บทที่ 118 พี่จิ่วรู้ความ โดย Ink Stone_Romance
เมื่อเกาหย่วนฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองกลับมายังจวนแล้ว เขาค่อยๆ เผยอเปลือกตาอันหนักอึ้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มก็เข้ามาในระยะสายตาที่พร่าเลือนของเขา
“ท่านปู่! ท่านปู่ตื่นแล้วหรือ?” ฉีหลินกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ท่านหมดสติในคุกหลวง ขันทีวังส่งท่านกลับมาขอรับ! ขันทีวังส่งหมอหลวงมารักษาท่าน…ฮ่องเต้ไม่ได้โกรธท่านแล้วใช่หรือไม่ท่านปู่?” ฉีหลินพูดรัวทั้งหมดในคราเดียว
เกาหย่วนพยุงศีรษะที่ยังมึนงงของตนขึ้นนั่ง
“ใช่สิ ท่านปู่ แม่ทัพใหญ่เซียวเดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว!” คนหนุ่มเฉกเช่นฉีหลินล้วนมีความฝัน พวกเขาใฝ่ฝันอยากเป็นวีรบุรุษ ก็ย่อมต้องสนใจวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเป็นธรรมดา และไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำนานที่ตราตรึงใจของเขาก็คือเซียวเจิ้นถิงนั่นเอง “เขานำทหารไปขอรับ! ท่านปู่ ท่านว่าเขาจะไปทำศึกอีกหรือไม่?”
“เขาส่งต่ออำนาจทางทหารไปแล้ว จะไปรบได้อย่าง…” เกาหย่วนกล่าวไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็นึกขึ้นได้ว่าตนหมดสติไประหว่างที่กำลังสนทนากับฮ่องเต้ ตัวเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะยังมิทันได้ทูลฮ่องเต้ว่าผู้ใดคือคนที่เหลือรอด ฮ่องเต้ก็รีบส่งเซียวเจิ้นถิงไปแล้ว หรือพระองค์จะคิดว่า…ผู้ที่เหลือรอดคือเซียวเหยี่ยน?
สกุลเซียวทั้งเก้ารุ่น แต่ละรุ่นต่างมีบุตรสืบสกุลเพียงคนเดียว จวบจนรุ่นบิดาของเซียวเจิ้นถิง สกุลเซียวจึงเริ่มแผ่กิ่งก้านสาขา เซียวเจิ้นถิงมีพี่ชายหนึ่งคน เซียวเหยี่ยนเป็นบุตรเพียงคนเดียวที่กำเนิดแต่อนุภรรยา และเซียวเจิ้นถิงก็ไม่มีบุตร หากไร้ซึ่งเซียวเหยี่ยนฉันใด ลูกหลานสายตรงของสกุลเซียวก็คงหมดสิ้นแล้วฉันนั้น
มิน่าเล่าฮ่องเต้จึงกังวลถึงเพียงนี้ ทั้งยังให้เซียวเจิ้นถิงออกโรง
เพียงแต่น่าเสียดาย…
เกาหย่วนหลับตา หยุดยั้งความคิดอันสับสนวุ่นวายในสมองของเขา
“ท่านปู่! ท่านปู่!” ฉีหลินโบกมือด้านหน้าของเขา “ข้าไปตามหมอหลวงดีกว่า หมอหลวงจางอยู่ที่ห้องโถง เขาบอกว่าถ้าท่านตื่นแล้ว ให้ข้าไปตามเขา”
“ช้าก่อน” เกาหย่วนดึงฉีหลินเอาไว้ “ข้าเหนื่อยแล้ว เรื่องที่ข้าตื่น ไม่ต้องนำไปบอกผู้ใด”
“หืม?” ฉีหลินกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจนัก “ทำไมเล่าขอรับท่านปู่?”
เกาหย่วนไม่ตอบ ค่อยๆ นอนลง
……
วันที่หกเดือนหนึ่ง หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาออกไป ข่าวเรื่องหอเทียนเซียงถูกถล่มเสียยับเยินก็แพร่สะพัดไปทั่ว ในวันนั้นบรรดาลูกค้าซึ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกไปก็ได้เห็นหน้าค่าตาเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยตนเอง ด้านหนึ่งก็รำพึงรำพันว่าคนงามเช่นนี้คู่ควรกับการอยู่บนสวรรค์ อีกด้านหนึ่งก็ได้ยินองครักษ์เรียกเขาว่าคุณชาย คุณชายที่กล้ากำแหงก่อเรื่องกลางเมืองหลวงเช่นนี้ ก็คงจะเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา
และบทสนทนาในหอเทียนเซียงก็เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ฝูงชนคาดเดา
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เพียงทุบตีคุณชายเจ้าของหอเทียนเซียง ยังหักหน้าองค์ชายรองอีกด้วย
กล้าไม่ไว้หน้าองค์ชายรองเช่นนี้ ต้องอาจหาญเพียงใดกัน?
“พวกเจ้าไม่เห็น องค์ชายรองหน้าดำคร่ำเครียดเชียวแหละ!”
ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีบุรุษฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเล่าเรื่องที่ตนเห็นในวันนั้นอย่างออกรสออกชาติ
“นี่ๆๆ เจ้าของหอเทียนเซียงถูกทุบตีจนพิการจริงรึ?” ซิ่วไฉคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
บุรุษฉกรรจ์จึงเหยียบขาข้างหนึ่งขึ้นบนเก้าอี้ มืออีกข้างหนึ่งตบโต๊ะ ออกท่าทางพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่หรอกหรือ? ตรงนี้ ตรงนี้ ล้วนพิการหมด! ‘หักแขนตนเอง เขาหักแขนตัวเองเพียงหนึ่งข้าง แต่หากให้ข้าทำ ข้าก็ย่อมต้องคิดค่าดำเนินการอีกเล็กน้อย’”
เมื่อเขาทำท่าทำทางไปแล้ว ก็ยังไม่ลืมที่จะพูดเลียนแบบเยี่ยนจิ่วเฉาอีกสักประโยค
แม้ว่าเขาจะมิอาจลอกเลียนได้แม้แต่น้ำเสียง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้คน พวกเขาจินตนาการภาพเหตุการณ์ในหัว แล้วปรบมือฉาดอย่างชอบอกชอบใจ!
หากจะกล่าวถึงชื่อเสียงของเยี่ยนจิ่วเฉาในเมืองหลวง เรียกได้ว่าไม่ดีนัก จำนวนผู้ที่เคยถูกเขาทำร้ายนั้นมีมากเสียจนสามารถนำเข้าไปใส่ในหอเทียนเซียงได้จนเต็ม ทว่าสิ่งที่ต่างกันก็คือ เยี่ยนจิ่วเฉารังแกเพียงคนที่มีสถานะสูง ขณะที่สวี่เฉิงเซวียนใช้วิธีการอันโหดร้ายทารุณ กดขี่เพื่อนร่วมงาน ล้างแค้นผู้ที่เขาจงเกลียดจงชัง พ่อค้า ชาวบ้าน รวมไปถึงบัณฑิตที่มีพื้นฐานต่ำต้อยจำนวนไม่น้อยล้วนได้รับความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของเขา
เพราะฉะนั้น หลังจากที่เรื่องนี้แพร่ออกไป ในเมืองหลวงก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีทั้งคนที่ด่าเยี่ยนจิ่วเฉาสาดเสียเทเสีย และยังมีคนที่หัวร่อว่าสวี่เฉิงเซวียนหาเรื่องใส่ตัว
เมื่อขึ้นรถม้า เยี่ยนจิ่วเฉาก็ลูบขนเจ้าจิ้งจอกหิมะ แล้วกล่าวเนิบๆ ว่า “คนด่าข้ามีมาก หรือว่าคนด่าหอเทียนเซียงมีมากกว่า?”
อิ่งลิ่วตอบกว่า “แน่นอนว่าต้องมีคนด่าคนพรรค์นั้นมากกว่าสิขอรับ มันใช้อำนาจขององค์ชายรองและพระสนมสวี่ ทั้งยังมีเผ่าปีศาจหนานเจียงอยู่ในปกครอง รังแกผู้คนตั้งมากมาย”
“เจ้าหมายความว่า คนที่ด่าเขาก็คือคนที่เคยถูกเขารังแกหรือ เช่นนั้นคนที่ด่าข้า ก็คือคนที่เคยถูกข้ารังแกรึ?” หัวคิ้วโก่งได้รูปของเยี่ยนจิ่วเฉา บัดนี้ขมวดกันเป็นปม “บ้าบอ! คนที่ข้าเคยรังแก ไม่ได้มีมากเท่าที่คนแซ่สวี่นั่นรังแกหรอกรึ!”
อิ่งลิ่ว “…”
คุณชายน่าจะหลงประเด็นไปสักหน่อยกระมัง?
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ ในคออย่างเย็นชา แล้วสั่งให้อิ่งสือซันบังคับรถม้ากลับไปยังเมืองหลวง ลากบรรดาคุณชายเสเพลทั้งที่เขาเคยรังแกและไม่เคยรังแกออกมา ทั้งหมดล้วนถูกเยี่ยนจิ่วเฉารังแกอีกรอบ จนคนเหล่านั้นก่นด่าบิดามารดา และรู้สึกคับแค้นใจ เยี่ยนจิ่วเฉาจึงกลับหมู่บ้านด้วยความเบิกบาน
เยี่ยนจิ่วเฉารังแกทุกคนที่สามารถรังแกได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเชื่อมโยงเขาเข้ากับเรื่องของคนสกุลอวี๋ เพียงแต่คิดว่าคนบ้าเกิดคลุ้มคลั่งกว่าแต่ก่อน
อย่างไรเสียอาการวิปลาสของเขาก็มิได้เกิดขึ้นครั้งแรก ครั้งหนึ่งเขาเคยทุบตีอำมาตย์ในพระตำหนักจินหลวน ทั้งยังเคยผลักองค์ชายสี่ตกน้ำในงานเลี้ยง เรื่องน่าขันที่สุดก็คือ ครั้งหนึ่งเขาเคยดื่มจนเมามาย และไปนอนบนแท่นบรรทมของฮ่องเต้
แต่ละเหตุการณ์ แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น มีเรื่องใดบ้างที่มิใช่โทษประหาร?
เมื่อเทียบกันแล้ว การทุบตีเหล่าคุณชายเสเพลแค่ไม่กี่สิบคน มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย
ครั้นเรื่องไปถึงหูของฮ่องเต้ พระองค์เพียงพยักหน้าด้วยความโล่งอก “นับว่ายังรู้ความ รู้ว่าเรากำลังกังวลเรื่องชายแดน ว่าง่ายกว่าแต่ก่อนมาก”
ในขณะเดียวกันสวี่เสียนเฟยซึ่งคิดจะแก้ต่างแทนหลานชาย ก็เดินไปถึงประตูห้องทรงพระอักษรพอดี เมื่อได้ยินประโยคนั้น ก็แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที!
………………………………………