ตอนที่ 194 ให้และรับ

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอรู้ว่าเว่ยเฮ่าหลานพยายามจะขึ้นราคา ทว่านางมีม่านพลังเคลื่อนย้ายอยู่ในครอบครอง ดังนั้นนางจึงรู้ว่านางมีข้อได้เปรียบที่จะทำเช่นนั้นได้ ขณะที่โม่เทียนเกอสายตาจับจ้องอยู่ที่เว่ยเฮ่าหลาน นางให้ข้อเสนอต่อไปอีกครั้ง “สองพันศิลาวิญญาณ”

 

 

ในที่สุดสายตาเว่ยเฮ่าหลานก็เริ่มมีความลังเล แต่แทนที่จะตอบ นางกลับยิ้มกว้างให้โม่เทียนเกอและพูดชม “สหายนักพรตเยี่ยนี่ช่างใจถึงจริงๆ สองพันศิลาวิญญาณแค่เพื่อขอยืมม่านพลังเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้งนั้นเป็นจำนวนที่มากเหลือเฟือ”

 

 

โม่เทียนเกอจ้องนางแล้วจึงพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “แต่ท่านเจ้าสำนักเว่ยก็ยังไม่พอใจ หรือไม่จริง”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานสังเกตเห็นความรำคาญในสีหน้าโม่เทียนเกอแต่นางก็ยังคงยิ้ม “ข้าจะไม่พอใจกับมันได้อย่างไรกัน ถึงแม้ข้าจะเป็นเจ้าสำนัก แต่สภาปี้เซวียนเป็นแค่กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ สองพันศิลาวิญญาณ… ว่ากันตามตรง ตัวข้าเองก็คงไม่สามารถเสนอจำนวนเท่านั้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อกลุ่มของข้า”

 

 

โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านเจ้าสำนักเว่ยจะคิดว่าข้อตกลงนี้ได้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อข้ามอบทุกอย่างที่ข้ามีอยู่ในครอบครองเพื่อแลกกับการใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้ง”

 

 

“ข้าไม่บังอาจ” เว่ยเฮ่าหลานยิ้มแล้วจึงพูดช้าๆ “ในฐานะศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ สหายนักพรตเยี่ยน่าจะร่ำรวยมาก ไม่เหมือนกับพวกเราศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ นี้ ข้าคิดว่าสองพันศิลาวิญญาณก็อาจจะเล็กน้อยสำหรับสหายนักพรตเยี่ย”

 

 

สำหรับศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนใหญ่อย่างนาง สองพันศิลาวิญญาณก็ไม่ได้มากมายอะไรจริงๆ แม้แต่หลัวเฟิงเสวี่ยที่ตอนนั้นนางเป็นแค่ศิษย์รักของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ก็ยังสามารถหาศิลาวิญญาณหลายพันอันมาได้ ไม่ต้องพูดถึงโม่เทียนเกอผู้ที่ตอนนี้เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของประมุขเต๋าจิ้งเหอและส่วนแบ่งศิษย์ของนางไม่น้อยไปกว่าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเลยด้วยซ้ำ

 

 

เว่ยเฮ่าหลานผู้นี้สมควรได้รับการเรียกว่าเจ้าสำนัก ถึงแม้สภาปี้เซวียนจะไม่ใช่กลุ่มการฝึกตนใหญ่ กระนั้นเว่ยเฮ่าหลานก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่นั้นร่ำรวยแค่ไหน

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่นางเปิดเผยไปตามตรงว่านางมาจากกลุ่มการฝึกตนไหน แต่พอคิดอีกที เว่ยเฮ่าหลานอาจจะขูดรีดนางยิ่งกว่านี้หากนางไม่รู้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงคอยหนุนหลังโม่เทียนเกออยู่

 

 

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย” หลังจากคิดมาสักพัก โม่เทียนเกอพูดอย่างตรงไปตรงมา “เราทั้งสองต่างก็ไม่ใช่แม่ค้า การต่อรองราคาเช่นนี้ช่างไร้สาระ ข้าคิดว่าท่านควรจะเสนอราคามาตามตรงเลยดีกว่า ตราบใดที่ข้าสามารถจ่ายไหวข้าก็จะไม่บ่น”

 

 

“ตกลง!” เว่ยเฮ่าหลานดูเหมือนกับนางรอคอยให้โม่เทียนเกอพูดเช่นนี้อยู่แล้ว นางปรบมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายนักพรตเยี่ยเป็นคนที่ตรงไปตรงมาจริงๆ เช่นนั้นก็คงไม่ดีสำหรับข้าที่จะหาข้ออ้างอะไรอีก”

 

 

หลังจากหยุดชั่วขณะ แทนที่จะพูดราคาของนางออกมา เว่ยเฮ่าหลานกลับพูดช้าๆ ว่า “สหายนักพรตเยี่ยรู้สถานการณ์ของสภาปี้เซวียนในหลินไห่หรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า “หลังจากข้ามาถึงที่นี่ ข้าก็ได้รู้มาบ้างเล็กน้อย กลุ่มของท่านเป็นกลุ่มการฝึกตนเดียวในหลินไห่ และกลุ่มของท่านก็ยังควบคุมม่านพลังเคลื่อนย้ายเพียงอันเดียวที่นำไปสู่โลกภายนอกด้วยเช่นกัน กลุ่มของท่านถือได้ว่าเป็นคณะที่มีอำนาจมากที่สุดที่นี่”

 

 

“ถูกต้อง เรามีอำนาจมากที่สุดที่นี่” เว่ยเฮ่าหลานดูภาคภูมิใจเมื่อนางพูดเช่นนั้น แต่ทันทีหลังจากนั้นนางก็ถอนหายใจและพูดว่า “แต่ภัยอันตรายเหลือคณาก็มักจะแอบแฝงอยู่เบื้องหลังฉากหน้าที่ทรงอำนาจนั้น”

 

 

โม่เทียนเกองุนงงสุดขีด “กลุ่มของท่านมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคอยเฝ้าดูอยู่ ท่านไม่มีศัตรูที่ทรงพลังที่นี่ และผู้ฝึกตนทุกคนในหลินไห่ก็อยู่ภายใต้การจัดการของท่าน แล้วภัยอันตรายจะมาจากไหนกัน”

 

 

รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฮ่าหลาน “สหายนักพรตเยี่ยอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ถึงแม้สภาปี้เซวียนจะเจริญเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น หลินไห่ไม่ได้ใหญ่โตนัก เส้นเลือดวิญญาณของเราไม่ได้ดีที่สุดและเราก็ยังขาดแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติอีกด้วย ต่อให้เราไม่มีศัตรูที่ทรงพลังอยู่ที่นี่ แต่มันก็ยังยากสำหรับเราที่จะแข็งแกร่งขึ้น”

 

 

โม่เทียนเกอเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี หนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งเจ็ด สำนักเจิ้งฝ่า ก็เผชิญปัญหานี้เช่นกัน ขนาดพื้นที่ของพวกเขาเป็นปัญหาหลักที่กีดกันการพัฒนาของพวกเขาไว้ นอกเหนือจากการอพยพถิ่นฐานก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะแก้ปัญหาได้

 

 

ที่จริงแล้วจากมุมมองของคนอื่น ด้วยสภาพภูมิประเทศที่พิเศษของสภาปี้เซวียน พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลยหากพวกเขาไม่ปรารถนาจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอีก แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่นั่นเป็นของพวกเขาทั้งหมด และบริเวณทั่วทั้งหลินไห่ก็เป็นอาณาเขตของพวกเขา ต่อให้ขาดบางสิ่งไป ก็ยังสามารถใช้ทรัพยากรมุ่งไปกับผู้ฝึกตนที่คัดเลือกมาแล้วว่าพวกเขาอยากจะเลี้ยงดู การคัดศิษย์เข้ากลุ่มก็ง่ายมากสำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนทุกคนในหลินไห่ต่างใช้สมองคิดหนักเพื่อให้ได้เข้าร่วมสภาปี้เซวียน รวมถึงผู้ฝึกตนชายด้วย พวกเขามีทั้งกำลังคนและทรัพยากร ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำอะไรโง่เง่า กลุ่มของพวกเขาก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างปลอดภัย นั่นยังหมายความว่าด้วยขนาดปัจจุบันของสภาปี้เซวียน เจ้าสำนักของพวกเขาคือเจ้าสำนักที่ดีที่สุดที่พวกเขาหามาได้

 

 

เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ เว่ยเฮ่าหลานจึงทำได้เพียงแค่พูดต่อไป “แน่นอน ในตอนแรกสภาปี้เซวียนของเราเป็นเพียงที่พักพิงที่สร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งของเราสำหรับกลุ่มผู้หญิงโชคร้าย เราไม่เหมือนกับกลุ่มการฝึกตนใหญ่ที่แข็งแกร่งหรือเลี้ยงดูผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีใด สำหรับการดำเนินต่อไปของสภาปี้เซวียน มีบางสิ่งที่หากไม่มีเราก็ไม่สามารถทำได้”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า “แล้วท่านเจ้าสำนักเว่ยต้องการอะไรจากข้ารึ” นางไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อเว่ยเฮ่าหลานพูดเรื่องทั้งหมดนี้ นางต้องการทรัพยากรบางอย่างจากนางแน่นอน บางทีนางอาจจะต้องการยาวิเศษหรือเครื่องมือเวท

 

 

เพราะนางเห็นว่าโม่เทียนเกอเข้าใจ เว่ยเฮ่าหลานจึงหยุดพูดอ้อมค้อม นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการฝึกตนมีมากเหลือล้นในคุนอู๋ ในเมื่อสหายนักพรตเยี่ยมาจากคุนอู๋ ข้าเดาว่าสหายนักพรตเยี่ยคงไม่ขาดยาวิเศษ วัตถุดิบ และของอื่นๆ”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และยกถ้วยน้ำชา “ข้าขอค้านท่านเจ้าสำนักเว่ย ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนจะมียาวิเศษหรือวัตถุดิบมากเพียงพอหรอก เราไม่ได้อยู่ในยุคอดีตอันไกลโพ้นที่วัตถุวิญญาณมีอยู่ทั่วทุกที่ คุนอู๋มีทรัพยากรมากมายก็จริง แต่มันก็ยังต้องรองรับกลุ่มคนจำนวนมาก”

 

 

“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่เทียบกับหลินไห่ คุนอู๋ก็ยังดีกว่ามากอยู่ดี” เว่ยเฮ่าหลานไม่ได้รู้สึกรำคาญ นางแค่จ้องโม่เทียนเกอและพูดต่ออย่างหนักแน่น “สหายนักพรตเยี่ย ถึงแม้เราจะไม่ได้มีศิลาวิญญาณมากมาย แต่เราก็ยังสามารถหาแร่ศิลาวิญญาณในหลินไห่ได้ อย่างไรก็ตาม หลินไห่แยกตัวออกจากคุนอู๋มาเป็นเวลานานเกินไป ถึงแม้เราจะส่งศิษย์ของเราออกไปร่ำเรียนอย่างสม่ำเสมอ แต่มาตรฐานของเราในการปรุงยาและขัดเกลาเครื่องมือยังคงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเรายังขาดทรัพยากร… สหายนักพรตเยี่ย ถ้าท่านต้องการยืมม่านพลังเคลื่อนย้าย แค่ให้ยาวิเศษ วัตถุดิบ และของอื่นๆ มาแลกเปลี่ยนก็พอ หรือไม่ท่านจะให้วิชาปรุงยาหรือวิชาขัดเกลากับเราก็ได้”

 

 

ถึงจุดนี้ในที่สุดเว่ยเฮ่าหลานก็เผยราคาที่แท้จริงออกมา ตอนนี้เมื่อนางแบไต๋ออกมาตามตรงแล้ว สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ ถึงแม้เว่ยเฮ่าหลานจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่พวกเขาต่างก็เหมือนกันไม่มากก็น้อย ความต้องการสำหรับสิ่งเหล่านั้นของนางก็เร่งด่วนเช่นกัน

 

 

หลังจากได้ยินสิ่งที่เว่ยเฮ่าหลานพูด โม่เทียนเกอวางถ้วยน้ำชาลงและนางเริ่มเอานิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้

 

 

ท่าทางของนางทำให้เว่ยเฮ่าหลานถามอีกคำถามหนึ่ง “สำหรับสหายนักพรตเยี่ย ของเหล่านี้น่าจะยังอยู่ในข่ายที่พอรับได้ใช่ไหม”

 

 

โม่เทียนเกอเหลือบมองนาง แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ท่านเจ้าสำนักเว่ย ข้าอยากจะพูดตามตรง เพราะฉะนั้นมาจบการต่อรองนี้เสียที ข้าไม่มีวัตถุดิบสำหรับการขัดเกลาเครื่องมือมากมายนักอยู่กับตัว ข้าเกรงว่าข้าไม่สามารถใช้มันในการแลกเปลี่ยนของเราได้ ทักษะในการขัดเกลาเครื่องมือของข้านั้นธรรมดา ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถสอนอะไรได้ อย่างไรก็ตาม ข้ามียาวิเศษบางอย่างอยู่ ในการเดินทางครั้งนี้ของข้า ข้ายังได้พบพืชวิญญาณบางอย่างด้วย นอกจากนี้ข้ายังสามารถให้สูตรยาสามัญบางสูตรกับท่านได้ ท่านเจ้าสำนักเว่ยจะพอใจหรือไม่”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานเผยสีหน้าดีใจ “ดูเหมือนว่าสหายนักพรตเยี่ยจะชำนาญในศาสตร์แห่งการปรุงยา ว่ากันตามตรง เราสามารถซื้อพืชวิญญาณและยาวิเศษธรรมดาทั่วไปได้ แต่วิชาการปรุงยาไม่ง่ายนักที่จะเรียนรู้ ถ้าสหายนักพรตเยี่ยสามารถสอนศิษย์ในกลุ่มของข้าถึงวิธีการปรุงยาได้ ข้าก็จะยอมยกเลิกราคาของการใช้ม่านพลังเคลื่อนย้าย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสหายนักพรตเยี่ยมียาวิเศษระดับสูง เรายินดีจะแลกเปลี่ยนของพิเศษแห่งทะเลตะวันออกเพื่อยาเหล่านั้น”

 

 

“จริงหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างรู้สึกสนใจ “ที่จริงข้ามีความรู้อยู่บ้างในการปรุงยา แต่ข้าไม่รู้ว่าความสามารถของข้าจะทำให้ท่านเจ้าสำนักเว่ยพึงพอใจหรือไม่”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานยิ้ม “เราจะรู้ก็หลังจากที่ท่านลองดูว่าความสามารถของท่านทำให้ข้าพึงพอใจได้หรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอใช้เวลาสักพักเพื่อคิดก่อนนางจะพยักหน้าในที่สุด “ตกลง”

 

 

หลังจากพวกเขาเจรจาต่อรองกันเสร็จไม่มากก็น้อย โม่เทียนเกอตามเว่ยเฮ่าหลานไปทางห้องปรุงยาของสภาปี้เซวียน

 

 

สภาปี้เซวียนอาจจะเป็นกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ แต่ห้องปรุงยาของพวกเขาไม่เล็กเลยแม้แต่นิดเดียว มันใหญ่พอจะกินพื้นที่ห้องโถงทั้งห้อง วินาทีที่นางเข้าไปในห้องปรุงยา นางเห็นว่ามีเตาหลอมยาประมาณเจ็ดหรือแปดเตาจัดเรียงอยู่ข้างใน หน้าเตาหลอมยาแต่ละเตามีผู้ฝึกตนหญิงหลายคนที่ดูเหมือนกำลังยุ่งกับการทำทุกอย่าง และยังมีผู้ฝึกตนระดับต่ำทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้พวกนางอีกด้วย

 

 

โม่เทียนเกอมองสถานการณ์คร่าวๆ อย่างเร็ว ผู้ฝึกตนหญิงเหล่านี้ที่กำลังปรุงยาวิเศษล้วนอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณทั้งหมด และวิชาการปรุงยาของพวกนางก็หยาบมาก คนที่ดีที่สุดในกลุ่มพวกนางอยู่แค่ในระดับที่แทบจะไม่สามารถปรุงยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณได้ ซึ่งเป็นยาวิเศษที่ใช้กันในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน

 

 

โม่เทียนเกอแอบส่ายหน้า ไม่น่าแปลกใจที่เว่ยเฮ่าหลานจะกังวลใจขนาดนี้เกี่ยวกับทักษะการปรุงยาของกลุ่มนาง ความสามารถเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับกลุ่มการฝึกตนที่มีศิษย์มากกว่าพันคน อัตราความล้มเหลวในการปรุงยาของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานของพวกเขาน่าจะสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยาวิเศษอย่างเดียวที่ใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานคือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนั้น ศิษย์ของพวกเขาคงจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้ยากมาก และพวกเขาก็จะฝึกตนอย่างยากลำบากมากขึ้นไปอีกหลังจากสร้างฐานแห่งพลังงานได้

 

 

ทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาในห้องปรุงยา ศิษย์คนหนึ่งเข้ามาหาเพื่อทักทายพวกเขา “ท่านเจ้าสำนัก”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้าแล้วจึงถามว่า “อาจารย์ลุงซย่าของเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่”

 

 

ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ขอตอบท่านเจ้าสำนักนะเจ้าคะ อาจารย์ลุงซย่าอยู่ในห้องด้านในกำลังปรุงยาวิเศษอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

“นางเริ่มหรือยัง”

 

 

“ยังเจ้าค่ะ” ศิษย์คนนั้นคิดครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดเสริม “ท่านเจ้าสำนักยังพอมีเวลาตอนนี้หากท่านต้องการพบอาจารย์ลุงซย่า อาจารย์ลุงซย่ากำลังอุ่นเตาหลอมยาอยู่เจ้าค่ะ นางจะเริ่มปรุงยาในอีกไม่ช้า”

 

 

เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้าแล้วจึงพูดกับโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย ศิษย์น้องซย่าชิงของข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงยาที่ดีที่สุดในกลุ่มเรา บังเอิญว่านางกำลังจะปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้า งั้นเราไปดูกัน”

 

 

ยาจิตวิญญาณแกร่งกล้า… เป็นยาวิเศษพื้นฐานสำหรับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง จากวิธีที่เว่ยเฮ่าหลานพูดถึงนาง คนที่ชื่อซย่าชิงนี้น่าจะเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน คงไม่ง่ายสำหรับนางในการปรุงยาวิเศษสำหรับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดูเหมือนนางจะประเมินสภาปี้เซวียนต่ำเกินไป ถึงแม้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่อาจารย์ปรุงยาในระดับนี้น่าจะสามารถสนับสนุนกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ อย่างสภาปี้เซวียนได้

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น ทักษะการปรุงยาของโม่เทียนเกอได้เปลี่ยนไปนานแล้ว เนื่องจากนางมีพืชวิญญาณนับไม่ถ้วนในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนที่นางสามารถใช้อย่างฟุ่มเฟือยได้ วิชาการปรุงยาของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นการปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าจึงง่ายมากสำหรับนางในตอนนี้

 

 

ทั้งสองคนเดินผ่านห้องโถงเข้าไปในห้องปรุงยาที่แยกออกไป

 

 

ห้องปรุงยาห้องนี้กว้างขวางมาก มีเพียงเตาหลอมยาขนาดใหญ่เตาเดียวอยู่ที่นั่น แต่มีผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ที่นั่นไม่น้อยไปกว่าในโถงด้านนอก

 

 

โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าเตาหลอมยาไม่เหมือนกับเตาที่ใช้ด้านนอกซึ่งให้ความร้อนโดยพวกศิษย์ที่ใช้ไฟตานเถียน เตานี้ใช้ไฟโลกีย์เป็นไฟในการปรุงและยิ่งไปกว่านั้นไฟโลกีย์นี้ก็บริสุทธิ์มาก

 

 

ขณะที่นางเดินต่อเข้าไปในห้อง ในที่สุดนางก็เห็นว่าหลังเตาหลอมยาขนาดมหึมานั้นมีผู้ฝึกตนหญิงที่ค่อนข้างกระเซอะกระเซิงกำลังชั่งตวงวัตถุดิบอยู่พร้อมกับพูดพึมพำอย่างต่อเนื่อง นางดูจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำมาก เหมือนกับว่าถ้าท้องฟ้าถล่มนางก็จะไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ที่จริงแล้วอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นี่คือศิษย์น้องซย่าชิงที่เว่ยเฮ่าหลานพูดถึงหรือ รูปลักษณ์ตอนนี้ของนางดูเหมือนกับคนที่หมกมุ่นกับการปรุงยาจริงๆ นางไม่เงยหน้าขึ้นมามองผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเลยแม้แต่น้อย!

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย” เว่ยเฮ่าหลานดูทำตัวไม่ถูกขณะที่นางพูดกับโม่เทียนเกอ “นี่คือศิษย์น้องซย่าชิงของข้า เมื่อใดที่นางเริ่มปรุงยา นางจะไม่กังวลกับสิ่งอื่นใดอีก เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าถือสา”

 

 

โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ที่จริงข้าคิดว่าสิ่งนี้ทำให้ศิษย์น้องน่าเคารพมาก คนที่ทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณให้กับสิ่งหนึ่งนั้นสมควรได้รับการเคารพเสมอ”

 

 

เทียบกับผู้ฝึกตนหญิงไม่รู้เรื่องรู้ราวที่รู้แค่ว่าจะอวดเสื้อผ้าและเครื่องประดับอย่างไรในคุนอู๋ ผู้ฝึกตนหญิงของสภาปี้เซวียนเหล่านี้ยังถูกใจโม่เทียนเกอมากกว่า อย่างเช่นเว่ยเฮ่าหลานที่ทั้งฉลาดและมีความสามารถ นางวางแผนและออกอุบายเพื่ออนาคตของกลุ่มนาง แล้วยังมีซย่าชิงอีกคน นางมุ่งมั่นอยู่กับการปรุงยาอย่างเต็มที่มากเสียจนนางลืมดูแลตัวเอง

 

 

โม่เทียนเกอเคยเห็นผู้ฝึกตนหญิงมาหลายคนที่ไม่เคยกังวลเรื่องการพัฒนาตัวเอง โดยปกติแล้วนางจะเห็นใจกับความโชคร้ายของพวกนางและรู้สึกโกรธกับความเฉื่อยชาของพวกนางไปด้วยในขณะเดียวกัน ทำไมผู้ฝึกตนหญิงถึงได้มีสถานะต่ำต้อยนักในโลกแห่งการฝึกตน บางครั้งสถานะนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้ มันคือสิ่งที่คนคนหนึ่งต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รับมา ถ้าคนเราไม่รู้ว่าจะทำงานหนักอย่างไร ถ้าพวกนางไม่รู้ว่าจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งอย่างไร การร้องไห้เสียใจให้กับสถานะของพวกนางจะมีประโยชน์อะไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีผู้ฝึกตนหญิงที่ประสบความสำเร็จในการสร้างจิตวิญญาณใหม่และจะต้องมีอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ว่าสถานะของผู้ฝึกตนหญิงนั้นต่ำต้อยตามธรรมชาติ แต่เพราะแค่มีผู้ฝึกตนหญิงระดับสูงน้อยเกินไปเท่านั้น