“เฮ้อ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว” เซียวอวี๋ทอดตามองหอสังเกตการณ์ที่เรียงรายอยู่ห่างไปไม่ไกล หลังจากผจญภัยอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็กลับถึงบ้านแล้ว ช่างน่าคิดถึงจริงๆ แถมครั้งนี้เขายังไม่ได้กลับมามือเปล่า ยังมีสมบัติอีกกองพะเนิน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขามีความสุข หน่วยอัศวินอสูรเขาพบเห็นพวกพ่อบ้านหง มู่หลี่ หลงฮุ่ยและคนอื่นๆแล้ว พวกเขานำทัพใหญ่ออกมารอต้อนรับ “นายน้อย” พ่อบ้านหงรีบปรี่เข้ามาหา มือของเขารีบปัดเช็ดเสื้อผ้าให้เซียวอวี๋พลางหลั่งน้ำตาไปด้วย “อ๊ะ ท่านลุงหง ท่านทำอะไรน่ะ? ไม่ใช่ว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัย? แม้แต่ผมสักเส้นยังไม่ร่วงเลยนะ” เซียวอวี๋รู้ว่าพ่อบ้านหงเป็นห่วงเขามาก เซียวหงเป็นพ่อบ้านให้ตระกูลเซียวมาเนิ่นนาน เวลานี้ตระกูลเซียวหลงเหลือหน่อเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่ง นี่จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร? “อา กลับมาแล้ว ท่านกลับมาแล้ว….” พอ่บ้านหงปาดเช็ดน้ำตาพลางยิ้มอย่างอบอุ่น “เอาล่ะ เอาไว้กลับไปแล้วค่อยๆคุยกันเถอะ” เซียวอวี๋ทราบว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เหมาะจะพูดคุยสักเท่าไร หลังจากกลับไปแล้วเขายังต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของดินแดนไลอ้อนอีก อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยถาม เพียงเห็นกองทัพที่มาต้อนรับยืนแถวอย่างเป็นระบบระเบียบ เขาก็ทราบได้ทันทีว่าดินแดนไลอ้อนตอนนี้คงพัฒนาไปมาก ฮีโร่คนอื่นๆที่ไม่ได้ติดตามไปกับเขาก็ล้วนแต่มายืนรอเซียวอวี๋ เหล่าบรรดาพี่สะใภ้เองก็ล้อมวงเข้ามาบ่นใส่เซียวอวี๋ บอกว่าจากไปตั้งนาน เขากลับไม่ยอมส่งข่าวกลับมาบ้างเลย จากนั้นเหล่าพี่สะใภ้ก็เข้าไปรุมล้อมหลินมู่เสวี่ย อย่างไรเสีย ไม่ช้าก็เร็ว มู่เสวียก็จะกลายเป็นน้องสาวของพวกนาง นางคือว่าที่นายหญิงแห่งตระกูลเซียว พวกนางย่อมต้องเอาใจใส่ เซียวอวี๋พลันหลั่งเหงื่อเย็น ตอนนี้หลินมู่เสวี่ยไม่ใช่หลินมู่เสวี่ยคนเก่า หากเกิดอะไรแปลกๆ นั่นคงเป็นปัญหาแล้ว โชคดีที่นางไม่ได้มีท่าทีแปลกๆ นางยิ้มแย้มพูดคุยกับบรรดาพี่สะใภ้ ชัดเจนว่าผู้ที่ควบคุมร่างในตอนนี้คือหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์ สกาเล็ต หมี่ไค่เอ๋อร์ ผู้จัดการเซี่ยชานและคนอื่นๆที่ได้เห็นความเป็นระเบียบของกองทัพดินแดนไลอ้อนก็ตกตะลึง ดินแดนนี้มันอะไรกัน? คล้ายกับพวกเขากำลังหลุดเข้าไปในโลกเทพนิยาย กองทัพจากหลากหลายเผ่าพันธุ์มีให้เห็นชะลานตา สิ่งเช่นนี้เพียงพบเห็นได้ในครั้งโบราณเท่านั้น ไม่คิดว่าพวกเขาจะได้มาเห็นด้วยสองตาของตัวเองจริงๆ สกาเล็ตและหมี่ไค่เอ๋อร์หันไปสบตากัน ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววยินดี พวกนางเลือกติดตามคนไม่ผิดจริงๆ ด้วยเหตุนี้ คณะเดินทางของเซียวอวี๋จึงถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายระหว่างเดินทางกลับเมือง แม้จะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรถามอะไรมาก กระนั้นเซียวอวี๋ก็ยังอดกระซิบถามมู่หลี่ไม่ได้ “ฉินเช่อเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ได้ยินคำถามนี้ ใบหน้าของมู่หลี่ก็เผยรอยยิ้มที่ยากจะปรากฏ แววตาของเขาดูตื่นเต้นอย่างมาก “ท่านลอร์ด ท่านต้องไม่เชื่อแน่ๆ ฉินเช่อยอดเยี่ยมยิ่ง เขานำไปเพียงทัพเดียว หากแต่ยังวิ่งป่วนไปทั่วเมฆาตะวันออก เขากระทั่งควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้หมดจด โถวปาหงย่อมได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ข้าเกรงว่าอีกไม่นานเขาคงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว” “หะ? ควบคุมสถานการณ์ได้หมดแล้ว?” เซียวอวี๋ตกตะลึง แม้ว่าเขาจะคาดหวังในตัวฉินเช่อเอาไว้อย่างสูง แต่ตอนที่ส่งฉินเช่อไป เขาก็คิดไว้แค่เพียงให้ฉินเช่อไปคอยป่วนพวกศัตรูเพื่อซื้อเวลาให้โถวปาหง คิดไม่ถึงว่าฉินเช่อจะทำผลงานได้ดีเลิศถึงเพียงนี้ “ขอรับ ตอนนี้ทั่วทั้งจักรวรรดิล้วนแซ่ซ้องนามของเขา เดิมทีความเชี่ยวชาญด้านสงครามของเขาก็น่ากลัวอยู่แล้ว นับตั้งแต่เดินทางเข้าจักรวรรดิไป เขาก็รบชนะทุกครั้งครา ไม่แพ้แม้แต่หนเดียว จนตอนนี้ทุกคนล้วนแต่ยกย่องบูชาเขา” ยามเมื่อกล่าวถึงฉินเช่อ น้ำเสียงของมู่หลี่ยังถึงกับสั่น ชัดเจนว่าเขาตื่นเต้นยินดีมากเพียงใด “เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพหมาป่าก็อยู่ภายใต้การบัญชาของฉินเช่อ?” เซียวอวี๋ตกตะลึง ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเขาจะไม่ผิดจริงๆ ครั้งนี้เขากลับเพาะสร้างแม่ทัพชาญชัยขึ้นมาคนหนึ่งแล้ว “ขอรับ กระทั่งทัพหมาป่าที่อยู่ใต้บัญชาของโถวปาหงก็ส่งมอบให้ฉินเช่อดูแล ฉินเช่อยังส่งจดหมายกลับมาเพื่อร้องขอเสบียง ซึ่งเราก็ส่งให้ อาจารย์ฮิกกิ้นเองก็สร้างไอเทมเวทออกมามากมาย เป็นฉินเช่อที่ส่งวัตุดิบกลับมา” มู่หลี่กล่าวรายงาน เซียวอวี๋ผงกศีรษะขณะรับฟัง ดูเหมือนว่าหนทางสู่อำนาจของเขาจะราบรื่นกว่าเดิมมากแล้ว เซียวอวี๋ไม่ได้ถามอะไรอีก เวลานี้เมืองไลอ้อนกลายเป็นงดงามตระการตาแล้ว มันไม่ได้เป็นเมืองแสนธรรมดาดั่งเช่นตอนแรกเริ่มอีก ตอนนี้มันกลายเป็นเมืองใหญ่แล้วจริงๆ ทั้งยังค่อยๆเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดทั้งมวลต้องยกความดีความชอบให้กับนโยบายของเซียวอวี๋ นโยบายเหล่านั้นได้เพิ่มพูนประชากรให้กับดินแดนเป็นทบทวี ผู้อพยพล้วนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาต่างเข้ามาลงหลักปักฐานและทำการเกษตรที่บ้านหลังใหม่แห่งนี้ บางคนสมัครเข้าร่วมกองทัพเพื่อลดหย่อนภาษีของทางบ้าน ในตอนนี้ กองทหารชั้นสูงของดินแดนก็มีจำนวนเกินหนึ่งแสนนายไปแล้ว นั่นยังไม่รวมถึงกำลังสำรองอีกกว่าห้าแสนนาย นโยบายทางการทหารประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มันทำให้สามารถคงกำลังทหารเอาไว้โดยไม่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรต้องลดน้อยลง เป็นเพราะเงินทุนและอาวุธอุปกรณ์ที่มีไม่ขาด การฝึกฝนกองทหารจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับได้เหล่านักเรียนสถาบันอัศวินมาเข้าร่วมกับดินแดน ดังนั้นตอนนี้เซียวอวี๋จึงมีนายทหารชั้นสั่งการค่อนข้างมาก ถึงแม้จำนวนนี้จะยังไม่พอสำหรับอนาคต แต่สำหรับตอนนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว นายทหารหนุ่มเหล่านี้มีความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความมั่นใจในอนาคตของดินแดนไลอ้อน ตำนานการรบอันไร้พ่ายของเซียวอวี๋ขจรขจายไปทั่วแดนดิน เซียวอวี๋คือราชันในคำพยากรณ์ ข่าวลือเหล่านี้ล้วนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนแล้ว โฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับดินแดน ในช่วงที่เซียวอวี๋ไม่อยู่ มู่หลี่และหลงฮุ่ยยังได้ส่งกองทัพบางส่วนไปช่วยเหลือโถวปาหงและเพื่อเป็นการฝึกฝนไปในตัว เนื่องเพราะเซียวอวี๋จากไปเป็นเวลานาน เดิมเขาคิดว่าคงมีศัตรูบุกรุกดินแดน ทว่าเรื่องนั้นกลับไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเหล่าทหารใหม่จึงได้แต่ทำการฝึก แต่หากพวกเขาไม่เคยผ่านสนามรบจริง พวกเขาก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่านักรบ พวกโจรปล้นชิงในดินแดนส่วนใหญ่ถูกกวาดล้างไปแล้ว กระนั้นก็ยังเหลือพวกกลุ่มยิบย่อยและมีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ ดังนั้นโจรพวกนี้เลยกลายเป็นเป้าซ้อมที่ดีสำหรับทหารของดินแดนไลอ้อน มู่หลี่จะคอยฝึกและอบรมเหล่านายทหารรุ่นเยาว์เพื่อให้พวกเขากลายเป็นนายทหารชั้นยอด ขณะที่ทอร์ลจะนำพวกเขาเข้าสู่สนามรบจริง ความสามารถในการนำทัพของทอร์ลนั้นไร้ซึ่งข้อกังขา แม้ว่าเขาจะเป็นออร์ค ทว่าเหล่าทหารกลับให้ความเคารพเขาอย่างสูงจนข้ามผ่านข้อจำกัดด้านเผ่าพันธุ์ไป ในดินแดนไลอ้อนนั้นห้ามมิให้ทำการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างเด็ดขาด ผู้ใดที่กล้าเลือกปฏิบัติต่อเผ่าพันธุ์อื่นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทหารชาวมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆจึงกลมเกลียวแน่นแฟ้น แน่นอนว่าพวกเอลฟ์นั้นเป็นข้อยกเว้น พวกเอลฟ์ยังคงหยิ่งทะนงดุจเดิม แม้จะมีบางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยึดติดว่าตนเป็นเผ่าพันธ์ชั้นสูง เมื่อเข้าสู่เมืองไลอ้อน มู่หลี่ก้หันมากระซิบข้างหูของเซียวอวี๋ “ท่านลอร์ด มีเรื่องสำคัญที่ข้าลืมบอกท่านไป เมื่อไม่นานนี้ สหายของท่านฮิกกิ้นได้มาเยี่ยมเยือน ทั้งยังพักอาศัยอยู่ที่นี่ ชื่อของเขาคือธีโอดอร์” “หะ?” เมื่อได้ยินชื่อ เซียวอวี๋ก็สะดุ้งโหยง ตาแก่ธีโอดอร์กลับวิ่งแจ้นมาที่นี่ แล้วแบบนี้เขาจะหลบหน้าอีกได้อย่างไร เซียวอวี๋รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของธีโอดอร์ดี เขาจะกล้าชักช้าได้อย่างไร? เขาพลันเปลี่ยนทิศทางไปพบกับธีโอดอร์ก่อน ไม่เพียงแต่เซียวอวี๋ กระทั่งราชาของอาณาจักรใหญ่ก็ยังต้องทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พบกับธีโดอดอร์ ตาแก่นั่นนึกอยากจะทำอะไรก็ทำ เขาอยากจะพบเจอใครก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา เซียวอวี๋จึงเดินทางไปยังสถาบันวิจัยของฮิกกิ้น ที่แห่งนี้เซียวอวี๋ได้จัดสรรเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ถูกใครรบกวน เพียงแค่มาถึง เขาก็ได้ยินเสียงบ่นของฮิกกิ้นดังมา “อะไรนะ? กระดูกงูหาย? ไม่มีอัญมณี? แล้วทรายทังสเตนเล่า? บัดซบ เจ้าเซียวอวี๋นั่นมัวไปเที่ยวเตร่อยู่ที่ไหน? ตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบแล้ว ข้าจะทำการวิจัยได้อย่างไร?” “เฮ้อ ตาเฒ่าคนนี้ยังคงไฟแรงเหมือนเดิม” เซียวอวี๋กลอกตา ตึกๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเซียวอวี๋ เป็นตาแก่ฮิกกิ้นที่ทั่วร่างตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง เส้นผมที่รกรุงรัง และสภาพที่โทรมจนแทบไม่ต่างจากขอทาน กระนั้นแววตาของเขากลับเป็นประกาย เขารีบกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ไอ้หนู ในที่สุดเจ้าก็ไสหัวกลับมาได้เสียที เจ้าบอกว่าเจ้าจะเอากองวัตถุดิบกลับมา ของพวกนั้นอยู่ไหน? อย่าได้หลอกลวงผู้อาวุโส” เซียวอวี๋เบ้หน้า “ดูเอาเอง” กล่าวจบก็นำวัตถุดิบทั้งหมดออกมาจากแหวนมิติจนกองเป็นภูเขาขึ้นในลานกว้าง “อะ…นะ..นี่ ร่างของสัตว์อสูรขั้นที่หก? โอ้นั่น ตรงนั้นมัน…สัตว์ประหลาดอะไรกันนี่? ดูแข็งแกร่งนัก อะ…นั่นมันแก่นนภา! เอ๊ะ คริสตัลอาร์เคน? ผงอาร์เคน? นี่มันช่างมากมายนัก…..” เมื่อเห็นสิ่งของชนิดต่างๆ ฮิกกิ้นก็ตื่นเต้นจนตัวสั่น สายจับจ้องไปยังภูเขาสมบัติที่อยู่ตรงหน้าไม่ละสายตา เขาไม่สนใจเซียวอวี๋อีก “นี่แค่หนึ่งในสิบเท่านั้นหรอก” เซียวอวี๋เชิดหน้ากล่าวอวด “อะไรนะ?! แค่หนึ่งในสิบ? เจ้าต้องส่งของทั้งหมดมาให้ข้า!” ฮิกกิ้นรีบวิ่งเข้ามาคว้าไหล่ของเซียวอวี๋ราวกับจะไม่ยอมปล่อยหากไม่ส่งมอบของออกมา “บัดซบ ไม่ได้อยู่ที่ข้าแล้ว มันอยู่ในรถม้าโน่น ท่านไปเอาเองเถอะ” เซียวอวี๋รีบกล่าว ขืนโดนตาแก่นี่ตามตอแยคงยุ่งยากมากแล้ว ได้ยินดังนั้นฮิกกิ้นก็วิ่งแจ้นจากไป “เฮ้อ ตาแก่คนนี้ ไม่มีความเป็นอาวุโสสักนิด” เซียวอวี๋พึมพำ “โอ้ เจ้ากำลังพูดถึงข้าหรือ?” เสียงอันคุ้นพลันดังออกมาจากในอาคาร ก่อนที่ทันใดนั้นร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเซียวอวี๋ราวกับยืนอยู่ตรงนั้นมาตลอด คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจ้าวมนตราขั้นที่หก ธีโอดอร์…