TQF:บทที่ 740 อวสาน (9)

 

 

เขาย่อมรู้ดีว่าทรัพยากรที่โม่ซวนซุนเอามานั้นเอามาจากไหน ก่อนที่พวกเขาจะมาชิงยาง ลูกศิษย์ตัวเองอุตส่าไปที่คลังสมบัติโถงวิหารสวรรค์และยกของไปเกือบ 2 ใน 3

 

ของพวกนี้ล้วนเป็นทรัพยากรที่โถงวิหารสวรรค์สะสมมานับล้านปี รับรองว่าเป็นตัวเลขที่น่าตะลึงแน่ๆ อย่าไรซะคนที่มาขอให้โถงวิหารสวรรค์ช่วยทำนายก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ของที่เอามาให้ก็ล้วนเป็นของชั้นดีทั้งหมด ตอนที่โม่ซวนซุนเข้าคลังสมบัติไปก็ดีใจจนหาทิศไม่เจอ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีที่จะไว้แล้วละก็ คงจะขนจนคลังสมบัติของโถงวิหารสวรรค์เกลี้ยงจริงๆ

 

เหล่าปีศาจเฒ่าของโถงวิหารสวรรค์ย่อมรู้ถึงการกระทำของเขา แต่เห็นว่าเขาดีใจ แม้ว่าเหล่าปีศาจเฒ่าจะไม่รู้ว่าเขาต้องการของพวกนั้นไปทำอะไร แต่เพื่อเอาใจเขาแล้ว ก็ไม่มีใครคิดมากกับสิ่งที่เขาทำ

 

ไม่อย่างนั้นหลังจากที่เขาเข้าไปในคลังสมบัติแล้วเก็บกวาดของอย่างบ้าคลั่งต้องมีคนออกมาห้ามปรามแน่ ถึงยังไงของที่เอาไปก็เยอะมากใช่มั้ยล่ะ

 

เรียกได้ว่าของที่โม่ซวนซุนปล้นไปไม่ใช่ของใครอื่น ด้วยฐานะของเขาที่โถงวิหารสวรรค์แล้ว ก็ปล้นของบ้านตัวเองดีๆนี่เอง

 

หลังจากที่เข้าไปในมิติแล้ว หยูเฮงน้อยเห็นภูเขาสมบัติที่สูงใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขาไกลๆนั่นอีกยิ้มจนตาหายหมดเห็นแต่ฟัน

 

ซึ่งก็จริง สมบัติที่ได้มาในครั้งนี้มหาศาลมาก อย่างน้อยๆต้องมากกว่าสมบัติที่ใช้เลื่อนขั้นมิติหลายๆครั้งก่อนรวมกันซะอีก

 

เห็นได้ว่าภูเขาสมบัติกองพะเนินนี้น่าสะพรึงขนาดไหน ภายใต้การแจ้งจากเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เผ่าอสูรทุกตนรู้หมดว่ามิติจะเลื่อนขั้นและพากันกลับเข้าถิ่นที่อยู่ของตัวเองและรออย่างว่าง่าย จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้น

 

คนที่เข้ามาในมิตินอกจากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนแล้ว คนที่เหลือไม่มีใครถูกเรียกเข้ามา โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เรื่อง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่คิดจะให้พวกเขารู้

 

หยูเฮงน้อยหุบรอยยิ้มลง 2 มือประสานเป็นรูปอิน นำพาให้กฎแห่งฟ้าดินห้อมล้อมเข้ามาหาภูเขาสมบัติ

 

“ตู้มม….”

 

ประกายศักดิ์สิทธิ์ลอยออกมาจางๆ แสงหลากสีเจิดจ้าไปทั่วทุกทิศ แสงแห่งเทพเปล่งประกายราวกับท้องฟ้าระเบิดออก

 

เสียงสวดแห่งเต๋าดังหึ่มๆ อักขระเป็นประกาย ในเวลาเพียงไม่นานทั่วฟ้าดินนี้ก็ท่วมท้นไปด้วยประกายหมอกและแสงหลากสี ภูเขาทั้งลูกกำลังเปล่งประกาย

 

ทันใดนั้นแสงต่างๆก็เปล่งประกายร่ายรำราวกับดาวตกที่พุ่งไปยังทิศไกลๆ ราวกับฝนดาวตกที่ตกลงมาโปรยปราย สวยงามตระการตาและเป็นที่น่าทึ่ง เจิดจรัสราวดอกไม้ไฟ เปล่งประกายราวหมอกแดง มองดูแล้วงดงามและเป็นสีสัน พลุ่งพล่านออกไปเป็นฝนแสง วาดผ่านท้องฟ้าไปเสมือนดาวตก

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าร่วมการเลื่อนขั้นมิติมาตลอด นางชินจนเป็นปกติแล้วกับสถานการณ์แบบนี้โม่ซวนซุนเข้าร่วมค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะการเลื่อนขั้นครั้งหลังๆเขาไม่ได้เข้าร่วมเลย นาทีนั้นกฎแห่งฟ้าดินของมิติดูเหมือนจะบันดาลใจเขา ให้มองกฎแห่งฟ้าดินที่ไร้รูปร่างแต่เข้าควบคุมภูเขาสมบัติไว้อย่างหลงใหล

 

เมฆบนท้องฟ้าส่องแสงเจิดจ้าเป็นประกาย ระเบิดออกเป็นการสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึง มีคลื่นสีทองพวยพุ่งออกมา น่ากลัวเกินจะเปรียบ คืบคลานอย่างรวดเร็ว พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ราวกับทะเลดาวอันแวววาวที่ทำให้ทั้งฟ้าดินดูจืดชืดลง

 

บนอากาศมีอักขระโบราณปรากฏตัวแล้วตัวเล่า สลักอยู่บนฟ้าดิน เกิดเป็นส่วนร่วมกับพวกเขา นี่เป็นการแสดงออกถึงกฎแห่งเต๋า

 

รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งถึงความกดดันอันยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

 

เหล่าเผ่าอสูรล้วนหมอบลงพื้น แม้แต่สัตว์อมตะเองที่กำลังจะวิวัฒนาการเป็นสัตว์เทวะก็สะพรึงกับบารมีแห่งฟ้านี้

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวผู้เป็นเจ้าของมิติไม่รู้สึกถึงอะไรเลยสักนิด ส่วนโม่ซวนซุนมีเกราะสีทองห่อหุ่มตัวเขาปรากฏขึ้นและแยกเขาออกมา

 

“ตึ้มม….”

 

เสียงเนิบๆดังก้องไปทั่วฟ้า ไปถึงทั่วทุกมุมทุกดินแดนในมิติ ต่อให้มิติจะกว้างใหญ่กว่าผืนดินฉางไห่แล้วก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ล้วนสะท้านไปด้วยเสียงนี้

 

โม่ซวนซุนที่ได้สติกลับมาใจสั่นสะท้าน มองขอบฟ้าอย่างเหลือเชื่อ

 

 

ขณะนั้นกฎแห่งฟ้าดินในอากาศได้กลายเป็นนาฬิกาโบราณ ดูเก่าแก่และเป็นไปตามธรรมชาติ สั่นเบาๆเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็มีคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกจากนาฬิกา คืบคลานสู่ทุกดินแดนในมิติ

 

กฎแห่งฟ้าดินแปลงรูปร่างเป็นนาฬิกาเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากจริงๆ หมอกควันลอยอยู่รอบๆเกิดเป็นแสงเซียนนับหมื่น เจิดจรัสและเปล่งประกายไม่หยุด ครอบคลุมไปทั้งแผ่นดิน เกินกว่าอะไรจะเทียบได้

 

โดยเฉพาะนาฬิกาเรือนนี้ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆราวกับมีนาฬิกาจริงๆอุบัติขึ้น บนนาฬิกาเรือนนี้มีอักขระสว่างขึ้นตัวแล้วตัวเล่า เหมือนกับเป็นบทสวดบูชายัญ ดังขึ้นตามคลื่นนาฬิกา ประกาศก้องไปทั่วหล้า ดังอยู่ข้างหูสิ่งมีชีวิตต่างๆ สะท้อนเข้าไปในใจของทุกวิญญาณ

 

หรือว่านี่จะกลายเป็นโลกจริงๆขึ้นมาแล้ว

 

ไม่ว่าจะเป็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวหรือโม่ซวนซุนเมื่อเห็นฉากนี้ต่างเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจทั้งคู่

 

“ตู้มม…”

 

ยันต์อักขระระเบิดออกโดยมีนาฬิกาเป็นจุดศูนย์กลาง เจิดจรัสดั่งทะเลดาวอันเป็นที่จับตามอง รางกับดวงดาวนับไม่ถ้วนพุ่งชนใส่กันก่อนจะระเบิดออก

 

อักขระสีทองท่วมท้นไปทั่วหล้าคืบคลานสู่ทุกทิศ พุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่า

 

นี่คือพลังอันน่ากลัวที่เปล่งประกายและมีหมอกศักดิ์สิทธิ์ลองฟุ้งอยู่ไร้ที่สิ้นสุด เจิดจ้าแยงตาอย่างมาก ราวกับท้องฟ้าที่ถูกดวงดาววาดผ่าน แสดงออกถึงพลังอันน่าสยองขวัญ

 

ต่อให้เป็นโม่ซวนซุนผู้เป็นถึงเซียนสวรรค์ก็ยังรู้สึกถึงอันตราย ราวในวินาทีนี้ตัวเองเล็กเท่าฝุ่นผง ไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎแห่งฟ้าดิน

 

ถ้าไม่ระวังแล้วถูกดูดเข้าไปอยู่ท่ามกลางนี้ละก็ ตัวเองไม่มีฝีมือพอจะรักษาชีวิตแน่

 

ตอนแรกนึกว่าจะจบแล้ว

 

ทั้งมิติเกิดความผิดปกติ จากเดิมที่เป็นเวลากลางวันอยู่ก็ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวแสงอาทิตย์ช่อสุดท้ายก็หายลับไปจากขอบฟ้า บนฟ้าไกลๆนั้นค่อยๆมืดลง กลางคืน เงียบสงบและดำสนิทเพราะไม่มีแสงจันทร์

 

ส่วนพวกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกำลังมองหินที่ส่องประกายสีเงินออกมาเบาๆตรงหน้าอย่างตกตะลึง มั่นใจแล้วว่ามันเป็นแค่หินจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหินอะไร

 

ฟ้ามืด หินสีเงิน ดูเหมือนทั้ง 3 จะเริ่มเข้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

 

และก็จริง มันเริ่มเปล่งประกาย ทุกอย่างเงียบสนิท มีเพียงแสงสีขาวที่ไหลออกมาและเกิดเป็นประกาย ยันต์อักขระโบราณปรากฏขึ้นรวมเป็นส่วนหนึ่งกับฟ้าดิน ราวกับได้รับการอวยพรจากเทวดาให้เปล่งประกายมากขึ้นไปอีก

 

ของชิ้นนั้นขาวบริสุทธิ์สะท้อนแสง ราวกับถูกสลักจากหยกชั้นดีและมีกลิ่นไอของการเวียนว่ายตายเกิดล้อมรอบแสงมณี เกิดเป็นลมปราณอันยิ่งใหญ่ และยังมีความเป็นเต๋าหมุนรอบอยู่

 

แวววาวเป็นประกาย ขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ ราวกับเป็นของเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นไอแห่งการเวียนว่ายตายเกิดกระจายออก และถูกอักขระห่อหุ้มเอาไว้อีกทีจนเปล่งประกายออกมา ทั้งเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์

 

  จากนั้นมันก็ค่อยๆลอยขึ้นฟ้า กลายเป็นสีเงิน มีแสงสีขาวไหลหรากเข้าไปหาราวกับสายน้ำ รวมตัวอยู่ตรงกลาง ใสสกาวและเป็นประกาย