การประชุมกินระยะเวลานาน แต่นั่นก็ช่วยให้เซียวอวี๋เข้าใจสถานการณ์ของดินแดนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องดี ประชากรของดินแดนเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ผลผลิตทางเกษตรก็บริบูรณ์ ทางด้านกำลังทหารก็มีกำลังพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องร้ายเพียงเรื่องเดียวก็คือ พวกอันเดดในภูเขาอัลคาเกนมีการปรากฏตัวถี่ขึ้นในระยะหลังมานี้ มีหมู่บ้านหลายแห่งถูกพวกมันเข้าโจมตี เว้นเสียก็แต่หมู่บ้านที่อยู่ในดินแดนไลอ้อนที่มีเครื่องรางขับไล่สิ่งชั่วร้าย หลายๆคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันอาจกลายเป็นภัยต่อเมืองไลอ้อน มู่หลี่ได้ส่งคนไปสืบหาสาเหตุการโจมตีหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งล้วนแต่ล้มเหลว สาเหตุของเรื่องนี้ มีเพียงเซียวอวี๋ที่ทราบดี ดูเหมือนว่าภายใต้การนำของอาร์ทัส กองทัพอันเดดจะพัฒนาขึ้นมาก หากว่ามีเวลา ตัวเขาก็อยากจะไปดูด้วยตัวเองว่าตอนนี้กองทัพอันเดดเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่อัญเชิญอาร์ทัสมา เซียวอวี๋ก็แทบไม่ได้ไปสนใจกองทัพอันเดดอีก สุดท้ายแล้ว ความลับของกองทัพนี้จะต้องไม่ถูกเปิดเผยอย่างเด็ด ดังนั้นเซียวอวี๋จึงต้องระมัดระวังในการใช้งาน ตอนนี้เซียวอวี๋เลื่อนขั้นขึ้นอีกแล้ว เขาสามารถอัญเชิญทหารออกมาได้มากกว่าห้าพันนาย ทั้งยังสามารถอัพเกรดฐานทัพให้เป็นเลเวลสาม อัญเชิญยูนิตเลเวลสามออกมา หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดพักหนึ่ง เซียวอวี๋ก็เลือกที่จะอัพเกรดฐานทัพเอลฟ์ให้เป็นเลเวลสาม เพราะคิเมร่าสองหัว เซียวอวี๋ตื่นเต้นและแทบจะอดใจรอไม่ไหว แม้ว่ารถถังและปืนใหญ่ของฐานทัพมนุษย์เองก็มีประโยชน์มาก แต่สำหรับในยุคนี้แล้ว กองทัพอากาศถือเป็นข้อได้เปรียบสูงสุด โดยเฉพาะคิเมร่าสองหัวที่มีรูปลักษณ์คล้ายมังกร ทักษะของพวกมันยังน่าพรั่นพรึงยิ่ง เซียวอวี๋จัดการงานก่อนจะเดินทางไปอัพเกรดฐานทัพเอลฟ์ การอัพเกรดใช้เวลาค่อนข้างนาน มันต้องใช้เวลากว่าหนึ่งวันเพื่ออัพเกรด เซียวอวี๋จึงเดินทางกลับเมืองก่อน ในยามเย็น เซียวอวี๋จัดงานเลี้ยงขึ้น นี่ไม่เพียงฉลองสำหรับการผจญภัย แต่ยังฉลองให้กับความก้าวหน้าของดินแดนไลอ้อน เซียวอวี๋ยังสั่งให้จัดงานฉลองขึ้นภายในเมือง ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมดื่มกินได้เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ทั่วทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง แม้เวลาจะล่วงเลยไปดึกดื่น กระนั้นแสงไฟก็ยังคงส่องสว่างอยู่ทั้งเมือง หลังงานเลี้ยง เซียวอวี๋ก็นำธีโอดอร์ไปยังที่พักของหลินมู่เสวี่ย หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงได้สักพัก เอกวินน์ก็ปลีกตัวกลับมาก่อน ดูเหมือนว่าสตรีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้จะไม่ค่อยชอบงานรื่นเริง ในสายตาของเอกวินน์แล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้คงเป็นเพียงการละเล่นของเด็กน้อย ในฐานะที่เป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปแล้ว ความรุ่งโรจน์และเสื่อมทรามของดินแดนใดๆคงไม่อยู่ในสายตานาง ธีโอดอร์มีท่าทางประหม่า แม้ว่าตัวเขาจะเคยท่องไปทั่วทวีปมาแล้ว แต่เมื่อจะต้องพบหน้าเอกวินน์ เขาก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้ “ที่รักจ๋า สามีมาแล้ว!” เซียวอวี๋เปิดประตูพลางตะโกนเสียงดัง เปรี้ยง! เวทมนตร์ปรากฏขึ้นวาบ เซียวอวี๋พลันลอยกระเด็นออกจากบ้านไป “บัดซบ เอกวินน์ นี่ไม่มากไปหรือ หรือยิ่งอายุมากก็จะยิ่…” เซียวอวี๋ลุกขึ้นชี้ไปในบ้านอย่างเดือดดาล เปรี้ยง! เซียวอวี๋พลันลอยกระเด็นไปอีกครั้ง “ท่านย่ามันเถอะ ท่านเป็นถึงตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีความสุขนักหรือที่ได้รังแกข้า? ท่านมีความสามารถที่จะฆ่ากูดาลได้ แต่ท่านกลับไม่ทำ ท่านใช่ผู้พิทักษ์แห่งทวีปจริงๆหรือไม่? เวลานี้กูดาลเริ่มสร้างความพินาศขึ้นในทวีปแล้ว และไม่ช้าความวุ่นวายคงลุกลามไปทั่ว ไฉนท่านจึงไม่จัดการมัน?” เซียวอวี๋จุกมาก กระนัน้ก็ยังคงตะโกนใส่เอกวินน์ เอกวินน์ไม่ได้สนใจเซียวอวี๋ นางเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของข้าอีกแล้ว ต้องมีบางคนปกป้องทวีป บางคนที่จะกำจัดกูดาล แต่คนๆนั้นไม่ใช่ข้า” “เพ้ย! ข้าว่าท่านไม่มีความสามารถนั้นมากกว่า วันนี้ข้าพาผู้ที่มีความสามารถนั้นมาด้วยแล้ว” เซียวอวี๋กล่าวพลางนำธีโอดอร์เข้าไปในบ้าน “หืม?” เมื่อได้เห็นธีโอดอร์ เอกวินน์ก็สัมผัสได้ถึงพลังของธีโอดอร์ได้ทันที ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายเวทมนตร์อันหนาแน่น การควบคุมมานาของเขายังทำให้นางสนใจ นี่คือเครื่องหมายบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ “เจ้าเป็นจอมมนตราขั้นที่หก?” เอกวินน์เลิกคิ้วถาม นางมักจะมีสีหน้าเฉยชายามเมื่อพูดคุยกับคนอื่น กระนั้น เมื่อได้พบกับธีโอดอร์นางก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เพราะนางทราบว่าธีโอดอร์เป็นภัยคุกคามต่อนาง “ขอรับ ข้าคือธีโอดอร์ ยินดีที่ได้พบท่านจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เอกวินน์” ธีโอดอร์ถอดหมวกออกพลางกล่าวอย่างถ่อมตน เห็นท่าทีถ่อมตัวและจริงใจของธีโอดอร์ เอกวินน์ก็พยักหน้า “เจ้ารู้ว่าเป็นข้า ดูเหมือนทวีปนี้จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวข้าอยู่บ้าง” ธีโอดอร์รีบกล่าวตอบ “แน่นอนขอรับ มีจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ปรากฏตัว เรื่องราวจะไม่มีเล่าขานได้อย่างไร ทั้งท่านและสามีของท่าน อลัน ยังมีบุตรชายของท่าน เมดีฟ ทั้งหมดล้วนเป็นต้นแบบให้กับผู้ใช้มนตรารุ่นหลัง” เอกวินน์พยักหน้า นางหันไปหาเซียวอวี๋ “ข้าต้องการพูดคุยบางอย่างกับเขา เจ้าออกไปก่อน” “มันเป็นความลับนักหรือ? ข้าจำเป็นต้องออกไป? ท่านก็รู้ว่าที่นี่มันเมืองของข้านะ” เซียวอวี๋กล่าวเถียง เขาย่อมต้องการอยู่ฟังบทสนทนาของทั้งสอง “ที่พวกข้าคุยกันเจ้าจะเข้าใจหรือ? แม้แต่รูนสักตัวเจ้ายังไม่รู้จัก อยู่ไปก็รบกวนเปล่าๆ ดังนั้นเจ้าออกไปซะ” “ช่างเถอะ เชิญผู้อาวุโสสองทั้งสองท่านพูดคุยกัน” เซียวอวี๋แค่นเสียงก่อนจะหันหลังเดินออกไป หากว่าเขายังยืนกรานจะอยู่ เชื่อว่าเอกวินน์คงจับเขาโยนออกมาอยู่ดี กระนั้นเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาเลือกนั่งรอธีโอดอร์อยู่ที่ห้องรับแขก อย่างไรเสีย ตัวเขาก็ยังกังวลเกี่ยวกับมู่เสวี่ยอยู่ เขาจึงรอธีโอดอร์กลับออกมา ส่วนเรื่องที่ธีโอดอร์จะสามารถไปถึงขั้นที่เจ็ดได้หรือไม่นั้น นั่นเป็นเพียงเรื่องรอง เซียวอวี๋รอคอยจนกระทั่งฟ้าสาง กระนั้นธีโอดอร์ก็ยังไม่ออกมา เซียวอวี๋จึงลองเข้าไปส่งเสียงเรียกดู ผลลัพธ์ก็คือถูกเอกวินน์ส่งลอยออกมา ทั้งยังกำชับไม่ให้มารบกวนอีก “เพ้ย สองคนนั้นคุยเรื่องอะไรอยู่กัน?” เมื่อทำอะไรไม่ได้ เซียวอวี๋จึงเลือกไปดูความคืบหน้าของฐานทัพก่อน เมื่อมาถึงฐานทัพเอลฟ์ เขาก็พบว่าการอัพเกรดเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว เพียงต้องรออีกเล็กน้อย เซียวอวี๋รู้สึกเบื่อ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะเดินเล่น เขาพบว่าพวกเอลฟ์ที่พากลับมาจากเทือกเขาอัลคาเกนได้ลงหลักปักฐานและสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมากมาย จำนวนเอลฟ์เองก็เพิ่มขึ้น เซียวอวี๋ฟังรายงานสถานการณ์ของที่นี่ กลับกลายเป็นว่า ในเทือกเขาอัลคาเกนยังมีพวกเอลฟ์อยู่มากมาย มีเอลฟ์ที่นี่บางคนรู้ตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านบางส่วน หากแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่ไว้ใจเซียวอวี๋นัก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกออกมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังพบว่าที่นี่มีความเป็นอยู่ที่ดี พวกที่เหลือก็ค่อยๆอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เซียวอวี๋มอบที่ดินและสิ่งของที่จำเป็นให้กับพวกเขา แม้ว่าตัวเซียวอวี๋เองจะไม่ค่อยชอบความเย่อหยิ่งของพวกเอลฟ์นัก กระนั้นก็เขาก็ยังต้องยอมรับว่ารูปร่างและท่าทีที่ดูสูงส่งของพวกเขาก็ดูสบายตานัก เวลานี้เซียวอวี๋กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอันงดงาม คลอเคล้าด้วยเสียงบรรเลงและขับขานโดยพวกเอลฟ์หญิง บรรยากาศที่ราวกับอยู่ในเทพนิยายนี้ มีเพียงพวกเอลฟ์ที่สามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ ไม่แปลกที่พวกเขาจะทะนงตนเช่นนี้ แม้มนุษย์จะพยายามลอกเลียนแบบสักเท่าไร กระนั้นก็ไม่เคยสำเร็จ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเอลฟ์ ยากที่จะลอกเลียน พวกเขายอมไม่สวมเกราะ แต่จะไม่ยอมขี้เหร่ พวกเขายอมตายได้ แต่จะต้องตายอย่างดูดี พวกเอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ที่รักสวยรักงามอย่างที่สุด ตอนนี้เซียวอวี๋ถือเป็นนายเหนือของพวกเขา กระนั้นพวกเอลฟ์ก็ไม่ค่อยอยากพบเขานัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีไม่ดีอะไร พวกเขายังคงทักทายและรับใช้เขา นั่นเพราะอย่างไรเสีย เซียวอวี๋ก็คือผู้ที่มอบบ้านหลังใหม่ให้กับพวกเขา ทั้งยังนำพาเมอีฟและทิรันด้ากลับมาสู่เผ่าพันธุ์ ขณะที่เซียวอวี๋กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสุนทรีย์อยู่นั้น เสียงจากระบบก็รายงานว่าการอัพเกรดฐานทัพเสร็จสิ้นแล้ว…..