ตอนที่ 11 เกิดขึ้นในทันทีทันใด โดย Ink Stone_Fantasy
เขตลวงขนาดมหึมาห่อหุ้มเมืองขนาดเล็กตรงหน้านี้เอาไว้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเมืองเล็กเข้ามาติดกับจนหมดสิ้น แต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ของตนเองอยู่ภายในเขตลวง แต่มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเพียงคนเดียวในเมืองเล็กแห่งนี้ที่ยังได้สติ เขาเดินอยู่บนถนนตามลำพัง แต่กลับควบคุมผู้บำเพ็ญหลายล้านคนของเมืองเล็กภายในเขตลวงได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดที่มีบางคนที่เขาชอบใจ ก็ยังให้โอกาสอยู่บ้าง
พวกที่ทำแต่เรื่องเลวร้าย ก็ให้พวกเขาวิญญาณสูญสลายอยู่ภายในเขตลวง “ตั้งแต่ที่พบฝูงมารผลาญทำลายฝูงนั้นเมื่อคราวก่อน ยังสังหารผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาไปคนหนึ่งด้วย ภายหลังก็มิได้อะไรมาอีกแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายช่างระแวดระวังกันเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ เขารู้ว่าคราวนี้ก็คงจะไม่ได้อะไรอีกเช่นเดียวกัน
แต่เขาก็เคยชินไปเสียแล้ว
เคยชินกับการไม่ได้อะไรครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญไปเสีย
“หืม โรงสุรานี่ของเมืองเล็กแห่งนี้คล้ายว่าจะมีเสียงเล่าลือหนาหูทีเดียว มีผู้บำเพ็ญที่ชื่นชอบอยู่มากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบแหล่งอาหารเลิศรสแห่งหนึ่งภายในเขตลวงในทันใด
พรึ่บ
ภายใต้ความนึกคิดเดียว เขตลวงก็สลายไป
ทั่วทั้งเมืองเล็กก็กลับมาสู่ความปกติอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลก็กลับฟื้นคืนสติ นอกจากผู้ที่ไม่ได้รับโอกาสไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มิได้ล่วงรู้เลยว่าก่อนหน้านี้ได้ติดเข้าไปในเขตลวง
“อืม เมืองเล็กแห่งนี้ยังมีอาหารเลิศรสเช่นนี้อยู่ด้วย วัตถุดิบธรรมดาๆ แต่ปรุงได้รสชาติดียิ่งนัก” เบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีอาหารจานเนื้อวางอยู่หลายจาน กินอย่างมีความสุขยิ่ง สถานที่เล็กๆ อันห่างไกลที่เขาไปมาแต่ละแห่งนั้นมีอยู่มากมายเหลือเกิน มีบางแห่งที่พรสวรรค์ศาสตร์โบราณเชี่ยวชาญทางด้านอาหารเลิศรส พอกินลงไปแล้วก็เป็นความสุขชนิดหนึ่งอย่างแท้จริง แม้กระทั่งวิญญาณก็ยังสบายอย่างหาใดเปรียบ ความรู้สึกอันงดงามเช่นนั้นเหนือกว่าการกลืนกินศิลาปฐมโลกาเสียอีก
นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงสุราแห่งนี้ กินอาหารคำโต ดื่มสุราที่ตนพกมาเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
……
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ห่อหุ้มกายด้วยอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำเดินเท้าเปล่า เขาทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมาถึงยังสถานที่ที่ค่อนข้างใกล้กับตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากนั้นจึงมาถึงยังเมืองเล็กแห่งนี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาจากประตูเมือง ถึงแม้ว่าบริเวณที่ผ่านมานั้นจะมีผู้คนสัญจรอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าแต่ละคนต่างก็แหวกทางให้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวที่ตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของเมืองเล็กแล้วมองผ่านไปยังโรงสุราที่อยู่ห่างออกไปหลายแสนลี้แห่งนั้น ถึงแม้ว่าแขกเหรื่อภายในโรงสุราจะมีเป็นจำนวนมากและคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ที่เข้าตาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นั้นมีอยู่เพียงคนเดียว… ก็คือชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่กินอาหารคำโตผู้นั้น
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก้าวยาวๆ อีกก้าวหนึ่ง ก็ก้าวผ่านไปหลายแสนลี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง มาถึงบริเวณที่อยู่ห่างจากโรงสุราไม่ไกลนัก
“หืม”
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
อันตราย!
อาณาเขตกฎเกณฑ์รับสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงอย่างที่สุดแล้วก็กระตุ้นขึ้นมาในทันใด
สัญชาตญาณชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งสัญญาณเตือนอันน่าหวาดหวั่น…อันตราย! อันตรายอย่างที่สุด! ความรู้สึกอันตรายและหวาดกลัวเช่นนั้นพลันไหลเอ่อท่วมตงป๋อเสวี่ยอิง ความรู้สึกคุกคามที่ระดับขั้นชีวิตนำพามาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างมิอาจควบคุมได้
เขามองปราดหนึ่งก็เห็นเบื้องหน้า บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาก็มีบุรุษเท้าเปล่าผู้ห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำอยู่ แววตาของเขาอ่อนโยน มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเปี่ยมเมตตา
ในขณะนี้เอง
ฟ้าดินคล้ายจะเลือนหายไป
ปราการเมืองรอบๆ ก็หายวับไป สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างก็หายลับไป เหลือเพียงแค่ตนเองที่นั่งอยู่ และจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ไกลออกไปเท่านั้น! การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์สูงสุดได้ร่นถอยไปก่อนแล้ว อาณาเขตกฎเกณฑ์ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมานั้นทำลายเขตลวงของตนจนย่อยยับ ทำให้ตนติดเข้าไปในอาณาเขตของเขาอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของเขา จะทำให้กระตุ้นสมบัติลับคุ้มกันชีพสองชิ้นได้ทันอย่างหมิ่นเหม่
ปัง! ปัง!
สร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดถูกกระตุ้น รัศมีหม่นสิบสองชั้นล้อมรอบอยู่ที่ผิวนอก
อาภรณ์เมฆซ้อนสามสีบนผิวก็เปล่งประกายสีทองอร่าม ผิวนอกก็มีประกายสีฟ้าห่อหุ้ม
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นสะท้าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสถานะเช่นไร จะลงมือกับขั้นอลวนคนหนึ่งได้อย่างไรกัน นอกจากนี้โลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ก็ตกลงกันเป็นนัยๆ ว่าในช่วงเวลาพักฟื้น นอกเสียจากว่าขั้นอลวนจะไปรุกรานเทพจักรวาล เทพจักรวาลก็มิอาจลงมือกับขั้นอลวนได้
มิฉะนั้นผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนก็จะรังแกผู้น้อย เช่นนั้นจะใช้ได้หรือ เกรงว่าจะก่อให้เกิดมหาสงครามขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว!
มหาสงครามขนาดใหญ่นั้นก็ทำให้เกิดความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นง่ายๆ อยู่แล้ว
“เขาจะลงมือกับข้าได้อย่างไรกัน” ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงวูบไหว พลังอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งพลันทะลุผ่านรัศมีหม่นสิบสองชั้น แม้กระทั่งการป้องกันของเมฆซ้อนสามสีก็ยังไร้ประโยชน์! ถึงแม้ว่าร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุ แต่พลังอันไร้รูปร่างนี้ก็ห่อหุ้มร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใดอยู่ดี
หนาวเหน็บยิ่งนัก
ร่างกายและวิญญาณคล้ายกับถูกแช่แข็ง วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ถูกผนึกสะกดเอาไว้เสียแล้ว!
เพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำได้ก็เพียงแค่การกระตุ้นสมบัติลับสองชิ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่ยืนขึ้นมาไม่ทันด้วยซ้ำ! สามารถเห็นได้ถึงความรวดเร็วและความโหดเหี้ยมในการลงมือของอีกฝ่าย
ถึงแม้ว่าการคุ้มครองของสร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดจะร้ายกาจ แต่บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็ต้องการเวลาหลายอึกใจจึงจะสามารถทะลุผ่านได้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนกดดันให้บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่อตี ต้องการจับเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็ย่อมไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดอยู่แล้ว หนึ่งก็คือวิถีอสนีบาตได้ผนึกวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใด
“อ่อนแอนัก” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหนาวเหน็บ นี่ยังมีสมบัติลับอยู่ ถ้าหากไม่มีสมบัติลับ อาณาเขตกฎเกณฑ์อันน่าหวาดหวั่นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะสามารถทำลายตนเองได้ตามอำเภอใจแล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินก้าวยาวๆ เข้ามา ดูเหมือนจะเชื่องช้าและผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงก้าวเดียวก็มาถึงยังข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วคว้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ตามอำเภอใจ
ปัง…
ห้วงมิติบริเวณรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยวซ้อนทับกัน สามารถมองเห็นวังขนาดมหึมาอีกด้านหนึ่งได้อย่างรางๆ
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หอบหิ้วร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ไปถึงยังโลกทิพย์โบราณอีกแห่งหนึ่งผ่านทางเดินมิติอันบิดเบี้ยว
******
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ตอนแรกตงป๋อเสวี่ยอิงก็งงงวย จากนั้นหัวใจก็หนาวเหน็บ
เขารู้ดี เกรงว่าจะจบสิ้นเสียแล้ว!
ตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือตนได้เล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็น‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่มั่นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โลกทิพย์โบราณมี ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ประจำการอยู่ แข็งแกร่งทานทน เทพจักรวาลคนอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดร่วมมือกันมาโจมตีก็ไร้ประโยชน์ ถึงแม้จะก่อให้เกิดสงคราม พวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาก็ไม่มีทางเลือกโลกทิพย์โบราณ การต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุดแล้ว
“เหตุใดจึงลงมือกับข้าเล่า ข้าเป็นขั้นอลวนคนหนึ่ง มีอะไรควรค่าให้เขาลงมือกัน หรือเขาจะรู้ว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของกู่ฉี ไม่ถูกสิ ถ้าหากรู้จริงๆ ก็เกรงว่าเขาคงฆ่าข้าอย่างสะดวกมือไปแล้ว ถึงอย่างไรท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าก็ถูกเขาสังหารโดยตรง เขาก็ย่อมไม่จำเป็นต้องจับเป็นข้าอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญไม่หยุดหย่อน
“เขาจับเป็นข้า ก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่จับเป็นอยู่แล้ว”
“เขายืนอยู่ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายหรือ ไม่น่าจะใช่หรอก! ยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมของเขาก็ทรงอำนาจอย่างยิ่งอยู่แล้ว”
“เป็นเพราะจักรพรรดิเก้าเมฆาหรือ ตอนนั้นเขาต้องการจะสังหารจักรพรรดิเก้าเมฆามาโดยตลอด รู้ว่าข้าได้รับอะไรจากจักรพรรดิเก้าเมฆามาเช่นนั้นหรือ”
“หรือว่าจะเป็นประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจะล้มเหลวในการลอบสังหารข้า ตอนนี้ก็คิดหาวิธีให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ”
ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น
“เกรงว่าคราวนี้จะจบสิ้นแล้วจริงๆ”
“หนีไม่พ้นเสียแล้วสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจ การโจมตีช่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาก็ต้านรับไม่ทันอยู่บ้าง
“ตอนนี้ข้าถูกผนึก ป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นจะสามารถช่วยเหลือข้าได้หรือไม่” ภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงยึดเหนี่ยวพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาเอาไว้มั่น ตอนนั้นป้ายคำสั่งจิตโลกาแทรกเข้าไปในวิญญาณ จะขับไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ลองส่งวิญญาณแท้เข้าไปข้างใน
……………………………………………….