“อ๊ะ ท่านเองเรอะ” เมื่อเห็นธีโอดอร์ เซียวอวี๋ก็ยินดี อย่างไรเสียผู้อาวุโสท่านนี้ก็ช่วยเหลือเขาไว้มาก “โฮ่ ย่อมต้องเป็นข้า นอกจากข้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก? ไม่นานมานี้ข้าลองทำนายดวงชะตาผ่านการดูดาวบนฟ้า และข้าก็พบว่าเกิดบางสิ่งขึ้นกับศิษย์ตัวน้อยของข้า ข้าจึงต้องเดินทางมาดูด้วยตาตัวเอง” ธีโอดอร์ยิ้มพลางก้าวเข้ามา “นั่น….เรื่องมันยาวและค่อนข้างอธิบายยาก….” ได้ยินคำถาม เซียวอวี๋ก็ถอนหายใจ เรื่องนี้ เซียวอวี๋เองก็ว่าจะลองถามธีโอดอร์ดู เผื่อว่าเขาจะมีความคิดดีๆ ตอนนี้เอกวินน์ใช้ร่างร่วมกับหลินมู่เสวี่ย แม้เวลานี้จะดูไม่มีอันตรายอะไร แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ หากสามารถช่วยให้หลินมู่เสวี่ยกลับเป็นปกติได้ มันจะไม่ดีกว่าหรือ? ขณะที่เซียวอวี๋ต้องการชักชวนธีโอดอร์ไปหาห้องเพื่อพูดคุย ทันใดนั้น ฮิกกิ้นก็วิ่งเข้ามาพลางตะโกนโหวกเหวก “ธีโอดอร์ ธีโอดอร์! ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าแล้ว ที่นั่นมีวัตุดิบมากมายนัก งานวิจัยของข้าจะต้องก้าวหน้าไปไกลแน่” “ฮึ่ม…ฮิกกิ้น ท่านนี่นะ ที่นี่เป็นที่ของข้า ท่านควรต้องทักทายข้า ที่กินที่อยู่ก็ล้วนเป็นข้าที่จัดหา ช่วงนี้ท่านให้อะไรดีๆตอบแทนกลับมาบ้างหรือไม่?” ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ฮิกกิ้นก็กลอกตากล่าวว่า “ท่านปู่ผู้นี้ใช่กินอยู่เปล่าเสียหน่อย หากข้าไม่ได้มอบอะไรให้ เจ้าคิดหรือว่าเด็กน้อยฉินเช่อจะสามารถโลดแล่นไปทั่วทุ่งหญ้าได้?” ได้ยินดังนั้น เซียวอวี๋ก็กระจ่าง ไม่แปลกที่ฉินเช่อจะกลายเป็นไร้เทียมทานขึ้นมา ที่แท้ฮิกกิ้นก็มีส่วนสำคัญด้วยนี่เอง ความสามารถด้านการนำทัพของฉินเช่อนั้นสูงส่ง แต่อย่างไรเสีย คนของเขาก็มีกำลังน้อยกว่า ยากจะที่รับมือกับผู้แข็งแกร่งจริงๆ หากมีตัวตนขั้นที่หกปรากฏตัวออกมาเล่นงาน ฉินเช่อยังจัดการได้หรือ? อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเขายังมีฮิกกิ้น ครั้งล่าสุดเขายังมอบสิ่งของต่างๆให้กับฉินเช่อมากมายจนกระทั่งต่อกรกับตัวตนขั้นที่หกอย่างไม่เสียเปรียบ “อืม ท่านไปทำการวิจัยของท่านต่อเถอะ หากมีของดีอะไรอีกก็อย่างลืมเรียกข้าล่ะ” เซียวอวี๋โบกมือไล่ฮิกกิ้น “ฮึ่ม เจ้าคิดว่าข้าไม่ต้องกินต้องนอนเรอะ? ตอนนี้ข้ายุ่งจนไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้ว ข้าต้องได้ลูกมือโดยเร็ว” “ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งพวกก๊อบลินบางส่วนมาช่วยในไม่กี่วัน” พวกก๊อบลินถือเป็นช่างฝีมือคุณภาพที่ทั้งถูกทั้งดี เซียวอวี๋เองยังต้องการตัวพวกมันมาเพิ่ม “ไม่เอาเจ้าก๊อบลินพวกนั้น ฝีมือดีก็จริง แต่พวกมันไม่มีพลังเวท การวิจัยหลายๆอย่างต้องการผู้ใช้มนตราที่มีประสบการณ์” ฮิกกิ้นกล่าวขัด “เป็นเช่นนี้เอง วางใจเถอะ ข้าจะส่งคนมาในไม่กี่วัน” เซียวอวี๋รับปาก “จำคำพูดของเจ้าไว้ด้วย หากข้าไม่ได้ตัวพวกเขาในหนึ่งเดือน เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าใช้วัตถุดิบฟุ่มเฟือย” หลังจากนั้นฮิกกิ้นก็กลับไปยังห้องทดลอง การจัดหาผู้ใช้มนตราสำหรับเซียวอวี๋แล้วไม่ได้ยากนัก เขามีหลายวิธีการเพื่อให้ได้คนมา “โอ้ แล้วเจ้าจะไปหาคนเหล่านั้นมาอย่างไร?” ธีโอดอร์ยิ้มถาม “ไม่ยาก ข้าจะประกาศรับสมัครผู้ใช้มนตราตามสถาบันเวทมนตร์ต่างๆด้วยชื่อของท่าน เชื่อว่าคนจำนวนมากคงรีบแห่กันมาเลยล่ะ” เซียวอวี๋กล่าวอย่างปลอดโปร่ง “ฮึ่ม เจ้าเด็กนี่ กระทั่งใช้ชื่อข้าหาผลประโยชน์เลยรึ?” ธีโอดอร์โกรธจนเครากระดิก “เหอเหอ ท่านยังจะกลัวอะไร? ถึงเวลานั้นท่านก็ให้ผลประโยชน์พวกเขาสักหน่อย พวกเขาก็ไม่กล้าจากไปแล้ว ชื่อเสียงของท่านไม่เสื่อมเสียหรอกน่า” เซียวอวี๋กล่าวอย่างมั่นใจ “ฝันไปเถอะเจ้าหนู ข้าไม่ช่วยหรอก” ธีโอดอร์กลอกตา ขณะที่เซียวอวี๋กระอักกระอ่วน “นี่ ท่านไม่ต้องช่วยอะไรหรอก แค่เซ็นลายเซ็นให้ข้าสกหลายชุด” เซียวอวี๋ยิ้มแห้ง “ไม่มีทาง” ธีโอดอร์ปฏิเสธ ดูท่าต้องนอนต้องคอยระวังไว้บ้างแล้ว “แค่กๆ ท่านธีโอดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ตัวท่านก็ติดอยู่บนยอดของขั้นที่หกมานาน หากข้าบอกว่าข้ามีวิธีช่วยให้ท่านตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้เล่า ท่านจะช่วยข้าหรือไม่?” เซียวอวี๋เริ่มใช้ฝีปากล่อลวง “เจ้าว่าอะไรนะ? ช่วยข้าตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ด? เจ้าพูดจริงรึ?” เรื่องการตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ด แม้แต่ธีโอดอร์ก็ยังหวั่นไหว มีคนตั้งมากเท่าไรที่ใฝ่ฝันจะเป็นตัวตนสูงสุดของโลก นานเท่าไรแล้วที่ตัวตนขั้นที่เจ็ดไม่มีปรากฏขึ้นในทวีป? “แน่นอน มันเป็นไปได้แน่ เพียงแค่ท่านต้องเซ็นลายเซ็นให้ข้า ท่านแทบไม่ต้องลงแรงอะไรด้วยซ้ำ” เซียวอวี๋รีบฉวยโอกาสตีชิงตามไฟ “ฮึ่ม เจ้าคิดว่าข้ามีดีแค่อยู่มานานรึ? ข้าไม่ถูกเจ้าปั่นหัวหรอก” ธีโอดอร์สงบใจลง เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ? ขนาดตัวเขายังไม่อาจตัดทะลวงไปได้ แล้วเซียวอวี๋จะมีความสามารถนั้นหรือ? แม้จะยอมรับว่าตัวเขาสู้เซียวอวี๋เรื่องความชั่วร้ายไม่ได้ แต่ในด้านวิถีแห่งมนตรา เขาเชื่อว่าตนไม่เป็นสองรองใครแน่ “เพ้ย ท่านไม่เชื่อ? การผจญภัยครั้งนี้ ท่านรู้หรือว่าข้าได้อะไรมาบ้าง?” เซียวอวี๋ตีหน้าขรึมทำตัวลึกลับ “ข้าได้ไปที่วิหารดำมา และข้าก็คุ้นเคยกับที่นั่นดี ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้พบกับกูดาล แม้สุดท้ายแล้วมันจะหนีรอดไปได้ แต่ข้าก็สู้กับมันตั้งนานสองนาน และที่สำคัญที่สุด ข้ายังได้พบเจอผู้ยิ่งใหญ่ทางเวทย์ท่านหนึ่ง มหาจอมเวทในครั้งโบราณ” เซียวอวี๋เงยหน้าขึ้นจ้องธีโอดอร์ และรอดูท่าทีของเขา “ที่เจ้าพบเป็นผู้ใด?” มือของธีโอดอร์สั่นน้อยๆ ตัวเขานั้นได้ศึกษาศาสตร์แห่งการทำนายมา และแน่นอนว่าเขาย่อมมีความสามารถในการส่องชะตา เขาสัมผัสได้ว่าเซียวอวี๋ได้นำบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญยิ่งกลับมากับเขาด้วย แต่เป็นอะไรนั้น ตัวเขาก็ไม่อาจมองเห็น สิ่งนั้นสูงส่งและมีอำนาจเหนือกว่าตัวเขาไปไกลโข “หากอยากรู้ก็เซ็นให้ข้าก่อน” กล่าวจบก็นำเอากองกระดาษออกมาเตรียมให้ธีโอดอร์เซ็นลายเซ็นให้ “ฮึ่ม เจ้าสารเลวน้อย หากเจ้ากล้าหลอกลวงเราผู้เฒ่า ข้าจะระเบิดเมืองของเจ้าทิ้ง” ธีโอดอร์ถลึงตาใส่เซียวอวี๋พลางข่มขู่ “ไม่มีปัญหา ข้าจะกล้าโกหกท่านหรือ?” เซียวอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลีอา ที่เจ้าหนูนี่พูดเป็นเรื่องจริงงั้นรึ?” ธีโอดอร์หันไปถามลีอาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ลีอาและธีโอดอร์นั้นสนิทกันมาก ทว่าตอนนี้นางหันไปติดตามเซียวอวี๋เป็นเวลานาน ความคิดความอ่านของนางก็เติบโตขึ้นมาก นางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบมาดึงเคราของธีโอดอร์เล่นอีกแล้ว ขณะที่เซียวอวี๋และธีโอดอร์พูดคุยกัน ลีอาเองก็อยู่ด้านข้าง นางมองสลับกันระหว่างเซียวอวี๋และธีโอดอร์ด้วยแววตาสนุกสนาน “ข้าก็ไม่รู้ อาจจะจริงและไม่จริง บางทีมันอาจจะช่วยให้ท่านตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้ก็ได้” นางยืนฟังเซียวอวี๋กล่าวมานาน สิ่งที่เขากล่าวอาจสามารถช่วยธีโอดอร์ได้จริงๆ “เฮ้อ ออกเรือนไม่ทันไรก็ช่วยผู้อื่นรังแกเราผู้เฒ่าเสียแล้ว” ธีโอดอร์รำพัน “เพ้ย! ไปตายซะตาแก่ ผู้ใดออกเรือนกัน?” ลีอาพลันหน้าแดง “ข้ายังจะมีทางเลือกหรือ? เฮ้อ ชีวิตของข้าพังเพราะพวกเจ้าทั้งสองจริงๆ” ธีโอดอร์ยื่นนิ้วออก ตวัดไม่กี่ครั้ง ลายเซ็นประทับเวทมนตร์ก็ถูกเซ็นเรียบร้อย “เอาล่ะ อันที่จริงแล้ววิธีการนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์ของท่าน มู่เสวี่ยของข้า” เซียวอวี๋ถอนหายใจ “อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวอับกับเสี่ยวเสวี่ย?” ธีโอดอร์ขมวดคิ้ว “เฮ้อ ว่าไปแล้ว มันถือเป็นเรื่องโชคร้าย พวกเราเข้าไปที่วิหารดำเพื่อตามหากระโหลกของกูดาล ทว่าพวกเรากลับบังเอิญไปพบแท่นบูชาแห่งหนึ่งเข้า แท่นบูชานี้….” เซียวอวี๋เล่าเหตุการณ์การพบเจอกับเอกวินน์ให้ธีโอดอร์ฟัง เมื่อได้ยินเซียวอวี๋เอ่ยถึงเอกวินน์ ธีโอดอร์ก็พรวดพราดเข้ามาจับมือเซียวอวี๋ไว้อย่างแรง “เจ้าว่าอะไรนะ? เอกวินน์? มารดาของจอมเวทเมดีฟ? ผู้พิทักษ์แห่งทวีป เอกวินน์?” ธีโอดอร์จ้องเซียวอวี๋ราวกับจะค้นหาความจริง “ถูกแล้ว ท่านจะได้พบนางด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ที่ข้าบอกท่านเรื่องนี้ ทางหนึ่งก็เพื่อให้ท่านช่วยหาวิธีนำวิญญาณของนางออกจากร่างเสี่ยวเสวี่ย อีกทางก็เพื่อที่ท่านจะได้พูดคุยกับนาง แน่นอนว่านางจะต้องช่วยชี้ทางให้ท่านได้แน่ ท่านก็ทราบว่านางมีชีวิตอยู่มานับหมื่นปี ความเข้าใจในวิถีแห่งมนตราของนางย่อมบรรลุถึงขีดสุด เป็นอย่างไร ข้าไม่ได้หรอกท่านใช่หรือ?” เซียวอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ธีโอดอร์ก็เงียบไป สายตาเหม่อมองไปยังอากาศธาตุ ขณะที่เขาพึมพำบางอย่าง เซียวอวี๋หน้าซีด เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะคลุ้มคลั่งระเบิดเวทใส่เขา “เอกวินน์ เป็นเอกวินน์จริงๆ….ไม่แปลกที่ข้าจะรู้สึกเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้พบนาง” สีหน้าของธีโอดอร์เปลี่ยนไปมา ครู่หนึ่งยินดี แต่ครู่ถัดมาก็เต็มไปด้วยความเศร้า ความตื่นเต้นและความอัดอั้น สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เอกวินน์เป็นเพียงแค่ตัวละครหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้คุ้นเคยและรู้สึกเคารพยกย่องอีกฝ่าย ทว่าธีโอดอร์นั้นไม่ใช่ ตัวเขาได้ศึกษาศาสตร์แห่งมนตรามาทั้งชีวิต ตัวเขาย่อมมีความเคารพและชื่นชมต่อเหล่าจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งอดีต ด้วยเหตุนั้น เมื่อได้ยินนามของเอกวินน์ เขาก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกับเหล่าพาลาดินที่ได้พบกับอูเธอร์ มันคือความศรัทธา “พาข้าไปพบท่านเอกวินน์ อา ไม่ได้ๆ ข้าต้องไปล้างมือก่อน” ธีโอดอร์กลายเป็นตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะไปงานสังสรรค์ “อืม ท่านควรสระผมเสียด้วย ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องราวไม่ได้เร่งรีบอะไร แล้วก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายไปหานางหรอก อย่างไรเสีย ร่างกายนั่นก็เป็นของศิษย์ท่าน ให้เสี่ยวเสวี่ยมาพบท่านเถอะ แล้วก็นะ ตอนพบกันให้ท่านวางมาดเสียหน่อย ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเจรจากับนาง หลังจากเสร็จแล้วก็เชิญท่านตามสบาย” ซึ่งที่จริง เซียวอวี๋ก็คาดหวังให้ธีโอดอร์สามารถตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้เช่นกัน อย่างไรเสีย ตาเฒ่านี่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นคนดี หากว่าเขาไปถึงขั้นที่เจ็ดได้ ทั่วทั้งทวีปยังจะมีผู้ใดกล้าตอแย? แน่นอนว่าเซียวอวี๋ยังสามารถเป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือ… หลังจากกล่าวลาธีโดอร์ เซียวอวี๋ก็ไปยังสำนักงานเมือง ส่วนลีอานั้นรั้งอยู่กับธีโอดอร์ เซียวอวี๋ทราบว่าตาแก่นั่นคงมีอะไรต่อมิอะไรที่ต้องถามจากลีอา อย่างไรเสียทั้งคู่ก็ถือเป็นคนสนิทที่สุดของกันและกัน หลังจากรับการทักทายระหว่างทาง เซียวอวี๋ก็เรียกตัวผู้นำแต่ละเขตมาสอบถามสถานการณ์ปัจจุบัน ในระหว่างการประชุม เซียวอวี๋ก็พบว่าสถานที่ประชุมนั้นถูกตกแต่งจนหรูหราและใหญ่กว่าเดิมมาก มันสามารถจุคนได้ราวสี่สิบห้าสิบคน เซียวอวี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นอกจากนี้ จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมเองก็เพิ่มจากเดิม การประชุมครั้งนี้มีผุ้เข้าร่วมคือ เซียวอวี๋ พ่อบ้านหง บรรดาพี่สะใภ้ หลงฮุ่ย และมู่หลี่ และยังมีเหล่าบรรดาผู้บัญชาการรุ่นเยาว์ที่ได้รับฝึกฝน นอกจากที่ว่ามานี้ เซียวอวี๋ยังเรียกอลอนโซ่และคาสโซ่มาด้วย ในอนาคต อลอนโซ่จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาดินแดน แม้ว่าตอนนี้เขาจะดำรงตำแหน่งผู้นำภาคีหัตถ์เงินที่ส่วนใหญ่มีหน้าที่คอยสนับสนุนอูเธอร์ กระนั้นการให้เขาคอยปกป้องอาณาเขตก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เซียวอวี๋มีความคิดที่จะพัฒนาภาคีหัตถ์เงิน ทวีปนี้ยังต้องมีศาสนา และเขาเองก็ต้องการให้อูเธอร์ขึ้นเป็นผู้นำ นอกจากนี้ เซียวอวี๋ยังมีความคิดที่จะรับเหล่าสมาชิกของกลุ่มอาชาเหล็กและคาสโซ่เข้ามา เซียวอวี๋มีแผนที่จะโจมตีดินแดนแห่งอื่นๆ ซึ่งเขาก็จะใช้โอกาสนี้ว่าจ้างคนกลุ่มนี้เพื่อขยายอาณาเขต ด้วยวิธีนี้ กลุ่มอาชาเหล็กก็จะค่อยๆคุ้นชินกับดินแดนไลอ้อน มู่หลิงเทียน บุตรชายของมู่หลี่เองก็กลับมาที่ดินแดนไลอ้อนแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นพยัคฆ์หนุ่มที่มีความสามารถ ในอดีต มู่หลิงเทียนรู้สึกดูถูกเซียวอวี๋ เขาไม่รู้สึกว่าเซียวอวี๋น่าเคารพยกย่องอะไร อย่างไรก็ตาม สองปีผ่านไป ดินแดนไลอ้อนเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ รัฐเว่ยเองก็ตกอยู่ในอุ้งมือของเซียวอวี๋ คงอีกไม่นานที่ดินแดนไลอ้อนจะขยายใหญ่จนสามารถตั้งตนเป็นอิสระ ในเรื่องนี้ มู่หลิงเทียนไม่ใช่คนเขลา เขาย่อมเข้าใจได้ ตัวเขาจึงหันมาทุ่มเทให้กับดินแดนเต็มกำลัง ด้วยการร่วมกันระหว่างเขาและบิดาของเขามู่หลี่ การทหารของดินแดนไลอ้อนในเวลานี้จึงพัฒนาขึ้นหลายเท่าตัว มองดูความรุ่งเรืองของดินแดนไลอ้อนแล้ว ในใจของเซียวอวี๋ก็ตื่นเต้น แม้ว่าผลงานส่วนใหญ่ล้วนต้องยกเป็นความดีความชอบของฐานทัพจากระบบทั้งสี่แห่ง กระนั้นความสามารถในการจัดการของเขาก็นับว่ายอดเยี่ยม ในตอนต้นของการประชุม เซียวอวี๋ค่อยๆทำความเข้าใจเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงของดินแดน จากนั้นเขาจึงค่อยเริ่มหารือเกี่ยวกับแผนการในอนาคต เส้นทางสู่การพิชิตโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว…..