“ทางแยกอยู่ข้างหน้าพวกเรานี่แล้ว และคำใบ้สี่อย่างก็น่าจะอยู่คนละทาง หลังจากแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางซ้ายและอีกกลุ่มไปทางขวา พวกเราจะติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และคอยอัพเดทอีกฝ่ายเรื่อย ๆ” เว่ยจินหยวนรีบสวมบทบาทหัวหน้ากลุ่ม– เขามีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิงเป็นสิ่งสนับสนุนความมั่นใจของเขา “การตกแต่งภายในบ้านผีสิงนั้นไม่ได้สร้างเอาไว้โดยไร้จุดหมาย ทุก ๆ ตึกที่นี่นั้นมีนักแสดงหรือว่ากับดับซ่อนอยู่ อยู่ข้างหลังฉันให้ใกล้ ๆ และอย่าได้แตะต้องอะไรในตึกพวกนี้”

“นายกับเย็นชานำกลุ่มหนึ่งไปกับโฮสต์ และฉันจะไปอีกทางดีไหม?” หลีจิ่วมองเว่ยจินหยวน เพราะอะไรสักอย่าง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างแปลกไปไป

“ไม่มีปัญหา งั้นก็เอาตามนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่ถามความเห็นผู้เข้าชมคนอื่นด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเมื่ออยู่ในบ้านผีสิงแล้วคำพูดของเขานั้นเป็นกฎ “พวกนายโชคดีที่ได้เข้ามาที่นี่กับพวกเรา”

“ได้” ผู้ช่วยสาวนำชิโนซากิเดินไปทางเว่ยจินหยวน “พวกเรามาเข้าชมบ้านผีสิงในประเทศเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่พวกเราไม่เข้าใจนัก ต้องขอโทษที่รบกวนแล้ว”

ชิโนซากิไม่พูดอะไร แต่ว่า มันดูเหมือนเขามีบางอย่างอยู่ในใจ ผู้ช่วยสาวรู้ว่าเขามีนิสัยประหลาด และในเมื่อเขาทะเลาะกับเว่ยจินหยวนมาก่อน เธอจึงเชื่อว่านี่เป็นเพราะเขารู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องมาอยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายคนนี้ แต่อย่างไรเธอก็ไม่ได้ถามชิโนซากิออกไป

“เอาละ พวกเราสี่คนจะไปก่อนแล้ว” เว่ยจินหยวนยกโทรศัพท์ขึ้น “เจอกันที่ทางออก”

“ได้” หลีจิ่วมองอีกกลุ่มเดินไปทางถนนทางซ้าย เขาหันไปทางขวา “พวกเราเองก็มีเรื่องของพวกเราให้ต้องมาที่บ้านผีสิงนี่ ถ้าพวกคุณเต็มใจ อย่างนั้นก็ตามพวกเรามา ถ้าคิดว่าพวกเราไม่น่าเชื่อถือ ก็แยกไปได้เลยตามสบาย”

หลีจิ่วนั้นมีท่าทีไม่ดีกับหวังตั้น เขาไม่ชอบชายหนุ่มคนนี้

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้พวกเขามากับผม และพวกเราจะแยกไปกันเอง” หวังตั้นวางแผนจะแยกตัวออกไปกับแฟนสาว แต่ว่าแฟนสาวของเขาคิดว่ามันจะปลอดภัยกว่าถ้าจะเกาะกลุ่มไปกับหลีจิ่ว ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน และก็เป็นหวังตั้นที่ไม่เข้าพวก ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึงหวังตั้นจะไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เขาก็ยังไม่กล้าเดินไปมาในฉากระดับ 3.5 ดาวคนเดียว

“ดูสิ แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ? บางคนพูดอะไรประหลาด ๆ เพื่ออวดโอ่ เขาไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเขาดูเป็นเด็กน้อยแค่ไหน?” นักศึกษาชายอีกคนไม่ได้เอ่ยชื่อใคร และก็ทำเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาพูดถึงใครอยู่

“เด็กน้อย?” หวังตั้นเงยหน้ามองเขา และปฏิกริยาแรกของเขาก็คือเถียง คำพูดมารออยู่ที่ริมฝีปากเขาแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนรวมถึงแฟนสาวของเขานั้นอยู่คนละฝ่ายกับเขา และพวกเขาก็คิดว่าหวังตั้นกำลังทำตัวเป็นเด็ก ๆ

เพราะอย่างนั้น การโต้เถียงก็มีแต่จะทำให้เขาดูแย่ลง หวังตั้นฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบ เขาอาจจะดูเป็นเด็กก่อนหน้านี้ แต่ว่าด้วยการฝึกฝนจากบ้านผีสิงของเฉินเกอ เขาไม่ได้เป็นชายหนุ่มวู่วามอย่างที่เคยเป็นแล้ว และหากต้องตัดสินใจ หวังตั้นก็ตัดสินใจตามหลังหลีจิ่วไปอย่างเชื่อฟัง ทำเหมือนในที่สุดเขาก็ยอมแพ้แล้ว

“พวกเราควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงต้องทำให้การมาบ้านผีสิงดูยุ่งยากนักด้วย?” นักศึกษาชายคนนั้นก็ยังคงอยู่ด้านหลังกลุ่มกับแฟนสาวของหวังตั้น และทั้งห้าคนก็เดินไปตามถนนทางขวา

หลังจากสองกลุ่มแยกกันเดินแล้ว หมอกจาง ๆ ก็พลิ้วไปตามถนน และเงาร่างหนึ่งก็เดินผ่านมันไป

ตอนที่อยู่กันสิบคน ถนนดูแออัด แต่เมื่อคนหายไปครึ่งหนึ่ง พื้นที่จู่ ๆ ก็เปิดกว้างขึ้น

“ไม่มีการแนะนำเรื่องราว ไม่มีโครงเรื่อง ไม่มีกระทั่งป้ายบอกทาง– ช่างมหัศจรรย์ที่บ้านผีสิงแห่งนี้ยังอยู่รอดมาจนตอนนี้” เว่ยจินหยวนนั้นไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าบ้านผีสิงแย่ ๆ อย่างของเฉินเกอเป็นที่นิยมขนาดนี้ได้อย่างไร

“บางทีผู้เข้าชมอาจจะชอบความสดใหม่ อย่างไรเสีย ก็มีบ้านผีสิงในท้องตลาดไม่มากนักที่มอบอิสระให้ขนาดนี้” หลี่ซางอิ๋นแตะกำแพงตึกที่ริมถนน “แต่ว่า ที่นี่ก็มีอะไรแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ ฉันลองดูคร่าว ๆ และพบว่าตึกทั้งหมดที่นี่น่ะลอกแบบมาจากที่ข้างนอกได้อย่างสมบูรณ์ วัสดุเป็นอิฐกับปูน และมันก็ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่สมจริง”

“ไม่ใช่ว่ามันก็จะยุ่งยากถ้าเขาต้องย้ายเครื่องตกแต่งเหรอถ้าไม่ใช้พลาสติกกับไม้? หรือว่าเขาคิดว่าจะเก็บฉากนี้เอาไว้ไปตลอดชีวิตกัน? ผู้เข้าชมบ้านผีสิงน่ะชอบของใหม่มากกว่าของเก่า และพวกเขาก็จะเบื่อถ้าต้องเล่นฉากเดิม ๆ มากกว่าหนึ่งครั้ง มันเป็นการเสียเงินเปล่าที่จะสร้างฉากด้วยปูน”

เว่ยจินหยวนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้เทียบ เขามีสวนสนุกนิวเซนจูรี่คอยสนับสนุนและมอบเงินทุนให้ พวกเราน่ะตรงกันข้าม ยืนอยู่ด้วยตัวเอง”

เขาดูเหมือนจะซ่อนความนัยอะไรเอาไว้ในคำพูดของเขา เขาดูเหมือนกำลังทดสอบหลี่ซางอิ๋นเมื่อพูดเสริม “ไม่ใช่ว่าคนจากสวนสนุกแห่งอนาคตติดต่อกับบอสของพวกเราเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? พวกเขาต่อรองกันเป็นยังไงบ้างล่ะ? นายคิดว่าต่อไปพวกเราจะมีโอกาสที่จะเปิดสาขาที่สวนสนุกแห่งอนาคตไหม?”

“พวกเขามีความคิดต่างจากพวกเรา พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดบ้านผีสิงของจริง ที่ติดต่อกับบอสของพวกเราก็แค่ให้พวกเรามอบประสบการณ์กับเนื้อหาของพวกเราให้เขา อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่มีใครที่ทำเกี่ยวกับบ้านผีสิงโดยตรง” หลังจากหลี่ซางอิ๋นพูดอย่างนั้น สมองของเว่ยจินหยวนก็เริ่มทำงาน

จำนวนของผู้เข้าชมที่สถาบันฝันร้ายนั้นลดลงทุกวัน และยังมีรีวิวด้านลบมากมายอยู่บนอินเตอร์เนต รายได้ของพนักงานนั้นมาจากส่วนแบ่งค่าตั๋ว ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้เข้าชม พวกเขาก็ไม่มีรายได้ จากที่เว่ยจินหยวนเห็น แทนที่จะอยู่ที่สถาบันฝันร้ายต่อ ทำไมถึงไม่ไปหาสวนสนุกแห่งอนาคตเล่า? พวกเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการออกแบบบ้านผีสิง และเขาก็สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้

“ดูเหมือนว่าพวกเราต้องทำงานหนักแล้ววันนี้” มีแค่ทำให้ตัวเองมีคุณค่าที่เขาจะสามารถได้เปรียบตอนที่ต่อรองกับคนพวกนั้น

เห็นเพื่อนร่วมงานจู่ ๆ ก็เต็มใจร่วมมือมากขึ้น หลี่ซานอิ๋นก็เกือบจะเบะปาก บางทีอาจจะเพราะว่าเขาเป็นนักแสดงที่ในบ้านผีสิงมานานเกินไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงแปลกและดูมีลับลมคมใน เขาถึงได้ดูต่างไปจากคนอื่น แต่ว่าก็ยากที่จะบอกว่าต่างไปตรงไหน

ผู้ช่วยสาวเดินอยู่ถัดจากหลี่ซางอิ๋น เธอบังเอิญเหลือบไปเห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้ และเธอก็ชะลอฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัวเหมือนหวาดกลัวขึ้นมา

เว่ยจินหยวนสังเกตเห็น และเขาก็พูดขึ้นเพื่อปลอบเธอ “พ่อคนเย็นชานี่เป็นนักแสดงที่มืออาชีพที่สุดในบ้านผีสิงของพวกเรา ถ้าคุณมีโอกาส คุณลองไปเยี่ยมชมพวกเราได้ เขาจะแสดงให้คุณเห็นถึงความหมายแท้จริงของคำว่าสยอง”

“ขอบคุณนะคะ” ผู้ช่วยสาวยิ้มแหย เธอชะลอฝีเท้าลงไปอีกและไปเดินกับชิโนซากิที่ด้านหลัง

“ไม่ใช่ว่าผมจะอวดโอ่อะไรนะ มีครั้งหนึ่งที่เย็นชาไปบ้านผีสิงอื่น เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไรเลยนะ แต่ว่าทำให้นักแสดงจากบ้านผีสิงอื่นกลัว ไม่ว่าจะเป็นผีหรือว่าฆาตกรเลือดเย็น เขาก็สามารถเข้าถึงบทบาทได้ และทุก ๆ สีหน้าก็เหมือนจริงมาก”

เว่ยจินหยวนดูผ่อนคลายมาก แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับไป ดวงตาของชิโนซากิก็กระตุกและถาม “นี่คุณแต่งหน้าก่อนเข้ามาที่นี่ด้วยเหรอ? ผมไม่สนใจเรื่องในอดีตของพวกคุณกับบอสที่นี่หรอกนะ และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าอันที่จริงแล้วคุณมาที่นี่ทำไม ผมแค่อยากรู้เฉย ๆ”

“คุณคิดว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเหรอไง? แต่งหน้ามาหลอกนักแสดงที่นี่?” เว่ยจินหยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “คุณให้เครดิตที่นี่มากไปแล้ว…”

“นั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้แต่งหน้ามา” ชิโนซากิเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “โอเค ขอบคุณที่ตอบคำถามผม”

หลังจากเว่ยจินหยวนเดินนำไปข้างหน้า ผู้ช่วยสามก็ดึงทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ชิโนซากิ “ในนี้ก็มีเครื่องปรับอากาศอยู่นะคะ แล้วอุณหภูมิก็ต่ำมากด้วย– ทำไมคุณถึงเหงื่อออกเยอะอยู่เลย? คุณรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า?”

“จำทางที่พวกเราเดินมาเอาไว้ ถ้ามีโอกาส พวกเราต้องไปรวมกับอีกกลุ่ม” หลังจากเช็ดเหงื่อแล้ว ชิโนซากิก็กำกระดาษทิชชูเอาไว้แน่น และเขาก็ดูค่อนข้างผวา “พวกเราต้องอยู่ให้ห่างจากสองคนนี้”

“ทำไมล่ะคะ? พวกเขาก็เป็นมืออาชีพนี่นา?” ผู้ช่วยสาวงุนงงกับคำสั่งของชิโนซากิ

“ผู้ชายคนที่ชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างเมื่อกี้นี้ มีรอยเบื้องสีม่วงดำอยู่ที่หลังคอ มันดูเหมือนมีใครบางคนจับตรงนั้นของเขา แล้วเธอก็ได้ยินที่เขาตอบเมื่อกี้นี้นี่– เขาไม่ได้แต่งหน้าอะไร”

“บางทีนั่นอาจจะเป็นปาน?” เธอรู้สึกว่าชิโนซากินั้นตีตนไปก่อนไข้ “แล้วก็ พวกเราก็เห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนี่คะ? พวกเราไม่ควรละเมิดเรื่องส่วนตัวคนอื่น”

“ไม่ใช่ปานแน่นอน” ชิโนซากิมองไปทางเว่ยจินหยวน “ฉันจำได้ชัดเจนว่ารอยที่หลังคอของเขานั้นเดิมทีเป็นรอยฝ่ารอยมือเดียว แต่ว่าตอนที่พวกเราเดินไปตามถนน มันก็เพิ่มขึ้น และตอนนี้รอยฝ่ามืออีกรอยก็ปรากฏขึ้นแล้ว!”

ชิโนซากิยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลองกำรอบคอตัวเอง “รอยฝ่ามือทั้งสองปรากฏขึ้นที่สองข้างลำคอ มันเหมือนมีบางอย่างขี่อยู่บนคอของเขาและยกแขนกอดเขาเอาไว้…”