บทที่ 134 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 134 เรื่องกวนใจรอบสอง (3)
เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีไปสนามบินด้วยกันกับลั่วจื่อหาน ก่อนจะไป ฉู่ซ่งยื้อยุดกระเป๋าเดินทางของเธอตลอดเวลา บ่นอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเธอมีแฟนแล้วละทิ้งครอบครัวและน้องชาย ในขณะที่ไม่มีทางเลือกนั้นเธอกระซิบปลอบใจอยู่เนิ่นนาน ฉู่ซ่งจึงยอมปล่อยมือและมองลั่วจื่อหานอย่างท้าทาย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร โอบอี้เป่ยซีออกจากบ้านไป
“ชิ เธอนี่สุดยอดจริงๆ” เขามองประตูที่ปิดลง กลับไปเล่นเกมส์ต่อ
ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดกับอี้เป่ยซีตลอดทางจนถึงสนามบิน
อี้เป่ยซีมักจะถูกบีบอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เธอเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายและน้อยใจเล็กน้อย มองดูลั่วจื่อหานที่ไม่เข้าใจเธออีกทั้งยังโกรธด้วย จึงไม่ได้พูดอะไร
รถมาถึงสนามบินอย่างรวดเร็ว ลั่วจื่อหานหยิบกระเป๋าเดินทางโดยที่ยังคงไม่พูดอะไร เดินไปข้างหน้า อี้เป่ยซีจ้ำอ้าวตามไป
เขาหยุดเดินกะทันหัน อี้เป่ยซีตอบสนองไม่ทันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ต้องการจะชนเขาล้มลงกับพื้น โชคไม่ดีที่เท้าก็แพลงแล้ว
ลั่วจื่อหานย่อตัวลงทันที คิ้วที่ขมวดกันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ไม่พอใจของเขาอย่างชัดเจน “ทำไมเธอถึงซุ่มซ่ามแบบนี้”
อี้เป่ยซีปัดมือของเขาออก ต้องการจะลุกขึ้นมาเอง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็พบว่าเท้าแพลงครั้งนี้เหมือนกับหนักหนาพอสมควร เธอสูดหายใจลึก ฝืนเดินไปยังสนามบิน นั่งลงที่นั่งที่ใกล้ที่สุด
ลั่วจื่อหานนั่งลงใกล้ๆ เธอ
“เป่ยซี” เขากดๆ คิ้ว “ขอโทษ”
“ทำไมจู่ๆ นายก็โมโหล่ะ ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ นายกับฉู่ซ่งก็ดีๆ กันอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงเอาฉันไปอยู่ระหว่างพวกนายสองคนล่ะ ฉันก็อึดอัดใจนะโอเคไหม แถมนายยังมาโกรธฉันอีก ลั่วจื่อหาน ฉันทำผิดอะไรงั้นเหรอ?” ดวงตาเธอแดงก่ำ รู้สึกว่าความเจ็บปวดในข้อเท้าแพร่กระจายไปยังเส้นประสาท
“ใช่ เพราะฉันผิดเอง”
“ใช่ว่าพูดแค่ประโยคเดียวแล้วจะทำให้ฉันหายโกรธได้นะ” อี้เป่ยซีมุ่ยปาก เมื่อเห็นความสำนึกผิดในสายตาของลั่วจื่อหานแล้วก็ใจอ่อนลงไปชั่วขณะ ‘ความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจื่อหานกับฉู่ซ่งจืดจางลง เธอจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหรอ ตอนนี้เขาเองก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว เธอยังจะพูดแบบนี้อีก’
‘อี้เป่ยซีพอมีคนเอ็นดูเธอ เธอก็ยิ่งได้ใจและหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อยๆ’
ขณะที่เธอยังตำหนิตัวเอง ข้อเท้าของเธอก็ถูกห่อด้วยฝ่ามืออันอ่อนโยน เธออดไม่ได้ที่จะกระซิบ
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย พวกเขากำลังมองอยู่นะ” อี้เป่ยซีเห็นนักท่องเที่ยงที่มองพวกเขาจากรอบทิศ แสดงอาการคลุมเครือและอิจฉา ต้องยอมรับอี้เป่ยซีก็รู้สึกหวานฉ่ำในหัวใจ
“เจ็บหรือเปล่า?”
เธอส่ายหน้า ขณะที่ลั่วจื่อหานออกแรงนั้น คิ้วที่ขมวดกันแน่นทะลุผ่านคำโกหกของเธอ เธออดไม่ไหวยื่นมืออกมา “นาย เบาๆ หน่อย”
“มันบวมนิดหน่อย ข้างๆ มีร้านยาร้านนึง เธอรอฉันที่นี่แป๊บนะ” ลั่วจื่อหานลูบหัวของเธอ สีหน้าอ่อนโยน อี้เป่ยซีเห็นเขาที่ท่าทางจริงจังแบบนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงพยักหน้า เขาหัวเราะ และจากไป
ที่นั่งข้างๆ ว่างเปล่าแล้ว อี้เป่ยซีรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองก็ว่างเปล่าเช่นกัน เธอเปิดโทรศัพท์มือถือซึ่งมีแต่ข้อความในกลุ่ม และไม่มีกะใจจะไปอ่าน จู่ๆ ประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เปิดสมุดบันทึกและจดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มบ๊องๆ ให้กับประโยคนั้น แม้ลั่วจื่อหานกลับมาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
“ขำอะไร?” เขาเปิดถุงยา ทายาให้อี่เป่ยซีอย่างระมัดระวัง
“ลั่วจื่อหานทำไมนายถึงหล่อแบบนี้” อี้เป่ยซีโน้มตัวเล็กน้อย ดมกลิ่นหอมสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์บนตัวของเขา มันคือกลิ่นที่อยู่กับเธอตลอดระยะเวลาแห่งความทุกข์
“เพิ่งรู้เหรอ?”
“อืม รู้สึกว่านายที่เป็นแบบนี้ เหมาะกับคุณหนูอย่างฉันไม่เบา ถึงจะต่างกับที่ฉันจินตนาการไปหน่อย”
มือของลั่วจื่อหานออกแรง
“เจ็บ”
“เธอชอบแบบไหนเหรอ”
เธอเงยหน้าขึ้น “ฉันชอบคนที่หล่อจนน่าหลงใหล เหมือนกับว่าเห็นเขาแล้วลืมไปว่าตัวเองอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่เห็นภาพวาดของนายล่ะมั้ง”
“ในความคิดของเธอ คนวาดก็ยังเทียบรูปไม่ติดงั้นเหรอ?” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นยืน รับทิชชู่เปียกที่อี้เป่ยซีส่งมาให้เพื่อเช็ดมือที่เลอะยาของตัวเอง อี้เป่ยซีหรี่ตา
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่งั้นฉันคงหานายนานแล้ว จะมารู้จักนายตอนนี้ได้ยังไง”
“ได้ยินเซี่ยเช่อบอกว่าใครบางคนหาฉันไม่เจอก็เลยยอมแพ้”
“เอ๊ะ เซี่ยเช่อพูดถึงใครเหรอ ฉันรู้จักหรือเปล่า?” พูดพลางกระพริบตาถี่ด้วยความจริงจังมาก ลั่วจื่อหานดึงเธอเข้ามากอด จูบตาของเธออย่างไม่เกรงใจ วาดผ่านจมูกเล็กๆ และหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ แต่ไม่ได้เข้าไปอย่างล้ำลึก
“ในที่สาธารณะ ประธานลั่วไม่ระวังภาพลักษณ์ท่านประธานของตัวเองบ้างเหรอ?” ลมหายใจของอี้เป่ยซีรดอยู่บนใบหน้าของเขานับครั้งไม่ถ้วน กระตุ้นให้หัวใจของเขาก็จั๊กจี๋ไปด้วย อดไม่ไหวที่จะล็อคหัวของเธอ เพิ่มจูบนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น
เขาเห็นประกายเจ้าเล่ห์ในแววตาของอี้เป่ยซี ความทุกข์ใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง กอดเธอไว้แบบนี้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร อี้เป่ยซีก็งีบหลับในอ้อมแขนของเขา
เสียงของเครื่องจักรปลุกคนที่หลับใหลให้ลืมตาตื่น อี้เป่ยซีพบว่าตัวเองถูกลั่วจื่อหานอุ้มเข้ามาบนเครื่องบินแล้ว เธอขยี้ๆ ตา “ทำไมไม่ปลุกฉัน”
“เห็นเธอหลับสบาย ฝันถึงอะไรหรือเปล่า ยิ้มดีใจขนาดนั้น”
สองมือของอี้เป่ยซีกอดแขนของลั่วจื่อหาน “ฉันหิวแล้ว”
“อืม”
สี่ชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเมือง A ลั่วจื่อหานอุ้มอี้เป่ยซีมาที่เบาะหลังรถ ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้น “จะไปไหน?”
“อืม กลับบ้านอี้ คุณแม่อี้ยังรอฉันอยู่นะ”
ลั่วจื่อหานกำหมัดแน่นแล้วผ่อนคลาย พูดว่า ‘ได้’ เบาๆ แล้วให้คนชับรถส่งพวกเขาสองคนไปยังจิ่นหยวน ลั่วจื่อหานต้องการจะอุ้มอี้เป่ยซีออกมา แต่ถูกห้ามไว้อย่างอ่อนโยน
“เอ่อ คุณแม่อี้เหมือนจะเข้าใจอะไรนายผิด เขาไม่ค่อยชอบให้ฉันกับนายติดต่อกัน นาย ทนไปก่อนได้หรือเปล่า”
เขายืนอยู่กับที่
“ฉันจะคุยกับคุณแม่อี้เอง แค่ครั้งนี้ แค่ครั้งนี้ ลั่วจื่อหานนายรับปากฉันได้ไหม?” เธอกระพริบตา ลั่วจื่อหานโน้มตัวลงมาหันแก้มให้เธอ เธอจุ๊บมันอย่างมีความสุข
“อย่าลืมทายาล่ะ”
“จำไว้ว่าต้องนอนแต่หัวค่ำ”
“ช่วงนี้เมือง A อากาศเปลี่ยน ตอนกลางคืนอย่าเตะผ้าห่มอีกล่ะ”
“ช่วงนี้พยายามอย่าไปไหนนะ”
ลั่วจื่อหานจัดอีกชุดใหญ่ ฟังจนรังไหลออกมาจากหูของอี้เป่ยซีแล้ว เธอโอบคอของลั่วจื่อหาน “เอาเถอะๆ ฉันก็แค่กลับบ้าน ไม่ได้ไปไกลสักหน่อย”
“ฉันยอมให้เธอไปไกลๆ ดีกว่า”
“หุหุ เอาล่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ ตอนกลางคืนโทรหานายได้ไหม?”
“เมื่อไรก็ได้”
ดวงตาเธอโก่งยิ้ม หันหลังเข้าไปอะพาร์ตเม้นต์ ลั่วจื่อหานมองดูเงาของเธอที่หายไปจากสายตาของตัวเอง จึงขับรถจากไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว
“คุณแม่อี้ หนูกลับมาแล้วค่ะ” อี้เป่ยซัผลักประตูเปิดด้วยความตื่นเต้น เห็นเพียงอี้เป่ยเฉินที่หน้าตาเศร้าซึม สูบบุหรี่อยู่ในห้องรับแขก ก้นบุหรี่ข้างกายกองสุมกันเป็นภูเขาลูกเล็ก
————