับให้ผมขาวโดดเด่น

 

 

แม้ฮองเฮามีรอยย่นอยู่แล้ว แต่ก็เอาใจใส่บำรุงให้ผิวหนังดูอ่อนวัยเต่งตึง ทว่าตอนนี้กลับเหี่ยวย่นเหมือนบ่อหลุมที่พาดผ่านบนใบหน้า ผิวหน้าเหลืองซีดไร้ความเงางาม เห็นชัดว่ากลายเป็นเปลือกต้นไม้แก่ไปแล้ว

 

 

ยิ่งตอนนี้บวกกับร่างกายที่ผ่ายผอม เสื้อผ้าบนตัวก็หลวมโพรก ไม่รับกับชุดคลุมพญาหงส์ที่สวยสง่า

 

 

ถาวจวินหลันแค่นยิ้มออกมาน้อยๆ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

 

 

ฮองเฮาไม่พูด ทำเหมือนไม่ได้ยิน

 

 

“แต่ก่อนวางตัวสูงส่งล้ำค่า ตอนนี้กลับเป็นเพียงมดตัวน้อย ความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วฮองเฮาได้ยินหรือไม่ พูดต่อไปว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียง อยู่หรือตายดีกว่ากันเพคะ? ท่านกระหายหรือไม่ หิวหรือไม่เพคะ?”

 

 

“ถาวซื่อ เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลมีชื่อ” ฮองเฮาถูกหยามจนเงียบปากต่อไปไม่ได้ แต่เสียงก็แหบแห้งเต็มที ฟังไม่ออกแล้วว่าเสียงเดิมเป็นอย่างไร “เจ้าดูหมิ่นข้าเช่นนี้ หรือว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าเรียนรู้มา? ชายารัชทายาท เจ้าไม่กลัวคนอื่นคิดว่าเจ้าใช้วิธีการสกปรกหลอกตบตาผู้คน เพื่อหลอกขโมยชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ “ใครจะรู้เล่าเพคะ? ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ ต่อให้คนอื่นรู้เข้าแล้วจะทำไม? หากเป็นคนอื่นคงเลาะเอ็นหักกระดูกท่านไปแล้ว อย่างน้อยข้าก็ยังให้น้ำท่านดื่ม ให้อาหารท่านกิน อย่างไรก็ยังมีชีวิต นับว่าข้าเมตตาแล้ว”

 

 

แม้หนึ่งวันให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เวลาอื่นล้วนกระหายทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ยังมีน้ำดื่มไม่ใช่หรือ? ส่วนเรื่องกินข้าว แม้ต้องกินของเหลือจากนางกำนัลทุกวัน ทั้งยังเป็นสิ่งที่นางกำนัลเขี่ยทิ้ง แต่ก็เหลือให้เพียงเล็กน้อย พอประทังชีวิตฮองเฮาเท่านั้น แต่อย่างไรก็ให้ของกินแล้วไม่ใช่หรือ?

 

 

ถาวจวินหลันคิดจริงๆ ว่าตนเองมีเมตตาแล้ว เทียบกับมนุษย์สุกร เทียบกับใช้รถลากดึงตัว ทำเช่นนี้ดีกว่าไม่ใช่หรือ? แม้นางทำไปเพราะไม่อยากให้ฮองเฮาตายเร็วเกินไป เจอความทรมานน้อย แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ได้เอาชีวิตของฮองเฮาไปทันทีมิใช่หรือ?

 

 

“หากเจ้ามีเมตตาจริงเจ้าก็ควรจัดการข้าให้เด็ดขาด ชนะได้เป็นกษัตริย์คนแพ้ก็ต้องหลบไป” ฮองเฮากัดฟันพูดออกมา ดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นเต็มไปด้วยความแค้น

 

 

เห็นชัดว่าการดูหมิ่นย่ำยีเช่นนี้ทำให้ฮองเฮาเจ็บปวดมาก พอคิดได้เช่นนี้ถาวจวินหลันก็ยิ่งสบายใจ นางยิ้มสดใสออกมามองไปยังฮองเฮา “ชนะได้เป็นกษัตริย์คนแพ้ก็ต้องหลบไปหรือเพคะ ในเมื่อฮองเฮาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เช่นนั้นการถูกย่ำยีนี้ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเพคะ ทำไมพระองค์จะต้องโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ด้วยเพคะ?”

 

 

ฮองเฮาไม่พูดอะไรขึ้นมาในทันใด

 

 

“เดือนสิบสองวันที่สามสิบปีนี้ ข้าเองก็คงไม่ใจแคบเกินไป เช่นนี้ก็แล้วกัน วันนี้ให้ท่านได้กินของดีสักมื้อเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มพลางเอ่ยกำชับ “ไปถามดูว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงชอบทานอะไร วันนี้ให้เตรียมมาทั้งหมด แล้วก็ปลดเชือกให้นางกินเอง”

 

 

ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางของฮองเฮาก็สับสนขึ้นมา เหมือนไม่เข้าใจว่าถาวจวินหลันทำเช่นนี้ไปทำไม

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะ ในใจคิดว่า กลางคืนหลังจากกินเสร็จแล้วก็จะรู้เองว่าทำไม

 

 

หลังจากนั้นถาวจวินหลันก็ไม่ได้รั้งตัวอยู่ต่อ ลุกขึ้นเดินตรงออกไป

 

 

“ข้าอยากพบอาอู่” จู่ๆ ฮองเฮาก็พูดเช่นนี้ออกมา แล้วยังแฝงความขอร้องอ้อนวอนเอาไว้ “ให้ข้าได้พบเขาเถิด คิดเสียว่าหญิงแก่เช่นข้าขอร้องเจ้าแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันชะงักฝีเท้าลงในทันใด เบนหน้าไปมองฮองเฮา ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยิ้มสดใสออกมา “ฮองเฮาเหนียงเหนียงรู้หรือไม่ว่าในชีวิตคนเราตอนที่ทุกข์ที่สุดคือเมื่อไร? ในนั้นมีอย่างนิ่งที่เรียกว่าขอร้องก็ยังไม่ได้มา”

 

 

พอพูดจบนางก็ไม่ได้รั้งตัวอยู่ต่อ ปล่อยให้ฮองเฮาส่งเสียงจะโกนด่านางอยู่ข้างหลังอย่างบ้าคลั่ง นางเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

 

 

ฮองเฮาทำให้นางทุกข์ใจอย่างมาก นางย่อมไม่อาจปล่อยให้ฮองเฮาได้อยู่ดีเป็นแน่

 

 

ที่จริงแล้วยังมีวิธีที่ทำให้ฮองเฮาเจ็บปวดกว่านี้ แต่เพียงนางไม่ยอมใช้เท่านั้น นางยังไม่ได้บ้าคลั่งฟั่นเฟือนถึงขั้นนั้น วิธีที่ทำให้ฮองเฮาเจ็บปวดที่สุดจะมีอะไรมากไปกว่าฆ่าคนที่นางรักมากที่สุดต่อหน้าต่อตานาง หรือก็คือฆ่าอาอู่

 

 

หากนางทำได้ วันนี้ฮองเฮาจะต้องเจ็บปวดจนไม่อยากอยู่ต่อเป็นแน่

 

 

แต่เสียดายที่นางทำไม่ได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ใช้วิธีอื่นทรมานฮองเฮาเท่านั้น เพื่อจะลดความโกรธในใจให้สงบ

 

 

ส่วนคนที่ร่วมมือกับฮองเฮาเหล่านั้นย่อมมีจุดจบที่ไม่ดี นางไม่ฆ่าฮองเฮา แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ฆ่าคนอื่น ข้ารับใช้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮา ตอนนี้ล้วนไปพบยมบาลนานแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันไม่กังวลว่าคนอื่นจะเห็นนางเหี้ยมโหดกระหายเลือด ต่อให้คนเหล่านั้นคิดเช่นนี้ ต่อหน้าก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมาอยู่ดี และยิ่งไม่กล้าพูดจาต่อว่าใดๆ

 

 

แล้วจะเอาอะไรกับนาง วิธีเช่นนี้ย่อมต้องมีข้อดี เลือดสดมากมายเช่นนี้ถือเป็นการบอกทุกคนในวังหลวงอย่างชัดเจนแล้ว ว่าอำนาจในวังได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากนี้นางเป็นคนจัดการวังหลัง! และนี่เป็นการเตือนทุกคนว่าหากกล้าทรยศนาง นี่คือจุดจบ!

 

 

ทุกคนเห็นเรื่องแบบนี้แล้ว หลังจากนี้ย่อมไม่กล้าล้ำเส้น

 

 

หลังจากออกมาจากวังของฮองเฮา อิงเฟยก็มาหานาง พอพบนางแล้ว อิงเฟยก็พูดออกมาตรงๆ ว่า “นอกวังเริ่มมีคนสงสัยเรื่องขององค์รัชทายาทแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าจะปิดไม่ได้อีก”

 

 

ถาวจวินหลันคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว พยักหน้า “ข้ารู้”

 

 

“ถึงเวลานั้นเกรงว่า…“ อิงเฟยถอนหายใจ แม้ไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้ถาวจวินหลันในเดือนสิบสองวันที่สามสิบเช่นนี้ แต่ก็ทำได้แค่เอ่ยเตือนนาง “ท่านต้องระวังเสียหน่อย”

 

 

ถาวจวินหลันรับรู้ความหวังดีของอิงเฟย ดังนั้นนางจึงเอ่ยขอบคุณอิงเฟยอย่างจริงใจ ก่อนพูดว่า “พอถึงพิธีขึ้นครองราชย์แล้ว หากพระองค์อยากออกจากวังไปอยู่ที่จวนองค์หญิงแปดก็ได้”

 

 

อิงเฟยยิ้มแย้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ถึงตอนนั้นข้าคงไม่เกรงใจท่านเป็นแน่”

 

 

หลังจากพูดคุยเรื่องปกติกันแล้ว จู่ๆ อิงเฟย ก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ทางด้านตระกูลหวังคงไม่ต้องพูดถึง ท่านคิดจะจัดการเฉินฮูหยินกับอาอู่อย่างไร? แล้วยังจวงเฟยกับองค์ชายเก้าอีก…”

 

 

เรื่องเหล่านี้คงไม่อาจละเลยได้กระมัง? ไม่เพียงเพิกเฉยไม่ได้ ยังต้องรีบจัดการโดยเร็ว

 

 

“ส่งจวงเฟยไปเลี้ยงไว้ที่เรือนแยกของหวงไท่เฟยก่อนชั่วคราวเพคะ นางสกุลกู่ อย่างไรก็ต้องทำดีต่อนางบ้าง อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปดูแลนาง ส่วนองค์ชายเก้า ก็ส่งไปให้องค์ชายแปด ไม่ว่าอย่างไรก็มีแม่นมคอยเลี้ยงดู ถือว่าวางใจได้เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่น พูดสิ่งที่ตนเองจัดการออกมา

 

 

“หากท่านต้องการคนช่วยเหลือข้าก็พอช่วยได้บ้าง…” อิงเฟยมองท้องที่นูนขึ้นมาของถาวจวินหลันทีหนึ่ง พูดกล่อมเสียงอ่อนโยน “ท่านอย่าโหมงานจนเหนื่อยเกินไป มิเช่นนั้นจะไม่ดีกับลูกของท่าน”

 

 

“หากพระองค์ยินยอมจะช่วย เช่นนั้นก็ดีเป็นอย่างมากเพคะ“ ถาวจวินหลันพยักหน้า ในใจนั้นรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง นิสัยของอิงเฟยนั้นแต่เดิมไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ตอนนี้สามารถเสนอตัวออกมาได้ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

 

 

อิงเฟยมองถาวจวินหลันพลางพูดว่า “ท่านอย่ากังวลมากไป องค์รัชทายาทเป็นคนดี สวรรค์มีตา ผ่านเคราะห์กรรมหลายครั้งมาได้ ไฉนเลยจะมาล้มลงเอาตอนนี้? นี่เป็นเพียงการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง”

 

 

อิงเฟยพูดอย่างมั่นใจ ในใจของถาวจวินหลันนั้นรู้สึกดีขึ้นมาก รู้สึกซาบซึ้งมากกว่าเดิม

 

 

ถาวจวินหลันรั้งตัวอิงเฟยให้อยู่กินข้าวข้ามปีพร้อมกัน หลี่เย่ยังไม่ฟื้น คนที่กินข้าวข้ามปีก็มีเพียงนางและเด็กๆ เท่านั้น ย่อมต้องเงียบเหงาอยู่บ้าง อิงเฟยกลับไปก็เงียบเหงาเช่นเดิม ไม่สู้ว่าข้ามผ่านเทศกาลไปด้วยกัน ก็ได้บรรยากาศที่ครึกครื้นเช่นเดียวกัน

 

 

แน่นอนว่าจิ้งหลิงก็พากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาด้วย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีความเงียบเหงาอยู่เหมือนเดิม

 

 

ทางด้านนี้กำลังจะกินข้าว ชุนฮุ่ยกลับเข้ามารายงาน “หยวนฮูหยินพาอาอู่มาเพคะ บอกว่าจะมาคำนับปีใหม่เพคะ”

 

 

บรรยากาศในห้องที่แต่เดิมก็ไม่ได้คึกครื้นพลันเย็นลง ทุกคนหันไปมองถาวจวินหลันเป็นตาเดียว

 

 

ถาวจวินหลันเองก็นิ่งเงียบไปนาน แล้วถึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญเข้ามาเถิด” ในเมื่อหยวนฉงหวามาแล้ว นางจะพบหน้าก็ไม่เป็นอะไร แม้จะบอกว่าฮองเฮาทำเรื่องเช่นนั้น ทำให้นางเกิดความแค้นในใจ ทั้งยังพาลไปถึงอาอู่ด้วย แต่อย่างไรเด็กก็ไร้เดียงสา

 

 

หยวนฉงหวามีท่าทางระมัดระวัง อาอู่ก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกๆ จึงขดตัวอยู่ในอ้อมอกของหยวนฉงหวาไม่พูดไม่จา เหมือนตกใจกลัวไปแล้ว

 

 

เห็นอาอู่เป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางแสดงอารมณ์ของตนเองออกมาอีก สุดท้ายก็หัวเราะออกมาก่อนว่า “หนาวขนาดนี้ทำไมถึงพาเด็กมาด้วยเล่า? ไม่กลัวว่าจะหนาวจนแข็งไปหรืออย่างไร?”

 

 

นางหัวเราะเช่นนี้ทันใดนั้นภายในห้องก็เหมือนมีลมใบไม้ผลิพัดผ่านละลายความหนาว จากนั้นอิงเฟยก็ยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้ว หนาวเช่นนี้เด็กจะรับไม่ไหวเอา”

 

 

หยวนฉงหวาก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “ไม่ได้พาเขามารับอั่งเปาหรือเพคะ? อีกอย่างคนน้อยจะฉลองปีใหม่ก็ดูไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก เลยคิดดูว่าจะมาขอข้าวทานเสียหน่อยเพคะ”

 

 

หยวนฉงหวาพูดแฝงไว้ด้วยความประจบ จากนั้นนางก็อุ้มอาอู่เดินเข้ามาร่วมวง ยิ้มแย้มจับมือของอาอู่ทำท่าประกบเข้าหากัน “อาอู่ทำความเคารพชายารัชทายาท ขอให้ชายารัชทายาทประทานอั่งเปา”

 

 

อาอู่เหมือนรู้สึกสนใจ ดวงตาดำขลับกลมโตมองถาวจวินหลัน

 

 

พอเห็นเด็กน้อยไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย ถาวจวินหลันก็ยิ้มแย้ม “ดี อีกครู่กินข้าวด้วยกัน เอาอั่งเปาซองใหญ่ให้อาอู่”

 

 

ซวนเอ๋อร์เข้ามาบีบมือของอาอู่ ยิ้มแย้มพูดว่า “น้องชาย”

 

 

อาอู่เห็นซวนเอ๋อร์ก็ยิ้มแย้ม ตะโกนเสียงใส “พี่ชาย!”