ตอนที่ 1104 คมดาบของปีศาจ (3)

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1104 คมดาบของปีศาจ (3) โดย Ink Stone_Fantasy

“อ๊าาาาา!” ด้านหลังมีเสียงตกใจของลีฟดังขึ้นมา

แอชเชสหันหน้ากลับไปทันที ก่อนจะพบว่าพายุลมที่พัดผ่านร่างกายเธอไปนั้นไม่ได้สลายหายไป ถึงแม้มันจะเบาลงไปไม่น้อย แต่มันก็ยังพัดลีฟให้กระเด็นลอยออกไปได้

ขณะเดียวกันผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเธอ

เป็น…ไปได้ยังไง?

เห็นๆ อยู่ว่าพายุลมนั้นเป็นพลังอย่างหนึ่ง แต่ทำไมหินอาญาสิทธิ์กลับหยุดผลของมันไม่ได้ทั้งหมด?

แอชเชสไม่มีเวลาให้คิด เธอตวัดดาบกลับไปด้านหลัง ก่อนจะฟันตรงเข้าไปที่คอของอีกฝ่าย

แต่ศัตรูกลับใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถหยุดการโจมตีในครั้งนี้ได้แล้ว ในระหว่างที่สู้กัน เธอมองเห็นคลื่นแสงสีน้ำเงินที่ถูกปล่อยออกมาจากบนแขนของปีศาจได้อย่างชัดเจน

ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอเท่าไร มันเรียกลมขึ้นมาพัดลีฟให้กระเด็นออกไปอีกครั้ง

เจ้านี่…เป้าหมายมันคือลีฟ!

แอชเชสไล่บี้ตามหลังศัตรูไป แต่เธอกลับถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ลีฟเองก็พยายามที่จะโจมตีกลับ แต่ผู้พิฆาตเวทมนตร์เพียงแค่โบกมือก็สามารถสลายพลังของเธอทิ้งไปได้แล้ว ความต่างชั้นของพลังนี้ไม่สามารถใช้พลังใจมาช่วยเสริมได้เลย เวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศถูกพัดจนกระจายหายไปหมด การจะรวบรวมพลังขึ้นมานั้นกลายเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้

นี่คือการควบคุมพลังเวทมนตร์ของปีศาจระดับสูงอย่างนั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นการสลายพลังของลีฟ หรือว่าการโจมตีใส่แอชเชส มันเหมือนจะทำได้อย่างสบายๆ  ในมือของแอชเชสมีเหงื่อซึมออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคงไม่มีทางที่จะไล่ตามศัตรูที่พร้อมจะฆ่าลีฟได้ทุกเมื่อได้ทันแน่

แต่ในช่วงเวลาคับขันนี้เอง สมาธิของแอชเชสกลับรวมตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เร็วอีกหน่อย เร็วขึ้นอีกหน่อย!

ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ เธอเฝ้าฝึกฝนตามวิธีของแม่มดทาคิลา เวลาส่วนใหญ่เธอจะเคลื่อนไหวโดยสวมใส่ตุ้มถ่วงน้ำหนักเอาไว้ จริงอยู่ที่เวลาถอดออกแล้วเธอจะรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย พลังเวทมนตร์ที่แทรกซึมอยู่ในกล้ามเนื้อและกระดูกเกิดการขยายตัวอย่างรุนแรงพร้อมกับไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย เธอถึงขนาดรู้สึกเหมือนกับว่ามันค่อยๆ เข้ามาแทนที่เลือดเนื้อในร่างกาย

แต่ว่ามันยังไม่พอ

เธอต้องเร็วขึ้นอีกถึงจะช่วยลีฟได้

แล้วก็…ปกป้องคนที่เธออยากจะปกป้องได้

ด้วยการกระตุ้นของจิตสำนึก พลังเวทมนตร์เริ่มไหลไปรวมอยู่ที่ขาทั้งสองข้างของเธอ ในการต่อสู้กับโลก้า แอชเชสได้มองเห็นเทคนิคการต่อสู้ที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ในตอนที่พลังเวทมนตร์ไปรวมที่อยู่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง จะทำให้การระเบิดพลังและความอึดของอวัยวะส่วนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่หมาป่าสาวสามารถควบคุมให้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งให้กลายร่างเป็นหมาป่าได้

ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ได้มองเธอเป็นเป้าหมายหลัก นี่ทำให้เธอสามารถทุ่มสมาธิอยู่กับการไหลเวียนของพลังเวทมนตร์ในร่างกายได้ ส่วนภาพต้นไม้รอบๆ ที่หักโค่นลงกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกตรงนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

ในตอนที่ปีศาจใช้การโจมตีแบบเดิมออกมาเป็นครั้งที่สี่ ทำให้ระยะห่างของทั้งสองกลายเป็น 20 เมตร มันก็ได้ทำลายโล่เถาวัลย์ที่ลีฟสร้างขึ้นมา แล้วยื่นกรงเล็บโจมตีไปที่หน้าอกของเธอ

การโจมตีนี้เหมือนจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

แต่แทบจะในเวลาเดียวกัน แอชเชสก็ได้กระโดดถีบต้นไม้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี!

พริบตานั้นเอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะคว้าอะไรบางอย่างได้

ร่างกายเธอกลายเป็นเหมือนสายฟ้า ระยะ 20 เมตรหดสั้นลงได้ในพริบตา เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลง ถึงแม้จะไม่ใช้ตามอง เธอก็ยังมองเห็นภาพต้นไม้ที่ถูกเธอถีบแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษกิ่งไม้ที่แตกหักจากลมที่เกิดขึ้นในตอนที่เธอพุ่งเข้าหาศัตรู และหญ้าที่ถูกทับจนล้มราบไปกับพื้นได้อย่างชัดเจน

ศัตรูหยุดฝีเท้าเป็นครั้งแรกพร้อมกับยกสองมือขึ้นมาป้องกันการโจมตีของเธอ

“เคร้ง…ผัวะ!”

ปีศาจถูกแอชเชสโจมตีเต็มแรงจนลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร มันม้วนตัวในอากาศสองรอบก่อนจะลงมายืนบนพื้น

แอชเชสไม่ได้หยุดเครื่องไหว เธอคว้าลีฟที่ร่วงตกมา ก่อนจะยืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้า

“โอ้?” ปีศาจเลิกคิ้วพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา

“ยิง!”

ในที่สุดกองหนุนที่แอชเชสรอก็มาถึง หน่วยแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ประจำอยู่ที่สถานีปลายทางในป่ากระโจนออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมกับเหนี่ยวไกปืนลูกซองใส่ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า ภายในป่ามีเสียงดังสนั่นขึ้นมาทันที ลูกกระสุนพ่นใส่เป้าหมายเหมือนดั่งห่าฝน แต่อีกฝ่ายกลับใช้ต้นไม้เป็นเกราะกำบัง มันกระโดดหลบไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางเศษไม้ที่แตกกระตาย ร่างกายของมันก็ยังมีแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมาตลอดเวลา

ตรงตำแหน่งที่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูวุ่นวายดังขึ้นมา นั่นคือเสียงฝีเท้าของกองทัพที่หนึ่งที่ทยอยกันวิ่งตามหลังแม่มดอาญาสิทธิ์มา

สุดท้ายปีศาจเหลือบมองแอชเชสทีหนึ่งก่อนจะระเบิดพลังเวทมนตร์อันน่าตกใจออกมาจากร่างกาย ตัวมันพุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปในความมืดภายในไม่กี่อึดใจ

“บ้าเอ้ย” แม่มดอาญาสิทธิ์ที่วิ่งนำอยู่หน้าสุดสบถออกมา ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าแอชเชส “ข้าชื่อเอเลน่า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร” แอชเชสมองดูลีฟที่นอนสลบอยู่ในอ้อมอกพร้อมกับยื่นมือไปเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้เธอ “แต่นางต้องการการรักษา”

“วางใจได้” เอเลน่าพูดปลอบ “ข้าได้รับแจ้งว่านาน่ากับไนต์ฟอลกำลังมาแล้ว”

…..

ผู้ถูกยกระดับเพิ่งลงมาถึงพื้น องครักษ์ระดับต้นนายหนึ่งก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที

“ท่านอุรูค นี่คือถังช่วยหายใจที่เตรียมไว้สำหรับท่าน…”

มันยังไม่ทันพูดจบ อีกฝ่ายก็คว้าเอาถังไปจากมือของมัน ก่อนจะเอาไปครอบไว้ตรงจมูกแล้วสูดหายใจลึกๆ

“ฟู่วววว”

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ อุรูคก็เหมือนจะหายใจได้สะดวกขึ้น “เปลี่ยนให้ข้าที”

“รับทราบ”

หลังเอาถังเก่าออก องครักษ์ก็เอาถังช่วยหายใจขนาดยาวเท่าแขนถังใหม่ใส่เข้าไปในหลังของมัน สำหรับผู้ยกระดับแล้ว วิธีการหายใจที่ใช้การเปลี่ยนถังจากด้านในแบบนี้ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ชุดเกราะ แล้วก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวด้วย

“ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่าน…”

“เจอปัญหานิดหน่อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้แล้ว” อุรูคพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะว่าที่ตรงนั้นเป็นดินแดนของพวกมนุษย์ ถ้าแค่นี้พวกมันยังกันเอาไว้ไม่ได้ ข้าก็ควรจะสงสัยแล้วว่าคาบราดาบีมันหักหลังพวกเราหรือเปล่า”

“ไม่ ที่พวกมันกันเอาไว้ได้ไม่ใช่ตัวท่านที่แท้จริง” องครักษ์พูดเสียงดัง “ถังช่วยหายใจได้จำกัดพลังของท่านไว้ ถ้าอยู่ในอาณาเขตของหอคอยแห่งการให้กำเนิดล่ะก็ แมลงพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านแน่นอนขอรับ!”

การใช้พลังเวทมนตร์จะเร่งการเผาผลาญละอองชีวิตให้เร็วขึ้น มันจึงต้องคำนึงถึงปริมาณละอองชีวิตที่ต้องใช้ในตอนขากลับด้วย ดังนั้นมันจึงเหมือนกับสู้โดยใส่กุญแจมือเอาไว้

“ดังนั้นครั้งนี้เป็นแค่การวางเหยื่อล่อเท่านั้น ครั้งหน้าข้าจะเลือกสถานที่ที่มันยุติธรรมมากกว่านี้” อุรูคมองไปทางทิศใต้ของป่า “…หลุมศพที่เหมาะกับการนอนหลับไปตลอดกาล”

“หากท่านราชาสกายลอร์ดสามารถสนับสนุนท่านได้มากกว่านี้” องครักษ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่เสี่ยงแบบนี้ หองคอยแห่งการให้กำเนิดที่ทาคิลาเองก็…”

“เสี่ยง?” อุรูคพูดตัดบทลูกน้อง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก เพราะการฟังคนอื่นมารายงาน มันสู้การไปดูด้วยตาตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว” มันหยิบเอาเม็ดเหล็กกล้าที่บิดเบี้ยวเม็ดหนึ่งออกมาจากบนเกราะ ก่อนจะเอามามองดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “ขณะเดียวกันพวกตัวเมียที่เป็นผู้ตื่นรู้ก็ไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ แม้แต่น้อย กลับกลายเป็นตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มนุษย์พวกนั้นเองก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว…ถ้าสามารถเข้าใจพวกนั้นได้มากอีกหน่อยก็จะยิ่งดี”

องครักษ์ไม่ได้ตอบ แต่สีหน้ากลับดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร

อุรูคเอาลูกเหล็กกล้าใส่เข้าไปในอกอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนเรื่องราชา…ข้าเชื่อว่ามันจะต้องพยายามแล้วแน่นอน เพียงแต่ท่านจักรพรรดิคงจะมีความกังวลและปัญหาอยู่ ไม่มีอะไรที่เราต้องไปโมโห เพราะว่ายังไงซะพวกเราก็สู้เพื่อที่จะได้มุ่งหน้าขึ้นไปยังดินแดนที่อยู่สูงขึ้นไปไม่ใช่เหรอ?”

“ท่าน…กล่าวได้ถูกต้อง” องครักษ์ก้มหน้า

“ถอยก่อน แล้วเอา ‘ทูมสโตน’ ออกไปด้วย ยังอีกไกลกว่าจะถึงทาคิลา” อุรูคค่อยๆ บินขึ้นไปแล้วหันไปทางซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ “ตอนนี้เราวางเหยื่อไว้แล้ว หลังจากนี้ก็แค่รอเวลาเท่านั้น”

รอวันที่มันจะมาติดกับเรา

พวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่

……………………………………………………………..