นามปากกาของศิลปินผู้นี้ก็คือ ชิโนซากิ ไต้เสิน และเขาก็มีชื่อเสียงมากที่ต่างประเทศ แต่ว่า มีคนไม่มากที่รู้ชื่อจริงของเขา เฉินเกออ่านผลการค้นหาอยู่นานก่อนที่จะเจอบางอย่างที่สำคัญ ใครบางคนที่เรียกเขาว่าเจ้าของบ้านของชิโนซากินั้นเผยแพร่สิ่งหนึ่งเอาไว้

เขาอ้างว่าตัวเองเคยเห็นบัตรประชาชนของชิโนซากิมาก่อน นักเขียนการ์ตูนผู้นี้ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศอันที่จริงนั้นมีชื่อที่ธรรมดามาก ๆ เขาเกิดมาในฐานะ หลี่เป้าฝู

“ชิโนซากิไต้เสินกับหลี่เป้าฝู นี่ยากที่จะคิดภาพว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน” เฉินเกอหันไปมองทางเข้าบ้านผีสิง ชิโนซากินั้นกำลังแข่งจ้องตาอยู่กับผู้ชายในชุดคลุมตัวยาว– พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติในตัวอีกฝ่าย

ตอนนี้มีคนอยู่ที่ด้านในประตูบ้านผีสิงเจ็ดคน ชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขายืนอยู่ทางซ้าย ขณะที่ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่ทางขวาคนเดียว สี่คนที่เหลือนั้นมาด้วยกัน แต่ว่าพวกเขายืนกันเป็นกลุ่มสองคน ทำเหมือนไม่รู้จักกันและกัน

“เมืองหลี่ว่านใหญ่มาก ต่อให้เข้าไปเจ็ดคน ฉันยังสงสัยว่ามันก็คงจะไม่สะเทือน” ถ้าผู้เข้าชมเหล่านี้เคยผ่านประสบการณ์ฉากระดับสามดาว เฉินเกอก็อาจจะส่งพวกเขาเข้าไปทั้งอย่างนั้น แต่ว่าหลายคนในนี้นั้นเป็นหน้าใหม่ การมีจุดประสงค์ไม่ดีในการมาที่นี่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าชิโนซากิและผู้ช่วยสาวของเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เขาจะไม่ทำให้สองคนนี้ต้องลงนรกไปด้วยเพียงเพราะว่าพวกที่เหลือดูถูกบ้านผีสิงของตนและอ้างว่าฉากของเขานั้นไม่น่ากลัว

หลังจากคิดดูแล้ว เฉินเกอก็เดินไปรวมกับกลุ่มเจ็ดคน  “ฉากใหม่นั้นกว้างมาก– นี่หมายความว่ามันควรเป็นการท้าทายด้วยกลุ่มสิบคน หลังจากที่พวกเรารวมอีกสามคนที่เหลือได้ อย่างนั้นก็เริ่มเข้าฉากได้”

“ยิ่งพวกเราคนน้อยก็ยิ่งสนุก เจ็ดคนก็มากเกินพอแล้ว” ชายในชุดเสื้อคลุมยาวนั้นเคยถูกผู้เข้าชมทุบตีมาก่อน เขาไม่ได้กลัวนักแสดง แต่ว่าเขากลัวว่าผู้เข้าชมคนอื่น ๆ จะทำลายแผนการของเขา

“ใช่ ถ้ามีกันสิบคน ก็มีแต่จะเสียงดังและแออัดเกินไป แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ชิโนซากิให้ความเห็นด้วยเหมือนกัน ด้วยพื้นอารมณ์ของเขานั้น ย่อมไม่กลั่นกรองคำพูด สิ่งที่ออกมาจากใจก็คือถ้อยคำที่ออกจากปาก

“ผมแนะนำให้พวกคุณฝึกความอดทนกันสักหน่อยนะ– คุณเจ้าของก็แค่เป็นห่วงพวกคุณเท่านั้น” มีเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นมาจากในกลุ่มคน เสียงของผู้ชายคนนั้นคุ้นหูเฉินเกอมาก เขาหันไปทางเสียงนั้นและเห็นหยางเฉินกำลังขมวดคิ้วขณะอ่านป้ายไม้ที่ข้าง ๆ ห้องขายตั๋ว

“คุณไม่ไปเรียนแต่ว่ามาที่นี่ทุกวันเลยนะช่วงนี้?” บางทีอาจจะเพราะตัวตนที่ในห้องเก็บศพใต้ดิน เมื่อไหร่ก็ตามที่เฉินเกอเห็นนักศึกษาจากวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนเหล่านี้

หยางเฉินนั้นกลัวเฉินเกออยู่นิด ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงเฉินเกอ เขาก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “ผมยังไม่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน ดังนั้นไม่มีทางที่ผมจะไปลองฉากใหม่ คุณไม่ต้องคิดอะไรเลยนะ!”

“เสี่ยวหยาง ทำไมนายพูดแบบนั้นล่ะ? นายลืมคูปองที่ฉันให้นายไปแล้วเหรอ?” เฉินเกอชูโทรศัพท์ขึ้นมาและคำแนะนำฉากใหม่ก็อยู่บนหน้าจอ “นายแน่ใจเหรอว่านายไม่อยากท้าทายฉากนี้? ด้วยความสามารถของนาย เด็ก ๆ จากที่วิทยาลัยของนายก็เหลือแค่ผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดินให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง หลังจากผ่านฉากห้องเก็บศพใต้ดิน รวมถึงฉากนี้ด้วย เงินรางวัลสองแสนก็จะเป็นของนาย นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนรักษาคำพูด ฉันไม่เคยผิดสัญญานะ ถ้านายผ่านฉากนี้ได้ ฉันจะส่งเงินรางวัลให้นายตรงนี้เลย”

ฉากที่วิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงผ่านได้นั้นกลายเป็นที่นิยมในอินเตอร์เนต ในสายตาของเฉินเกอ นักศึกษาเหล่านี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากสัญลักษณ์หรือว่าเครื่องรางแห่งโชคลาภของเขาเลย

“ไม่ต้องนับผมรวมเข้าไป แต่ว่าผมพาคนมาให้คุณสองสามคนวันนี้” หยางเฉินหันกลับไปโบกมือ เด็กหนุ่มสองคนกับเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกจากมาฝูงชน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือหวังตั้น เฉินเกอเคยเจอเขามาแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับหยางเฉินตอนที่พวกเขาท้าทายฉากโรงเรียนมัธยมมู่หยางและห้องเก็บศพใต้ดิน

เด็กหนุ่มกับเด็กสาวที่ด้านหลังนั้นคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กสาวสวมเสื้อยืดตัวหลวมที่เผยให้เห็นหัวไหล่ของเธอกับกางเกงขาสั้นสีขาว มันเผยความเย้ายวนและน่ารักที่เธอมีในวัยเยาว์นี้ของเธอ

เด็กหนุ่มคนนั้นสูงกว่าหวังตั้นและยังมีมัดกล้ามเนื้อสวยงามบนร่าง เขาไม่ได้แต่งตัวจัด แต่ว่าเสื้อผ้าทุกชิ้นเป็นของมีราคา เขาดูดีกว่าหวังตั้นที่แทบจะกลายไปเป็นฉากหลัง

“ผมมั่นใจว่าคุณจำเพื่อนผมได้ หวังตั้น เด็กสาวที่ด้านหลังเขาคือแฟนสาวของเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาคณะกีฬาและสุขภาพของวิทยาลัยครูจิ่วเจียง เขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของแฟนของหวังตั้น” หยางเฉินเอนตัวเข้าไปกระซิบกับเฉินเกอใกล้ ๆ “แล้วเขาก็ยังได้รับเลือกเป็นนักเรียนที่หล่อที่สุดของโรงเรียนตอนเรียนมัธยมด้วย”

“นั่นแฟนหวังตั้นเหรอ? ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ นะ” เฉินเกอจู่ ๆ ก็คิดได้ “เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงบอกฉันเรื่องนี้?”

หยางเฉินขยิบตาให้และส่งสัญญาณให้เฉินเกอ และนั่นทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร หวังตั้นกับอีกสองคนก็เดินเข้ามาแล้ว “ขอตั๋วสามใบสำหรับฉากใหม่ครับ”

เห็นได้ชัดเจนว่าหวังตั้นอารมณ์ไม่ดีนัก เสียงของเขาดูเอื่อยเฉื่อยและสิ้นหวัง

“นายแน่ใจเหรอ? ฉากใหม่น่ากลัวมากนะ ฉันแนะนำให้นายอย่าวู่วามดีกว่า”

“ไม่เป็นไร ผมผ่านฉากระดับสามดาวหลายฉากแล้ว ฉากใหม่นี่น่าจะเป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับผม”

“งั้นก็ได้ ยังไงฉันก็จะรู้สึกดีขึ้นที่มีผู้เข้าชมที่มีประสบการณ์อย่างนายเข้าไปกับผู้เข้าชมที่เหลือ” เฉินเกอส่งตั๋วให้ทั้งสามคนละใบ จากนั้นเขาก็นำทั้งสามคนเข้าไปในบ้านผีสิง “ปากกาอยู่บนโต๊ะ รบกวนลงชื่อในใบยินยอมด้วย”

ผู้เข้าชมสิบคนเบียดกันอยู่ในทางเดิน และมันก็ค่อนข้างแออัด บนโต๊ะมีปากกาจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงต้องรอกันบ้าง ผู้ชายในชุดคลุมยาวดูรำคาญ “มันจำเป็นด้วยเหรอเนี่ย? ฉันเคยไปบ้านผีสิงตั้งหลายที่แล้ว และฉันก็ไม่เคยเห็นที่ไหนต้องทำขนาดนี้เลย”

“ใช่ คุณทำอย่างกับมาบ้านผีสิงเหมือนอะไรแบบกระโดดบันจี้จั๊มพ์ ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อะไรนอกจากกลเม็ดสร้างความกดดันทางจิตใจ” เด็กหนุ่มนักศึกษาที่ใส่เสื้อผ้ามียี่ห้อทั้งตัวและดูสดใสราวกับพระอาทิตย์พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ เขายืนอยู่ข้างแฟนสาวของหวังตั้นและเริ่มเล่าเรื่องตอนที่เขาไปดำน้ำตื้นกับกระโดดบันจี้จั๊มพ์ เทียบกับบ้านผีสิงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าการดำน้ำตื้นและการกระโดดบันจี้จั๊มพ์นั้นดึงดูดความสนใจของเด็กสาวได้ดีกว่ามาก แฟนสาวของหวังตั้นฟังทุกคำพูดของเขาและพยักหน้าและทำเสียงเห็นด้วยเป็นระยะ

“คุณจะไม่ควรพูดแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาบ้านผีสิงนี่ ผมแนะนำให้คุณระวังคำพูดของคุณมากกว่านี้” หวังตั้นส่งปากกาที่เขาถืออยู่ให้คนถัดไป

“ขอบใจ” นักศึกษาชายคนนั้นยักไหล่และลงชื่อก่อนที่จะวางใบยินยอมลงบนโต๊ะ

“จางเฟิง?” เฉินเกออ่านชื่อที่บนใบยินยอมและเก็บมันไปอย่างรอบคอบ “คุณลงชื่อด้วยตัวคุณเอง และผมไม่ได้บังคับให้คุณทำ ผมอยากจะแน่ใจว่าคุณเข้าใจดีว่าคุณยินดีเข้าไปในบ้านผีสิงแห่งนี้เองและไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ต้องเข้าไป”

ตอนที่เขาได้ยินว่านี่คือครั้งแรกที่จางเฟิงมาเข้าชมบ้านผีสิง การท้าทายครั้งแรกของเขาคือฉากระดับสามดาวครึ่งของเฉินเกอ นั่นเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแค่คำว่ารนหาที่ตาย

“คุณล้อเล่นหรือไง?”

“ยังมีเวลาให้คุณเปลี่ยนใจนะ” เฉินเกอพยายามโน้มน้าวเด็กหนุ่ม

“คุณจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอกับแค่เข้าบ้านผีสิง? คุณทำเกินไปแล้วนะ ลงชื่อในใบยินยอมนั่นก็พอแล้ว แต่ตอนนี้คุณยังทำตัวน่ารำคาญ” จางเฟิงไม่สนใจคำแนะนำอย่างอ่อนน้อมของเฉินเกอและหันกลับไปคุยกับแฟนสาวของหวังตั้น

ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่รับคำแนะนำของเขา เฉินเกอก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเก็บใบยินยอมของคนอื่น ๆ ไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็บรรยายสั้น ๆ ให้ผู้เข้าชมฟังถึงวิธีการสนุกกับฉากเมืองหลี่ว่าน

“ฉากใหม่นี้เรียกว่าเมืองไร้นาม มันสร้างขึ้นจากเรื่องผีหลาย ๆ เรื่อง มันกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และคุณสามารถไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระตามที่ต้องการ หลังจากคุณเข้าไปแล้ว ผมก็จะปิดทางเข้าเมืองไร้นาม และทางออกนั้นซ่อนอยู่ในฉากแล้ว

“คุณต้องหาเงื่อนงำที่ซ่อนเอาไว้ขณะที่ถูกฆาตกรและเหล่าวิญญาณไล่ตาม มีคำใบ้ทั้งหมดสามสิบสองชิ้นซ่อนเอาไว้ในฉากนี้ และมันจะนำไปหาจุดจบสามสิบสองแบบที่แตกต่างกัน”

ถึงตอนนี้ เฉินเกอชูสี่นิ้ว

“ในเมื่อพวกคุณเป็นผู้เข้าสัมผัสประสบการณ์ในฉากนี้เป็นกลุ่มแรก ผมจะบอกตำแหน่งของคำใบ้สี่แห่งให้คุณ

“จุดแรกนั้นซ่อนอยู่ถังน้ำในห้องห้องหนึ่ง มีโทรศัพท์ที่คุณสามารถใช้สื่อสารกับผีได้

“จุดที่สองสองนั้นอยู่ในเขตที่พักอาศัย คุณจะไม่เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดไหนซ่อนอยู่ที่นั่นในสถานที่ที่ไม่คาดคิด

“คำใบ้ที่สามซ่อนอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง กล่องดนตรีที่ส่งเสียงได้ด้วยตัวเอง

“คำใบ้ที่สี่ซ่อนอยู่ที่บอสของโรงแรม คุณไปหาเขาได้ และเขาจะให้ข้อมูลบางอย่างกับคุณ

“แน่นอนว่า คำใบ้ทั้งสี่ที่ผมมอบให้คุณนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กมาก ๆ ของฉากนี้ ตามหาคำใบ้อื่นได้ตามสบายและหาทางออกจากที่นี่”

เฉินเกอมอบคำใบ้ทั้งสี่นี่เพราะว่าเป็นสี่จุดที่พร้อมอยู่แล้ว คำใบ้ทั้งสามสิบสองนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าในฉากควรจะมี และเขาก็จะติดตั้งส่วนที่เหลือทีหลัง

“คำใบ้สามสิบสองชิ้น?” หนึ่งในสี่คนที่แซงคิว คนหนึ่งนั้นไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่เขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวและไม่พูดอะไรอีก

“บ้านผีสิงแบบเปิดโดยสมบูรณ์พร้อมกับอิสระในการสำรวจ ที่นี่คุณสามารถสนุกไปกับประสบการณ์สุดยอดที่คุณไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน” เฉินเกอถือใบยินยอมทั้งหมดแล้วนำทั้งกลุ่มไปที่ประตูสู่ชั้นใต้ดิน “คำแนะนำสุดท้าย หลังจากคุณเข้าไปแล้ว เดินตรงไปหาแสง อย่าได้เดินเตร็ดเตร่ไปทางอื่นเอง”

“ทักษะการแสดงของคุณสมควรได้รับคำชม แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็รู้กันอยู่แล้ว” บางทีอาจจะเพราะความไม่มั่นใจหรือเพราะเหตุผลอื่น แต่ว่าชายในชุดคลุมยาวก็บ่นเบา ๆ

“การเลือกแต่ละครั้งของพวกคุณจะนำไปซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน คุณจะเข้าใจความหมายของผมหลังจากคุณเข้าไปในฉาก” เฉินเกอเปิดประตูโหยหวน และลมเย็นเฉียบก็พุ่งออกมาจากปากที่อ้ากว้าง อุณหภูมิลดลงทันทีและผู้เข้าชมบางคนก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“มาสิ ผมจะนำพวกคุณไปที่ทางเข้า” เฉินเกอเดินอยู่ข้างหน้า เขาก้าวยาว ๆ ไปตามเส้นทางน่าขนลุกและไปถึงที่ทางเดินที่นำไปสู่ฉากเมืองหลี่ว่าน ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกทาสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ที่ด้านนี้ของประตูพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงวิ่งของผู้เข้าชมคนอื่น ๆ แต่ว่าที่อีกด้านหนึ่ง มันเงียบสนิทราวกับไม่มีคนเป็น ๆ เคยย่างเท้าเข้าไปที่อีกฟากหนึ่ง

“เวลาของการเข้าชมก็คือสี่สิบนาที ถ้าคุณต้องการยอมแพ้ ก็แค่ยืนอยู่กับที่แล้วร้องขอความช่วยเหลือ พนักงานของเราจะเข้าไปช่วยพาคุณออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” หลังจากส่งผู้เข้าชมทั้งหมดเข้าไปในเมืองหลี่ว่าน เฉินเกอก็ล็อกประตูเหล็ก

เสียงโซ่เสียดสีกับประตูนั้นแหลมเสียดหู เฉินเกอมองผู้เข้าชมทั้งสิบตรงหน้าเขา และมุมปากก็ยกโค้งขึ้น “ผมหวังว่าพวกคุณจะสนุกกับประสบการณ์ครั้งนี้”

เขาหันกลับเดินออกไปจากฉากใต้ดินและเข้าไปที่ห้องควบคุมหลัก เขาเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์ของเมืองหลี่ว่านไปเป็นเพลงธรรมดา มีหน้าใหม่หลายคนเกินไป ดังนั้นเฉินเกอจึงเชื่อว่าแค่ฉากอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวแล้ว

หลังจากเสร็จแล้ว เฉินเกอก็กลับไปขายตั๋วที่ทางเข้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เย่เสี่ยวซินก็ออกมาจากฉาก และเธอก็เดินออกมาจากบ้านผีสิง แผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ และหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ

“เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเกอเดินเข้าไปทักทายเธอ

“ไม่ว่าฉันจะมาที่นี่กี่ครั้ง นี่ก็ยังมีความรู้สึกของความเหมือนจริงที่สลัดไม่หลุด ความหวาดกลัวจู่โจมหัวใจของคุณ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันได้เจอนั้นสะท้อนมาจากชีวิตจริง” เย่เสี่ยวซินให้ความเห็นอย่างซื่อตรง “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณออกแบบทั้งหมดนี่มาได้ยังไง– พวกมันน่ากลัวมากจริง ๆ”

“ถ้าไม่น่ากลัว แล้วจะเรียกว่าบ้านผีสิงได้ยังไงเล่า?” เฉินเกอตอบพร้อมยิ้ม

“แล้วก็ มีอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณ” เย่เสี่ยวซินดึงโทรศัพท์ออกมา “เมื่อกี้นี้มีแฟนคลับคนหนึ่งของฉันส่งข้อความส่วนตัวมาให้ บอกฉันว่าบ้านผีสิงที่ใหญ่ที่สุดที่ซินไห่จะมาดูงานที่บ้านผีสิงของคุณ”

“บ้านผีสิงที่ซินไห่?”

“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังจะเจ๊ง ดังนั้นจึงอยากมาล้วงความลับของคุณ”

เย่เสี่ยวซินเปิดข้อมูลของบ้านผีสิงให้เฉินเกอดูู เฉินเกอไม่ได้สนใจมากนักในตอนแรก แต่หลังจากกวาดตามองเร็ว ๆ รอบหนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่คุ้นเคยอย่างน่าสงสัย “เดี๋ยวก่อนนะ คุณให้ผมดูรูปหมู่อีกทีได้ไหม?”

เฉินเกอขยายรูปออกดูและเขาก็ต้องตกใจว่ารูปที่เย่เสี่ยวซินให้เขาดูนั้นมีคนผู้หนึ่งที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย หน้าตานุ่มนวลและดวงตาเล็ก ชายหนุ่มคนนี้ตอนนี้กำลังอยู่ในบ้านผีสิงของเขา!

“ผมเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน เขาเพิ่งเข้าไปในบ้านผีสิงกับไอ้ทุเรศนั่น”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้!” เย่เสี่ยวซินตกใจ

“ไอ้คนลามกนั่นถูกบ้านผีสิงหลายที่ขึ้นบัญชีดำแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่รู้กันเฉพาะในกลุ่มที่เข้ากระดานสนทนาบ้านผีสิงบ่อย ๆ เท่านั้น ผมสลัดความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องออกไปไม่ได้เลย” เฉินเกอคืนโทรศัพท์ให้เย่เสี่ยวซิน “ผมขอตัวก่อนนะ”

บอกลานักรีวิวแล้วเฉินเกอก็กลับไปที่ห้องควบคุมหลักตรวจดูกล้องวงจรปิดที่ทางเข้าบ้านผีสิง หลังจากเทียบดูแล้ว ความสงสัยของเฉินเกอก็ยืนยันได้

สี่คนนี้รู้จักกันชัด ๆ พวกเขาหลอกให้ไอ้ทุเรศนั่นเข้ามาที่บ้านผีสิงของฉัน พวกเขาคิดจะทำอะไร? พวกเขามาที่นี่ในนามของสวนสนุกแห่งอนาคตเหรอ??

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เฉินเกอก็คิดและตัดสินใจเปลี่ยนเพลงแบ็คกราวน์กลับไปเป็น Wedding dress และ Black Friday

ในเมื่อพวกแกมาที่นี่เพื่อดูงาน อย่างนั้นฉันก็จะไม่เก็บความลับของฉันเอาไว้จากพวกแก ฉันไม่อยากจะถูกหาว่าขี้งกหรอกใช่ไหม?

เขาเดินออกไปจากห้องควบคุมหลักและเฉินเกอก็เข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วแต่งหน้าให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็ดึงชุดจากในห้องแต่งตัวปิศาจ เขาติดต่อเสี่ยวกู่ผ่านเส้นทางพนักงานและสวมชุดคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่เสี่ยวกู่ถอดออกมา

พวกเขาคงไม่ทันคาดคิดว่าจะมีฆาตกรสองคนหรอกใช่ไหม?

โซ่ลากไปบนพื้นและเฉินเกอก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ ถือค้อนเอาไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วกลับไปที่เมืองหลี่ว่าน

ในเมื่อฉันมีสหายจากแดนไกลมาเยือน ฉันจะปล่อยให้เขากลับไปโดยไม่สนุกสักหน่อยได้หรือ?

เมื่อประตูของเมืองหลี่ว่านถูกปิดลง อุณหภูมิก็ลดต่ำลงไปอีก ความเงียบ ความกลัว และความสยองที่บรรยายไม่ได้ชะโลมใส่พวกเขาเป็นระลอก ไม่มีใครพูดอะไร และผู้เข้าชมก็แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของคนอื่นเต้นได้ด้วยซ้ำ

“ไม่มีกระทั่งป้ายหรืออะไรเลย? เขาแค่เอาพวกเรามาทิ้งไว้อย่างนี้น่ะนะ?” ชิโนซากิเองนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเบาเสียงลง

“บ้านผีสิงของบอสเฉินก็เป็นแบบนี้แหละ เขามีวิธีการที่ต่างไปจากบ้านผีสิงอื่น ๆ ในตลาด” น้ำเสียงของหวังตั้นไม่เป็นมิตรนัก เขาเดินไปหน้ากลุ่มและพูด “ผมผ่านฉากระดับสามดาวมาแล้ว แต่มีใครตรงนี้ที่พูดแบบเดียวกันได้บ้าง? มีแค่การร่วมมือกันเท่านั้นพวกเราถึงจะมีโอกาสเคลียร์ภารกิจนี้ได้”

“แกถูกบ้านผีสิงล้างสมองหรือไง? แกก็ดูโง่เท่า ๆ กับบอสเมื่อกี้นั่นแหละ” ชายคนหนึ่งที่ตามชายที่ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาพูด “ใครให้เขามีสิทธิ์ตัดสินระดับความน่ากลัวของฉากในบ้านผีสิงกัน? บ้านผีสิงของเขาก็แค่เป็นที่นิยมขึ้นมานิดหน่อยในเมืองจิ่วเจียงนี่”

“เขาแบ่งฉากเป็นระดับต่าง ๆ กันก็เพื่อเก็บเงินจากลูกค้าที่มาซ้ำอย่างแกนั่นแหละ พวกเราพยายามทำอย่างนี้ดูแล้วเมื่อปีก่อน” อีกคนบิดขี้เกียจ และดึงเอาโทรศัพท์ออกมาเตรียมส่งข้อความให้ใครบางคน

“นี่เป็นคำแนะนำของผมนะ ว่าคุณไม่ควรใช้โทรศัพท์ในบ้านผีสิงนี่” หวังตั้นมองชายคนนั้นอย่างจริงจัง “ทุกคนที่ใช้โทรศัพท์ของตัวเองในบ้านผีสิงมักพบจุดจบเลวร้ายที่สุดและเป็นได้แค่ภาระให้กับเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ”

“แกเป็นนักแสดงที่บ้านผีสิงจ้างมาใช่ไหม? หรือสมองแกมีอะไรผิดปกติ?” ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจและหันหน้าหนีไปจากหวังตั้น

หวังตั้นอยากจะพูดอะไรอื่นอีกแต่ถูกแฟนสาวรั้งเอาไว้ แฟนสาวของเขาดูเหมือนจะคิดว่าที่เขาทำนั้นค่อนข้างน่าอาย