ตัวจริงของฮีโร่โดนเผยโฉม
ตอนนี้ได้มีข่าวๆหนึ่งพาดหันอย่างร้อนแรงบนอินเตอร์เน็ต
“มนุษย์แมงมุมตัวจริงโดนเผยโฉมแล้ว”
“ไคจิ้งรู้จักมนุษย์แมงมุมดี”
“ไคจิ้งเคยเจอมนุษย์แมงมุมด้วย”
“ไคจิ้งได้บอกว่ามนุษย์แมงมุมคนนั้นมาจากเมืองจงหยุน”
ซูจิ้งดูโง่งมขึ้นมาในทันที ไคจิ้งนี่มันอะไรกัน แล้วการกินมื้อคำกับมนุษย์แมงมุมนี่อีก
ถึงฉันจะรู้ว่ามนุษย์แมงมุมในที่นี่คือใครแต่ไคจิ้งนี่ใครกัน ขอลองนึกก่อนนะว่าไคจิ้งนี่คือใคร
ตอนนั้นที่พวกมนุษย์งูจับตัวประกันเอาไว้ และมนุษย์แมงมุมได้เข้าไปช่วยคนเหล่านั้น
ตอนนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะมีนาลันเฟยกับเลาชงแค่นั้นนี่นา ไม่มีใครชื่อไคจิ้งเลยซักคนเดียว
ซูจิ้งได้ขับเคลื่อนวิถีแห่งใต้หล้าภายในหัวสมองของเขา จำลองเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างละเอียดยิบ
เขาจำลองแม้แต่ความสูงของผู้คน หรือแม้แต่รายละเอียดยิบย่อยของสภาพแวดล้อมในตอนนั้น
ทำได้แม้แต่นึกหน้าของคนในภาพที่ติดไว้บนฝาผนังออก เขานั้นมั่นใจได้เลยว่าเขาสามารถจดจำทุกๆคนที่เขาช่วยในวันนั้นได้อย่างดี และไคจิ้งที่ว่าต้องเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นแน่นอน
ซูจิ้งได้กดเข้าไปดูวิดีโอหนึ่งที่นักข่าวกำลังสัมภาษณ์ไคจิ้ง ไคจิ้งก็ได้พ่นออกมาว่าเขานั้นรู้จักมนุษย์แมงมุมอย่างดีและรู้ถึงตัวจริงของมนุษย์แมงมุมเป็นอย่างดี เมื่อนักข่าวพยายามถามมากขึ้น
ไคจิ้งก็ยังคงตอบคำถามได้ในทุกข้อ เขายังแสดงให้ดูภาพที่เขาได้ถ่ายกับมนุษย์แมงมุม
ซึ่งคนในรูปก็เป็นคนที่ใส่ชุดมนุษย์แมงมุม ซูจิ้งเองก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกันแต่พอเป็นการมองจากด้านหลังเขาเลยไม่แน่ใจเท่าไหร่
ซูจิ้งเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไคจิ้งถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เขาได้เปิดอ่านข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
รวมถึงคอมเม้นต์ที่มีคนได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้
พอนึกว่าเรื่องนี้ก็ได้ผ่านมาพอสมควรแล้วแต่ชาวเน็ตก็ยังจดจำได้เป็นอย่างดี
นั่นก็เพราะว่าวีรกรรมที่มนุษย์แมงมุมได้ก่อไว้แต่ละอย่างนั้นดีมากจนทำให้จดจำเขาได้อย่างขึ้นใจ
ถึงขนาดที่ว่าต่อให้พวกเขาลืมดาราบางคนได้แต่ไม่สามารถลืมมนุษย์แมงมุมได้เป็นอันขาด
“พระเจ้า ไคจิ้งและมนุษย์แมงมุมเป็นเพื่อนกันแหะ ฉันโชคดีจริงๆ”
“ถึงว่าสิทำไมมนุษย์แมงมุมถึงดูรีบๆตอนนั้น เพราะว่ารีบไปช่วยเขานี่เอง”
“มนุษย์แมงมุมอยู่ในเมืองจงหยุนนี่เองเหรอ หรือว่าจะเป็นคนข้างหลังฉันกันนะ”
“ไคจิ้งนี่ก็จริงๆเลย พูดครื่งๆกลางๆ ไม่บอกซักทีว่ามนุษย์แมงมุมเป็นใคร”
“นั่นสิ ไม่ใช่แค่เขาอยากดังหรอกหรอ”
“ดูจากรูปแล้วแถมเขายังมีลายเซ็นอีก น่าจะรู้จักกันจริงนะ”
เหมือนเห็นคอมเม็นท์นั่นแล้ว ซูจิ้งได้ลองเข้าไปดูเว่ยป๋อของไคจิ้งก็ถึงกลับโกรธจนหายใจเป็นไอเย็นออกมา “เมื่อปีก่อนไคจิ้งไม่ได้รับความนิยมอะไรเลยซักนิด และดูจากสภาพจะไม่มีทางรุ่งได้เลย
แต่ตอนนี้ความนิยมของไคจิ้งเพิ่มทะลุสูงขึ้นจนติดอันดับยอดการค้นหาหนึ่งใจห้าแถมยังสูงขึ้นอีก
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไอ้หมอนี่พยายามสร้างกระแสเกาะมนุษย์แมงมุมเพราะอยากดัง”
ซูจิ้งในตอนนี้อารมณ์เสียอย่างมาก ไคจิ้งทำแบบนี้เท่ากับได้ล้อเขาเล่นก็ว่าได้
นาลันเฟยและเลาชงที่คลั่งไคล้เขาในร่างมนุษย์แมงมุมมากๆเพราะได้ช่วยชีวิตพวกเธอไว้ จะไม่ยอมให้ใครใช้เขาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวคนพวกนั้นเด่นดังแน่ๆ
ไคจิ้งในตอนนี้แค่ยังอยุ่ในช่วงดวงดีอยู่แค่นั้นหล่ะ แต่พอนานเข้าทุกคนจะเริ่มรู้สึกตัวและโกรธแค้นเขาจนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอนที่ใช้มนุษย์แมงมุมที่พวกเขาเคารพ รัก และศรัทษามาเป็นเครื่องมือแบบนี้
ตัวเขาเองนั้นก็แค่หวังให้ทุกคนลืมภาพจำในสิ่งที่มนุษย์แมงมุมได้ทำเอาไว้ตามกาลเวลาเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขาไหนได้ฟิวส์ขาดเพราะไคจิ้งเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ไคจิ้งเปรียบได้ดั่งกำลังเดินดี้ด้าหลับตาเข้าหาพายุไปแล้ว
“ไคจิ้ง แกตายแน่ ใครก็ตามที่กล้าพาเรือฟ่าเกลียวคลื่นโดยไม่รู้ว่าคลื่นลูกนั้นสูงแค่ไหนล้วนดับอนาถทุกคน” ซูจิ้งสบถออกมา เขานั้นไม่ได้มีความสนใจซักนิดเลยว่าไคจิ้งจะเป็นหรือตาย เขาแค่ไม่ต้องการให้หมอนี่ก่อปัญหาอะไรอีกต่อไป
“เดี๋ยวนะ หรือว่าไคจิ้งกำลังโดนหลอก จะเป็นไปได้ไหมว่าคนที่แอบอ้างว่าเป็นมนุษย์แมงมุมคนนั้นกำลังทำลายไคจิ้ง” ซูจิ้งได้นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นมีใครบางคนที่พยายามจะบอกว่าเขาคนนั้นเป็นมนุษย์แมงมุม ถึงขนาดทำการโหนใยเพื่อพิสูจน์
แต่พอคนๆนั้นพลาดตกลงมาตาย ด้วยการที่ว่าโลกนี้ไม่มีกฎแห่งนิรันด์จึงไม่มีทางที่เขาจะฟืนคืนชีพได้
นั่นทำให้ไม่มีใครกล้าทำอีก
“ฉันว่าฉันคงต้องหาเวลาไปคุยกับหมอนี่ให้เคลียกันไปเลยแหะ ถ้าไม่ยอมฟังก็คงได้แต่ปล่อยไปตามโชคชะตาหล่ะนะ” ซูจิ้งนึกดังนั้นเลยลองหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับไคจิ้งดูก็พบว่าอีกสองวัน เขาจะร่วมงานจัดแสดงสมบัติโดยทางพิพิธภัณฑ์เป็นคนเชิญเขาเข้าไป
“ห้ะ เอาจริงดิ ผู้อาวุโสนั่น…” ซูจิ้งมองไปยังชื่อเจ้าของพิพิธภัณฑ์ถึงกับอึ้งในทันที
เพราะมันเขียนไว้ว่าเชี่ยชุน คนคนนี้คือผู้อาวุโสเชี่ย (ซี่เหลา)คนที่เป็นเพื่อนกับมู่หรงฉินมาอย่างยาวนานและนั่งอยู่ข้างๆมู่หรงฉินตอนวันเกิดนั่นไม่ใช่หรอ
ตอนนั้นฉิวหยุนจินได้ถ้าประลองดวลเพลงกับเขาแล้วพ่ายแพ้แบบจมดินไปแบบไม่เห็นแม้แต่เงาหัวเลยสักนิด
“อย่างนี้ก็ง่ายเลยแหะ” ซูจิ้งได้วางแผนการที่จะทำให้เขาได้พบกับไคจิ้งในทันที และเขาเองก็จะใช้สมบัติบางชิ้นในการเปิดทางในการเข้าร่วมงานแสดงครั้งนี้ด้วย
นอกจากจะได้เพิ่มมูลค่าของสมบัติด้วยแล้วยังทำให้โรงประมูลของเขามีชื่อเสียงมากขึ้นไปในตัว
ซูจิ้งได้ทำการโทรหามู่หรงฉินก่อนเพื่อที่จะขอเบอร์โทรบ้านของเชี่ยชุน แล้วเขาจึงลองโทรไปดู
เมื่อโทรแม่บ้านได้รับสายเขาเลยแนะนำตัวเองไป ไม่นานก็ได้มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมคำพูดว่า
“คุณซู ลมอะไรทำให้คุณโทรมาหาฉันผู้นี้ได้กัน เพลงที่คุณได้เล่นไว้นั้นช่างทรงพลังมากเลยนะ
ฉันกับผู้อาวุโสฉินตอนนั้นได้ฟังด้วยกันจนร้องไห้ออกมาเลยนะ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า”
“ฮ่าฮ่าถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและได้พูดต่อว่า “ผู้อาวุโสเชี่ย ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจะเปิดพิพิธภัณฑ์พร้อมจัดงานแสดงวัตถุโบราณในอีกสองวันใช่รึเปล่าครับ ไม่เห็นชวนผมเลย นี่ผมชักสงสัยเลยนะเนี่ยว่าตัวเองคงมีคุณสมบัติไม่พอทีจะทำให้ผู้อาวุโสเชิญชวนผมได้”
“แหม่ พูดมาอย่างนี้คุณทำให้ฉันรู้สึกขึ้นมาเลยนา ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติแล้วจะมีใครมีคุณสมบัติได้อีกหล่ะ ฉันเองยังอิจฉาคุณเลยนะที่มีสมบัติน่าหลงไหลมากมายขนาดนั้น แถมยังเคยได้ยินกิตติศักดิ์จากฉายาคุณมาไม่น้อยเลย แต่ฉันก็พอรู้มาด้วยว่าคุณนั้นเป็นคนที่ยุ่งมาก ฉันเลยไม่อยากจะกวนคุณน่ะ” เชี่ยชุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กวนครับ ไม่เป็นการกวนผมเลยแม้แต่น้อย ผมจะไปแน่นอนถ้าผมว่างนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ถ้าคุณมาได้ฉันจะดีใจมากเลยนะ พวกเด็กๆ(สมบัติทั้งหลาย)ของคุณน่าจะสร้างสีสันให้กับงานได้แน่นอนเลย ถ้าคุณยอมนำสมบัติมาด้วยล่ะก็ ฉันจะตั้งบูธให้คุณเลยฟรีๆ” เชี่ยชุนพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“งั้นนนน… ผมขอซักสามล็อกนะครับ” ซูจิ้งคิดซักพักก่อนจะพูดออกไป
“ดีๆ งั้นฉันจะเตรียมไว้ให้คุณสามล็อกนะ”
“งั้นวันมะรืนผมจะพาเด็กๆของผมไปให้คุณยลโฉมแน่นอน”
“ดีๆ แล้วค่อยเจอกันวันมะรืน”
หลังจากวางโทรศัพท์ ซูจิ้งได้อ่านข่าวของไคจิ้งและมนุษย์แมงมุมในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่อีกเขาเลยปิดมือถือและจัดการขยะของเขาต่อไป เขาคิดว่าของทั้งหลายที่เจอในรอบนี้ค่อนข้างคุ้มค่าพอสมควร
แต่ยังไงซะขยะส่วนใหญ่ที่เขาเจอก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง พอเขาคัดของออกมาได้พอสมควรแล้ว เขาก็ได้ใช้แผ่นโกยขยะมาเกลี่ยขยะเพื่อให้กองขยะส่วนที่อยู่สูงไหลลงมา แต่ทันใดนั้นก็มีส่วนหนึ่งของกองขยะส่งเสียงออกมา เขาได้ปล่อยกระแสจิตออกมาในทันทีพร้อมทั้งใช้พลังจิตกดลงไปตรงนั้นทันทีพร้อมมองตาไม่กระพริบ