บทที่ 119 จับได้คาหนังคาเขา โดย Ink Stone_Romance
สถานที่ทุรกันดารอย่างหมู่บ้านเหลียนฮวา ข่าวสารถูกปิดกั้น จะสถานการณ์ในชายแดน หรือเรื่องราวในเมืองหลวง ก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ในเวลาอันสั้น
อวี๋หวั่นกำลังใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะข่มขู่และกดดันหอเทียนเซียงอย่างไรดี คิดจนกระทั่งเก็บไปฝันว่าเธอถล่มหอเทียนเซียงไปครึ่งค่อนคืน ถล่มจนเหนื่อยแทบขาดใจ ถล่มจนหอเทียนเซียงราบเป็นหน้ากลอง
“อาหวั่น เก็บผักโขมมาแล้ว มีไม่มาก อาจไม่พอทำ” อวี๋เฟิงผู้ซึ่งไปหาซื้อถั่วเหลืองจากหมู่บ้านต่างๆ ระหว่างทางก็แวะซื้อผักโขมมาอีกตะกร้าหนึ่ง เขายกผักโขมและถั่วเหลืองอีกสองกระสอบป่านลงมาจากเกวียน แล้วเรียกอวี๋หวั่นซึ่งกำลังช่วยนายพรานสร้างกระโจมอุ่นสำหรับหมักเต้าหู้ขึ้นมาใหม่
เพื่อที่จะทำให้เต้าหู้หมักเร็วขึ้น จำต้องใช้อุณหภูมิสูง อวี๋หวั่นจึงเสนอว่าจะเปลี่ยนห้องเก็บฟืนให้เป็นกระโจมอุ่น
เธอพูดอะไร ลุงใหญ่ก็ไม่มีความคิดเห็น และรุดรีบไปช่วยชาวบ้านเก็บกวาดห้องเก็บฟืน
ในตอนที่อวี๋เฟิงออกไป ห้องเก็บฟืนยังมิทันได้สร้าง ดังนั้นเมื่อเห็นสิ่งปลูกสร้างใหม่นี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมิใช่น้อย “เกิดอะไรขึ้น? ห้องเก็บฟืนใช้ไม่ได้แล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่หรอกพี่ใหญ่ ข้ากำลังทำกระโจมอุ่น จะได้หมักเต้าหู้เร็วขึ้น”
“อ่อ” อวี๋เฟิงพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหันไปพูดถึงผักโขมเมื่อครู่ “ยังเช้าอยู่ ข้าจะเข้าตัวตำบลไปดูสักหน่อย ว่ายังมีขายอยู่หรือไม่”
อวี๋หวั่นส่งแผ่นไม้ในมือให้นายพราน “ไม่ต้องแล้วละพี่ใหญ่ วันก่อนข้าขึ้นเขาไป เห็นว่าในป่าไผ่มีผักโขมป่าอยู่มาก ผักโขมป่านำมาหมักเป็นหัวเชื้อจะได้สีเขียวที่เข้มกว่า กลิ่นเหม็นกว่า เดี๋ยวข้าจะไปเก็บ”
อวี๋เฟิงพลางคิดตาม เขาราวกับได้กลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปในอากาศ จนรู้สึกคล้ายจะหายใจไม่ออก!
อวี๋เฟิงจึงกลับไป อวี๋หวั่นไม่ต้องทำงานส่วนนี้ เธอจึงเก็บของ แล้วเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บผักโขม
ย่างกายออกจากบ้านใหญ่ได้เพียงครู่เดียว อวี๋เฟิงก็วิ่งตามมา “อาหวั่น!”
“หืม?” อวี๋หวั่นหันหลังกลับมา “มีอะไรหรือ พี่ใหญ่?”
อวี๋เฟิงมองไปรอบๆ แล้วดึงแขนของเธอไปยังที่ลับตาคน “นี่เป็นคำสั่งซื้อสุดท้ายแล้ว หากถั่วเหลืองสองร้อยจินนี้หมด ธุรกิจที่พวกเราได้มาจากจวนสกุลเว่ยก็ไม่เหลือแล้วนะ”
ความหมายก็คือ พวกเขาจำต้องหาลู่ทางอื่นแล้ว
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เทศกาลซั่งหยวนผ่านไปแล้ว ร้านยาในเมืองหลวงก็เปิดแล้ว พวกเราควรหาวันพาลุงใหญ่ไปรักษาขา”
อะไรกันนี่? ไม่ได้พูดเรื่องการค้าอยู่หรือ? เหตุใดไปเกี่ยวกับท่านพ่อข้าได้?
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ขายได้น่า พี่ใหญ่ก็หาซื้อถั่วเหลืองต่อไป จะได้ไม่ต้องหยุดกิจการ”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปหอเทียนเซียง เจ้าก็พูดแบบนี้ ผลเป็นอย่างไรเล่า…” อวี๋เฟิงเป็นคนรอบคอบระแวดระวัง ที่ผ่านมาไม่เคยทำเรื่องที่ตนไม่มั่นใจ สำหรับเขาแล้ว การที่อวี๋หวั่นช่วยเหลือชาวบ้านนับว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องทำเท่าที่ทำไหว เห็นได้ชัดว่าสินค้าขายไม่ออก ไม่จำเป็นต้องลงแรงและวัตถุดิบเกินตัว เงินที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ สามารถจ่ายให้ชาวบ้านมีกินได้อีกครึ่งเดือน แต่หากขาดทุน เห็นทีพวกเขาคงอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำไป
อวี๋หวั่นไม่เหมือนกับอวี๋เฟิง เธอเกิดมาพร้อมกับความกล้าหาญในการตัดสินใจ ไม่ว่าเรื่องอะไร เธอลงมือทำก่อนแล้วค่อยว่าทีหลัง จะข้ามกำแพงก็ย่อมต้องโยนหมวกข้ามไปก่อน กล่าวง่ายๆ ก็คือเธอมักไม่เหลือทางให้ตนเองถอยหลังกลับ
อวี๋หวั่นเหลือบมองเขา พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่หอเทียนเซียงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ต่อให้หอเทียนเซียงไม่ซื้อ ก็ยังมีภัตตาคารอื่นในเมืองหลวง ภัตตาคารในเมืองหลวงมีตั้งเยอะแยะ ต้องมีสักที่หนึ่งที่ซื้ออยู่ดี อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอเทียนเซียงเป็นเรื่องไม่ดี”
อวี๋เฟิงมองมายังเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก กล่าวว่า “อาหารแนะนำของหอเทียนเซียงเป็นฝีมือของลุงใหญ่ ขอเพียงพวกเรากู้ชื่อลุงใหญ่มาได้ ก็จะไม่ต้องกังวลว่าอาหารของพวกเราจะขายไม่ออก เมื่อถึงเวลานั้น ข้ากลัวว่าพี่ใหญ่และชาวบ้านจะทำไม่หวาดไม่ไหวน่ะสิ”
อวี๋เฟิงทอดถอนใจ “เจ้าก็พูดง่ายเกินไป จะกู้ชื่อเสียงของพ่อข้ามาได้อย่างไร? คำพูดของท่านลุงคนนั้นเจ้าก็ได้ยินชัดแล้ว สกุลสวี่เป็นญาติกับฮ่องเต้ เจ้าจะไปสู้พวกเขาได้อย่างไรกัน?”
เด็กคนนี้ยังอ่อนไม่รู้ประสีประสา ชาวบ้านธรรมดาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอย่างพวกเขา ไหนเลยจะไปมีเรื่องกับคนที่มีราชวงศ์หนุนหลังได้? แม้ว่าเขายังรู้สึกว่าบิดาของตนไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ก็รู้สึกว่าการมีชีวิตรอดกลับมาจากหอเทียนเซียงนับเป็นโชคเสียยิ่งกว่า
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูดถึงแล้ว ชีวิตนี้พวกเราคงสู้ไม่…”
“น้องอวี๋! แม่นางอวี๋!”
คำพูดวรรคสุดท้ายของอวี๋เฟิงพลันจมหายไปในน้ำเสียงอันร่าเริงของผู้จัดการชุย
รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้จัดการชุยรุดรีบลงมา
“ผู้จัดการชุย” สองพี่น้องกล่าวทักทาย
อวี๋หวั่นเอ่ยถาม “ลมอะไรหอบผู้จัดการชุยมาถึงที่นี่?”
ผู้จัดการชุยกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ก็ลมจากหอเทียนเซียงน่ะสิ! หอเทียนเซียงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรอกกระมัง! ฮ่าๆๆ!”
ผู้จัดการชุยผู้ซึ่งเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด บัดนี้หัวเราะเหมือนคนบ้าต่อหน้าคนรุ่นลูกทั้งสอง
สองพี่น้องมองเขาด้วยความงุนงง
เขาเท้าเอว ใช้มือยันบ่อน้ำเก่าหน้าหมู่บ้าน หัวเราะจนตัวงอ
สองพี่น้องเลิกคิ้ว ท่านอย่าหัวเราะจนน้ำลายกระเด็นลงน้ำนะ พวกข้ายังต้องกินน้ำในบ่อนี้อยู่!
“เขาขโมยสูตรอาหาร! กดขี่เพื่อนร่วมงาน! กรรมตามสนองแล้ว! วันนี้ถูกคนถล่มจนยับเยิน! แม้แต่เก้าอี้ตัวเดียวก็ไม่เหลือ!”
“เจ้าของก็ถูกตีจนแขนขาหักไปแล้ว!”
“พวกเจ้าเดาไม่ออกหรอกว่าผู้ใดเป็นคนทำ!”
ผู้จัดการชุยหัวเราะเสียหัวทิ่มหัวตำจนไม่ทันได้สังเกตว่ามีรถม้าเคลื่อนเข้ามา
ผู้จัดการชุยเท้าเอว เงยหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ! ก็เจ้าคนบ้าเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไรเล่า!”
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งถูกเรียกว่า ‘คนบ้า’ ยืนอยู่ด้านหลังของเขา กำลังแผ่รังสีอำมหิต
…………………………………..