TQF:บทที่ 737 อวสาน (6)
นิ้วทั้ง 10 ของทั้ง 2 จับกันแนบแน่น ก้าวเดินไปตามบันไดหิน ท่ามกลางภูเขาที่ขึ้นอย่างองอาจรอบๆ ยอดเขาแข่งกันสูง หินรูปร่างประหลาดเรียงราย หมอกควันลอยฟุ้ง มีสัตว์วิญญาณวิ่งเล่นไปมาให้เห็นบ่อยๆ ดอกไม้ต้นหญ้าต่างๆแข่งกันเปล่งบาน กลิ่นหอมราวเทพเซียนโชยแตะจมูก น้ำตกธารใสไหลเป็นจังหวะ แสงสีม่วงบางเบาลอยอยู่สูงๆ จิตใจก็สงบตาม
ทั้ง 2 ขึ้นไปถึงยอดเขาและนั่งอิงแอบลงบนหญ้าเขียวขจีอย่างสบายๆ หมอกควันตลบอบอวลไปรอบๆตัวพวกเขา เสียงร้องจิ๊บๆของนกดังมาจากในป่าให้ได้ยินลางๆ
ลมอ่อนพัดมา ใบไม้กรอบกระทบกันเสียงดัง เกิดเป็นความสงบที่มีกลิ่นไอศิลปะ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพิงหัวบนไหล่ของเขา ร่างสีขาวทั้ง 2 พิงเข้าหากันราวกับใต้หล้านี้มีแค่พวกเขา ถึงแม้จะไม่ได้ขยับเลย แต่ก็เพียงพอที่จะเกิดเป็นภาพอันงดงามอย่างที่สุด
โชคดีที่ที่นี่ไม่มีคนอื่น หรือต่อให้มีใครเข้ามาก็ต้องเกิดความรู้สึกไม่อยากทำลายความสวยงามตรงหน้านี้
สวยงามไร้ที่เปรียบ คู่บุพเพในใต้หล้า
เนิ่นนาน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพูดขึ้นเบาๆ “เจ้าลูกคิด เจ้าบอกจะร้องเพลงให้ข้าฟังนี่ เมื่อไหร่จะร้องล่ะ”
“ตอนนี้เหรอ”โม่ซวนซุนเหลือบมอง สายตาทอดไปที่ใบหน้างดงามไร้ที่ติของนางพอดีเป๊ะ หน้าของนางขาวบริสุทธิ์อมชมพูนิดๆ คิ้วเรียวกับตาคู่สวยแวววาว แก้ม 2 ข้างแดงระเรื่อ ผิวขาวเรียบเนียน รวมกันเป็นความสวยอันน่าตกตะลึง
มุมปากของเขายกขึ้นนิดๆเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยอย่างรักใคร่ “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าต้องร้องเพลงให้ข้าฟังก่อนรึเปล่า”
“ทำไมเป็นข้าร้องก่อนล่ะ เจ้าล่ะ ไหนเจ้าบอกจะร้องเพลงให้ข้าฟัง ทำไมตอนนี้ไม่ร้องล่ะ” ใบหน้างดงามของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกึ่งแกล้งกึ่งเง้างอน คิ้วตาราวกับหลุดมาจากภาพวาด มุมปากมีรอยยิ้มอ่อนหวาน ความรักลึกซึ้งดั่งคลื่นซัดสาดใส่ใจของนาง
มุมปากของโม่ซวนซุนคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน่ามองเผยให้เห็นฟันขาว ตาหรี่จนเป็นเส้นตรงและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าอยากได้ยินเจ้าร้อง เสี่ยวเสี่ยวต้องเชื่อฟังคำพูดของสามีก่อนรึเปล่า”
“เฮอะ เจ้ารังแกข้า ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“นี่มันรังแกยังไง ข้าไม่ได้รังแกเจ้านะ แค่อยากฟังเพลงที่เจ้าร้องสักเพลงก็ไม่ได้เหรอ”
“ได้ งั้นเจ้าร้องเพลงนึงแล้วข้าร้องเพลงนึง เป็นไง” มีรอยยิ้มแห่งความสุขระบายอยู่ที่มุมปากของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
“ก็ได้”โม่ซวนซุนยื่นมือไปโขกจมูกน่ารักของนาง “งั้นข้าร้องก่อน เจ้าห้ามหัวเราะข้านะ”
“ไม่หรอก ไม่หัวเราะเยาะเจ้าแน่” คนยิ้มแย้มให้คำมั่นกับเขา
โม่ซวนซุนมองนางด้วยความรักใคร่และกุมมือนางไว้หลวมๆ “ข้าได้ยินเสียงของเจ้า มีความรู้สึกอย่างแปลกประหลาด ทำให้ข้าคิดไม่หยุด ไม่กล้าที่จะลืมเจ้าอีก ให้เจ้าอยู่ในใจข้าตลอดไป ต่อให้ได้แค่คิดถึงเจ้าอยู่แบบนี้….”
“ข้าจะบอกกับเจ้าบางๆข้างหู บอกกับเจ้าว่าข้ารักเจ้า รักเจ้าเหมือนกับหนูรักข้าว ไม่ว่าจะมีพายุฝนเพียงใดข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้า ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน ขอแค่เจ้ามีความสุข ข้ายอมทุกอย่างเพื่อได้รักเจ้าอย่างนี้….”
ถ้าบอกว่าตอนแรกที่ได้ยินนางอยากจะหัวเราะละก็ ตอนนี้การร้องที่ใส่ความรู้สึกเข้าไปของเขาทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวซาบซึ้งอย่างมาก นางไม่รู้ว่าเคยร้องเพลงนี้ไปกี่รอบ เพลงสบายๆแล้วยังดูเด็กๆแบบนี้ปกติแล้วไม่สามารถทำให้ใครซึ้งได้ แต่ในชั่วขณะนี้ที่ได้ยินเสียงร้องของเขา นางกลับมีความรู้สึกน้ำตาจะไหล
ราวกับรู้สึกถึงอารมณ์ที่สั่นคลอนของนางโม่ซวนซุนอยู่เป็นเพื่อนนางเงียบๆ
“อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน นับดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยกันกับเจ้า ตามเก็บฝนโปรยปรายแห่งใบไม้ผลิ อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน ฟังนิทานเก่าแก่ที่เจ้าเล่า นั่งนับความรักที่อยู่ในแววตาของเจ้า อยากเหลือเกิน อยากเหลือเกิน อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน ก้าวผ่านผืนน้ำขุนเขานับพันนับหมื่น เดินทางไปทั่วใต้หล้า ให้ทุกๆวันได้ร้อยรวมกันเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดของพวกเรา…..”
เสียงนิ่งๆใสๆดังขึ้น ร่างของโม่ซวนซุนสั่นไปวูบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทอดสายตาไปยังใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของนางอีกครั้ง สบเข้ากับนัยน์ตาที่มีน้ำตารื้นขึ้นมาของนาง นาทีนั้นหัวใจของเขาเหมือนถูกใครสะกิด เกิดเป็นคลื่นเบาๆในใจที่ทำให้เขาหลงใหลงมงาย
ขณะนั้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวดึงตัวเขาลุกขึ้นมายืนอยู่บนยอดเขา เสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความรักความคาดหวังยังดังสะท้อนอยู่ในใต้หล้า
“อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน เคียงบ่าเคียงไหล่นั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน เคียงบ่าเคียงไหล่นั่งฟังเสียงนกร้องจากในป่าด้วยกัน อยากเหลือเกิน อยากเหลือเกิน อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน ก้าวผ่านผืนน้ำขุนเขานับพันนับหมื่น เดินทางไปทั่วใต้หล้า ให้ทุกๆวันได้ร้อยรวมกันเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดของพวกเรา…..”
เมื่อนางร้องถึงท่อนนี้โม่ซวนซุนก็คุ้นเคยกับทำนองแล้ว เขาจึงเปิดปากเบาๆร้องท่อนสุดท้ายที่เหลือกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
“อยากเหลือเกิน อยากเหลือเกิน อยากจะอยู่กับเจ้าเหลือเกิน ก้าวผ่านผืนน้ำขุนเขานับพันนับหมื่น เดินทางไปทั่วใต้หล้า ให้ทุกๆวันได้ร้อยรวมกันเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดของพวกเรา…..”
ทั้งคู่กอดกัน ต่างคนต่างเห็นความรักในแววตาของอีกฝ่ายโม่ซวนซุนยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่หางตาของนางและเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเสี่ยว ยัยเด็กโง่ของข้า ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรอก เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีแค่ความทรงจำแน่ ทั้งชีวิตนี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีวันทอดทิ้ง…”
“ได้ ไม่มีวันทอดทิ้ง…” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งพูดคำว่าไม่มีวันทอดทิ้งจบน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขาและเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “พวกเราจะไม่มีวันทอดทิ้งกันตลอดไป”
“ใช่แล้ว ตลอดไป ไม่มีวันทอดทิ้งกัน”
โม่ซวนซุนกอดคนในอ้อมกอดไว้แน่น รู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจอีกครั้ง ความเจ็บปวดแห่งความคิดถึงที่ยาวนานถึง 3 ปี พวกเขาไม่มีใครอยากจะลิ้มรสอีก ขอสัญญากันไว้ ณ ที่นี้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งกันอีก
ภายในชิงยาง
ในตอนที่พวกหยูเฮงน้อยมาถึง ผู้คนในลานกว้างมารวมตัวถึงหลายล้านคน เนืองแน่นแออัด เบียดเสียดกันสุดๆ ดูเหมือนจะไม่น้อยหน้าไปกว่าครั้งที่แล้วเลย
หยูเฮงน้อย ตาแก่ซอมซ่อ ฟางซูหยุน สามีภรรยาโม่อู๋เซอล้วนเป็นคนที่ปรากฏตัวเมื่อหลายวันก่อน ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นพวกเขามาต่างพากันส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างดีใจ
ท่าทางหยูเฮงน้อยจะชอบมากกับการเป็นจุดสนใจจากทุกคน นางโบกมือให้ผู้คนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเหมือนคนใหญ่คนโตที่กำลังเดินตรวจตราอาณัติของตัวเองไม่มีผิด ท่าทางนางไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ชอบใจแต่อย่างใด กลับกัน เสียงเชียร์ยิ่งดังขึ้นอีก
เมื่อเห็นภาพนี้ สามีภรรยาโม่อู๋เซอและฟางซูหยุนที่ชินกับนิสัยนางแล้วปล่อยนางเล่นไป ไม่ได้ว่าอะไร
ส่วนด้านบนที่นั่งประธาน นอกจาก 3 สำนักใหญ่แล้ว อิทธิพลใหญ่ต่างๆที่ปรากฏตัวเมื่อ 3 วันก่อนล้วนมาหมด และยังมีเพิ่มมาอีกคนด้วย ซึ่งก็คือตาเฒ่าฮ่องเต้นั้นเอง
หยูเฮงน้อยพอใจกับรสชาติการได้เป็นที่สนใจแล้วก็ทอดสายตาไปยังที่นั่งประธานในที่สุด เมื่อเห็นการมาของตาเฒ่าฮ่องเต้ก็แปลกใจเป็นอย่างมาก “ตาเฒ่า เจ้าไม่นั่งบัลลังก์มังกรจะมาที่นี่ทำไม”
คนที่กล้าเรียกตาเฒ่าฮ่องเต้ว่าตาเฒ่าต่อหน้าทุกคนแล้ว นอกจากนางแล้วคงไม่มีใครกล้าอีก
“ไม่มีใครเชิญแต่ข้ามาเอง และก็อยากดูด้วยว่าประเทศหวงฝู่ของเราจะมีนักสกัดยาเกิดขึ้นมากแค่ไหน ทำไม ยัยหนูอย่างเจ้าไม่อยากให้ข้ามารึไง” ตาเฒ่าฮ่องเต้ไม่ได้โกรธ แต่ตอบยิ้มๆอย่างเบิกบาน
“เจ้าอยากมาก็มาสิ” หยูเฮงน้อยชำเลืองมองเขาก่อนจะทอดสายตาไปที่พระโอรสทั้ง 2 ก่อนจะยิ้มอย่างล้อเลียน “แหม ไม่คิดว่าพระโอรสทั้ง 2 จะยังมีอารมณ์มาอีกนะ”
“ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ” หวงฝู่เส้าจวินถามอมยิ้ม ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
ส่วนหวงฝู่หยีมู่ เมื่อได้เห็นอีกคนที่ตัวเองคุ้นเคยก็มีแววตาผิดหวังอยู่แว้บหนึ่ง เร็วจนคนอื่นไม่ทันสังเกต
——————————