ฮ่องเต้ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ วันหนึ่งจู่ๆ ก็มีใครบางคนไปที่ศาลยุติธรรมและร้องเรียนต่อหมอเทวดาโม่ มันเป็นวิธีการที่เรียบง่ายและยังโหดร้ายในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนกับพฤติกรรมของบุคคลผู้นั้น …

“ ไปตรวจสอบดูว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้” เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนร้องเรียนหมอเทวาดโม่ ความกังวลแรกของฮ่องเต้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการเรื่องของคดี แต่เป็นใครผีร้ายที่อยู่ข้างหลังมัน

       ห้องโถงของฮ่องเต้นั้นเงียบ ไม่มีใครตอบคำของฮ่องเต้ แต่เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมกลับรู้สึกเย็นที่หลังของเขา

       ในเวลานี้ ฮ่องเต้กำลังมีการหารือกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายยุติธรรมเป็นการส่วนตัวและดูรายงานบนโต๊ะ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็พูด“เจิ้นจะทำตามกฎราชสำนัก เจิ้นไม่ต้องการฟังความคิดเห็นใด ๆ จากคนของสำนักเหวินชาง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจ้าหน้าของศาลยุติธรรมเข้าใจว่าฮ่องเต้ได้ยอมแพ้ในตัวของหมอเทวดาโม่แล้ว “ฝ่าบาท หมอเทวดาโม่อยู่ในวัง กระหม่อมสงสัยว่ากระหม่อมจะขอให้หมอเทวดาโม่ไปที่ศาลยุติธรรมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” เช่นนี้ จะได้ไม่ได้ต้องกลับมาที่วังอีก

“ เจิ้นจะส่งบุคคลผู้นั้นให้กับเจ้า เจ้ากลับไปก่อน” ฮ่องเต้พูดขึ้นง่ายๆ เขาไม่ต้องการพูดกับเจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมอีก บางสิ่งบางอย่างต้องตรวจสอบก่อน

       ความจริงที่ว่าจู่ๆ หมอเทวดาโม่ก็ถูกเปิดเผย มันดูฉลาดเกินไปในตอนที่เขาไม่ต้องการหมอเทวดาโม่แล้ว และตอนนี้เขาก็วางแผนที่จะส่งเขาออกไป ใครบางคนไปที่ศาลยุติธรรมและร้องเรียนเขา ผีร้ายตัวนั้นที่ลงมือ อาจจะรู้จักเขาดีมากหรือต้องเป็นใครสักคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเขา

       เมื่อเจ้าหน้าของศาลยุติธรรมจากไป ก็มีคนเข้ามารายงานขึ้น “ฝ่าบาท ตระกูลเมิ่งของสำนักเหวินชาง มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ ตระกูลเมิ่งแห่งสำนักเหวินชางหรือ? มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือไม่?” มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากอีกหนึ่ง เป็นใครก็ช่วยไม่ได้ที่จะสงสัย

“ให้พวกเขาเข้ามา!”

       ไม่จำเป็นต้องถามว่าทำไมตระกูลเมิ่งแห่งสำนักเหวินชางจึงต้องการพบฮ่องเต้ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวังว่าฮ่องเต้จะอนุญาตให้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับหมอเทวดาโม่และลูกศิษย์ของเขา พวกเขาต้องการค้นหาว่าทำไมผู้อาวุโสของพวกเขาถึงตายในเวลานั้น

       การกระทำของตระกูลเมิ่ง นั้นสมเหตุสมผล พวกเขาเอาชื่อเสียงของพวกเขาเป็นเดิมพัน ดังนั้นฮ่องเต้จึงปฏิเสธไม่ได้ ฮ่องเต้ได้ทำตามคำขอของตระกูลเมิ่งและส่งพวกเขาไปยังศาลยุติธรรม

       เมื่อ หลิน ชูจิ่ว กำลังจะกลับ รถม้าของตระกูลเมิ่ง ก็กำลังตรงมาอย่างรีบร้อน แต่พวกไม่ได้แสดงฐานะที่แท้จริงและไม่เปิดเผยตัวตนของพวกเขา หลิน ชูจิ่ว ที่ไม่รู้จักตระกูลเมิ่ง ดังนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าใครกำลังมา

       รถม้าของพวกเขามาพบกันที่ถนน ผู้คุ้มกันของหลิน ชูจิ่ว ขับรถม้าไปด้านข้างและรอให้อีกฝ่ายผ่าน

       หลิน ชูจิ่วอยู่ข้างนอกทั้งวัน เมื่อเธอกลับไปมันก็เป็นตอนเย็นแล้ว พ่อบ้านจึงเริ่มเป็นกังวลและออกไปข้างนอกเพื่อรอหลิน ชูจิ่ว เขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง เขาจะอธิบายต่อหวางเย่ ของพวกเขาอย่างไรถ้ามีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น?

       พ่อบ้านเฮ้าขอให้หทารที่เฝ้าอยู่ที่ประตูค่อยดูเอาไว้ และมารายงานเขาทุกครึ่งชั่วยาม พ่อบ้านเฮ้ากลับไปข้างในและสวดอ้อนวอนขอให้หลิน ชูจิ่วกลับมาโดยเร็ว

       แต่หลิน ชูจิ่วก็เหมือนว่าม้าป่าที่วิ่งออกไปข้างนอกได้ เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่เธอก็ยังไม่กลับมา

“ ทำไมหวางเฟย ถึงยังไม่กลับมาอีก” พ่อบ้านเฮ้า ถามเป็นครั้งที่ 100 ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู โค้งคำนับและไม่ได้พูดอะไร

       พ่อบ้านเฮ้าออกไปข้างนอกอีกครั้งและเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ประตู เขากลัวที่จะได้ยินข่าวร้ายเมื่อหลิน ชูจิ่วกลับมา  

“ ทำไมหวางเฟย ถึงยังไม่กลับอีก? โอ้สวรรค์ ได้โปรดอย่าให้หวางเฟยได้รับบาดเจ็บเลย หวางเย่จะต้องไม่ปล่อยข้าไปอย่างแน่นอน” พ่อบ้านเฮ้าหันไปทางประตู เจ้าหน้าที่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พ่อบ้านเฮ้าเดินกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้ง เขาก็หันกลับมาถามคำถามเดียวกันอีกครั้ง

“ ทำไมหวางเฟย ถึงยังไม่กลับอีก? ข้าควรส่งคนไปตามหวางเฟยดีหรือไม่?” พ่อบ้านเฮ้าลังเล แต่แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นและเดินเข้าไปข้างใน เขาก้าวไปข้างหน้าแต่แล้วก็หยุดลง “ช้าก่อน ถ้าหวางเฟย รู้ว่าข้าส่งคนไปตามนาง นางอาจคิดว่าข้ากำลังต่อต้านนางและไม่เชื่อฟังนางก็ได้”