TQF:บทที่ 739 อวสาน (8)

 

ไม่มีใครรู้สึกไม่ชอบใจกับท่าทีของนาง กลับกัน ทุกคนกู่ร้องอย่างครื้นเครงและปรบมือให้เสียงดัง ไชโยให้กับฝีมือสกัดยาของหยูเฮงน้อย

 

ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสำเร็จ

 

หยูเฮงน้อยไม่พูดอะไรไร้สาระอีก สั่งให้นักสกัดยาที่จะประลองเอาเตาออกมา ส่วนผู้ชมที่มาดูเพื่อความสนุกถอยไปรอบๆ งานประลองการสกัดยาเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

แม้คนจะเยอะ แต่ด้วยพลังจิตของหยูเฮงน้อย จะคอยสอดส่องดูนักสกัดยาให้ครบทุกคนก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก

 

นางกินผลไม้ไปพลางมองดูนักสกัดยาที่ตั้งใจสกัดยาอยู่ด้านล่างไปพลาง

 

นักสกัดยาแต่ละคนมีฝีมือที่แตกต่างกันไป ทุกๆคนต่างใช้วิชาสกัดยาที่ตัวเองเก่งกาจที่สุด และสกัดจนได้ยาเม็ดที่สมบูรณ์แบบที่สุดออกมา

 

ความเข้าใจ พรสวรรค์ และสติของนักสกัดยาสำคัญที่สุด ดังนั้นหยูเฮงน้อยไม่ได้สนใจว่าพวกเขาสกัดยาอย่างไร แต่จับตาดู 3 ข้อนี้มากกว่า

 

ขอแค่เป็นนักสกัดยาที่สอบผ่านใน 3 ข้อนี้ ไม่ว่ายาเม็ดที่พวกเขาสกัดในครั้งนี้จะมีคุณภาพยังไงหยูเฮงน้อยก็จะรับพวกเขาไว้ ส่วนคนอื่นๆรับจากคุณภาพของยาเม็ดที่สกัดได้

 

งานประลองการสกัดยาครั้งนี้ใช้เวลา 2 ชั่วยามก่อนจะยุติการสกัดยา หากไม่สามารถสกัดออกมาได้ภายใน 2 ชั่วยามถือว่าตกรอบ

 

นักสกัดยาที่สกัดได้สำเร็จใส่ยาเม็ดเข้าไปในขวดหยก วันรุ่งขึ้นจะประกาศรายชื่อคนเข้ารอบ

 

งานประลองการสกัดยาที่จัดขึ้นทุก 50 ปีปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวกับหยูเฮงน้อยและตึกจงหยวนร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆในชิงยาง และแพร่สะพัดไปทั่วประเทศหวงฝู่และเขตแดนรอบๆอย่างรวดเร็ว

 

วันที่ 2 มีรายชื่อแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ชิงยาง คนที่เข้าร่วมมีเกือบ 3 แสนคน คนที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อที่รับเข้าสมาคมตันจงมีประมาณ 1 แสนคน คนที่ยินยอมเข้าร่วมสมาคมตันจงคอยอยู่ที่นี่ นักสกัดยาที่ไม่มาปรากฏตัวภายใน 1 ชั่วยามนี้ถือว่าสละสิทธิ์ และคนๆนี้ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมสมาคมตันจงตลอดไป

 

2 ชั่วยามให้หลัง ตาแก่ซอมซ่อและฟางเต๋อหยวนพาลูกศิษย์นับแสนคนนี้เข้าสู่สมาคมตันจงที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น

 

เมื่อเขาเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามของสำนักที่เปรียบดั่งแดนสวรรค์ คนพวกนี้ก็ยอมศิโรราบอย่างสมบูรณ์

 

ฟางเต๋อหยวนที่เพิ่งเคยมาถ้ำล้ำค่านี่ครั้งแรกพูดเหมือนกับฟางหมิงเห้อลูกชายเปี๊ยบ เขาก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ไม่กลับบ้านตระกูลฟางแล้วเหมือนกัน

 

หลังจากที่เสี่ยวเสี่ยวรู้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าคนในครอบครัวชอบไปก็ยิ่งดี จะได้ช่วยดูแลจัดการสมาคมตันจงด้วย อย่างไรซะนอกจากเผ่าอสูรแล้ว นางยังหาคนที่น่าไว้ใจพอจะให้เป็นผู้อาวุโสไม่ได้

 

แต่ถึงยังไงเผ่าอสูรก็ไม่ถนัดในการสานสัมพันธ์กับมนุษย์ เรื่องบางเรื่องก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ต้องมีคนคอยช่วย

 

ส่วนการมาของพ่อลูกฟางเต๋อหยวนก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็วางใจ ไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด

 

ถึงพวกนางจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในระยะยาว แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกนางสร้างกับมือ จะได้ไม่ถูกคนอื่นทำลาย

 

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งค่อนเดือน สมาคมตันจงถือว่าเข้าระบบได้อย่างเหนื่อยยาก ชีวิตคนนับแสน โชคดีที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีมิติและหยูเฮงน้อยเพาะปลูกอาหารไว้มากมาย ทุกคนก็ไม่ต้องเครียดกับเรื่องนี้ แม้ว่าคนพวกนี้ไม่กินข้าวหลายๆวันก็อยู่ได้ แต่ถึงยังไงร่างของทุกคนก็ยังเป็นร่างเลือดเนื้อ ยังไม่ได้ก่อร่างสร้างใหม่จนเป็นร่างเซียนร่างเทพ ไม่ต้องดื่มกินก็อายุยืนยาวได้

 

หลังจากที่ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข ทุกคนก็อยู่กันอย่างสบายใจ

 

ส่วนอาเฟิงขันทีชราที่หายไปเกือบเดือนก็ปรากฏตัวในที่สุด แถมยังเอาทรัพยากรจำนวนมหาศาลกลับมาด้วย ทรัพยากรเหล่านี้เพียงพอให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลื่อนขั้นมิติได้อีกหลายน้อยขั้น

 

หยูเฮงน้อยตะโกนดีใจใหญ่เมื่อเห็นของพวกนี้

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ การเลื่อนขั้นมิติครั้งนี้เป็นการยกระดับขึ้นอีกระดับ การเลื่อนขั้นของมิติเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทั้งนางและเฉิงเสี่ยวเสี่ยว

 

โม่ซวนซุนได้ยินว่าหยูเฮงน้อยคิดจะเลื่อนขั้นมิติอีก เขามอบทุกอย่างที่ขนมาจากโถงวิหารสวรรค์ให้หยูเฮงน้อย

 

เมื่อเห็นทรัพยากรที่เขาให้มาไม่น้อยไปกว่าสำนักใดใน 3 สำนักใหญ่เลย หยูเฮงน้อยถามด้วยความตะลึง “ท่านเขย ท่านไปปล้นของมากมายขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย ทำไมไม่เรียกข้าไปด้วยล่ะ ไปเอาให้เละเลย”

 

“หยูเฮงน้อย อย่าทำตัวเหมือนโจรสิ คนที่เขาไม่รู้นึกว่าอยู่ในรังโจรซะอีก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหน้าเครียดและตำหนิอย่างเหนื่อยใจ

 

“อิอิ คุณหนู ต่อให้เป็นโจรเค้าก็จะดีใจที่ได้อยู่รังโจร” หยูเฮงน้อยกล่าวยิ้มๆ

 

“ฮ่าๆๆ หยูเฮงน้อย เจ้าพูดถูก รับรองว่าข้าต้องภูมิใจแน่”

 

ฟางหมิงเห้อที่ย้ายมาอยู่ที่นี่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ทั้งวัน ตัวเขาบวกกับหยูเฮงน้อยและโม่ซวนซุนรวมกันเป็นแก๊ง 3 เกลอติ๊งต๊องชัดๆ ทำอะไรแปลกๆอยู่บ่อยๆ

 

โม่ซวนซุนหรี่ตาและบอกกับหยูเฮงน้อย “ยัยโง่ นี่จะไปปล้นนะ ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อย่าเอ็ดไป รอบหน้าท่านเขยค่อยพาเจ้าไปปล้นให้เละหลายๆที่เลยเป็นไง”

 

“ใช่ ไม่ต้องพูดออกมา พวกเจ้าเตรียมจะไปไหนกัน เดี๋ยวข้าพาพวกเจ้าไปถิ่นของพวกปีศาจเฒ่า รับรองว่าปล้นของล้ำค่าได้เยอะแน่” ฟางหมิงเห้ออยากมีส่วนร่วมด้วย จึงรีบบอกอย่างขะมักเขม้น

 

พอหยูเฮงน้อยได้ยินคำนี้ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ปรบมือเล็กๆ “เยี่ยมไปเลย ท่านปู่เล็ก ท่านนี้คบได้จริงๆ”

 

“ท่านปู่เล็ก อย่าเพิ่งรีบพูด พวกเราหาเวลาว่างไปมันสักหน่อย”โม่ซวนซุนหน้าตาเบิกบาน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี

 

ทุกคนมองทั้ง 3 คนที่อายุต่างกันและได้มารวมตัวกันแต่กลับหารือกันเรื่องจะไปปล้นคนอื่น ไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยจริงๆ

 

หรงจิ้งซือมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแกมลูกศิษย์แล้วถอนหายใจเซ็งๆ “ไม่รู้ว่าหยูเฮงน้อยทำให้ซุนเอ๋อเสียคนหรือซุนเอ๋อทำให้หยูเฮงน้อยเสียคน”

 

“สรุปแล้วไม่ใช่ฟางหมิงเห้อที่ทำให้คนอื่นเสียคนก็พอ” ฟางเต๋อหยวนที่เปิดหูเปิดตาซะใหม่พูดอย่างอารมณ์ดี

 

เมื่อได้ฟังเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าพวกเขา 3 คนน่ะผีเน่าโลงผุ นิสัยเดียวกันหมด ไม่ต้องมีใครทำใครเสียคนหรอก ความคิดไม่ดีน่ะมีผุดขึ้นมาเรื่อยๆ”

 

“ใครว่าล่ะ….”

 

ทั้ง 3 คนที่กำลังหารือกันอยู่หันมาตอบพร้อมกัน โดยเฉพาะโม่ซวนซุนและหยูเฮงน้อยที่พูดเป็นเสียงเดียวกัน “ข้าเรียนรู้มาจากเสี่ยวเสี่ยว”

 

“พรืด…”

 

“ฮ่าๆๆ….”

 

 

“เหอะๆๆ…”

 

ทันใดนั้นคนทั้งโถงก็พากันหัวเราะครืน ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้น้อยนักที่พวกเขาจะมีความสุขแบบนี้

 

หลายวันมานี้ตาแก่ซอมซ่ออยู่ด้วยกันกับพวกเขาตลอด เขาไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ภายใต้สภาวะชีวิตแบบนี้ ขีดจำกัดของเขาดูเหมือนจะมีทีท่าคลายออก ทำให้เขาทั้งตะลึงและแปลกใจ

 

ดังนั้นเขายิ่งไม่มีความคิดจะไปจากสมาคมตันจง มองลูกศิษย์ที่หน้าตาแจ่มใสทั้งวันตัวเขาก็อารมณ์ดีไปด้วย ราวกับหลังจากที่มีลูกศิษย์คนนี้แล้วเรื่องอื่นๆก็ไม่สำคัญอีก ต่อให้ไม่กลับโถงวิหารสวรรค์อีกเขาก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องเสียใจ

—————————————