“ศิษย์น้องซย่า!” เว่ยเฮ่าหลานตะโกนเรียก
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ปรุงยาชื่อซย่าชิงเพียงแค่ขมวดคิ้วและโบกมือของนางอย่างรำคาญก่อนที่จะตวงวัตถุดิบและบ่นพึมพำคนเดียวต่อ
เว่ยเฮ่าหลานไร้หนทาง นางพูดกับโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตเยี่ย ท่านจะถือสาหรือไม่หากต้องรอครู่หนึ่ง ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางแล้ว”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “อาจารย์ปรุงยาโดยส่วนมากแล้วจะประหลาดหน่อยๆ ข้าไม่ได้รีบอะไร ทำสิ่งที่ท่านต้องทำเถอะท่านเจ้าสำนักเว่ย”
เว่ยเฮ่าหลานยิ้มขอโทษ หลังจากนั้นจึงสั่งให้ศิษย์เตรียมที่นั่งให้ ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจนอยู่ๆ ซย่าชิงก็ยืนขึ้นและตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง “เสร็จเรียบร้อย! เปิดเตาหลอม!”
“ศิษย์น้องซย่า!” เว่ยเฮ่าหลานใช้โอกาสนี้เรียกนางอีกครั้ง
ครั้งนี้ซย่าชิงได้ยินนาง นางเกาหัวหลังจากนั้นจึงหันมาทางพวกนาง “โอ้ ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เกิดอะไรขึ้นรึ” วิธีการที่นางพูดนั้นดูเหมือนกับว่านางกำลังไล่แมลงวันทีเดียว
โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ ความจริงแล้วซย่าชิงเป็นคนที่ค่อนข้างงาม ถ้านางดูแลภาพลักษณ์ตัวเองนางก็จะนับได้ว่าเป็นคนสวยทีเดียว น่าเสียดาย นางเป็นคนขี้เกียจที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย ผมเผ้านางยุ่งเหยิงจากการเกาไปมา เสื้อผ้าก็ผิดรูปผิดร่าง หากไม่ใช่เพราะนิสัยใจคอของผู้ฝึกตนที่นางครอบครองอยู่ นางก็มีแนวโน้มที่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขอทานได้เลยทีเดียว
เว่ยเฮ่าหลานดึงโม่เทียนเกอมาทางด้านหน้า “ข้าจะแนะนำท่านเล็กน้อย นี่เป็นผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนชิงที่คุนอู๋ สหายนักพรตเยี่ยเสี่ยวเทียน”
ซย่าชิงขมวดคิ้ว นางไม่ได้อยากรู้เรื่องของโม่เทียนเกอแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงยกมือของนางขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ “คารวะสหายนักพรตเยี่ย” โดยที่ไม่รอให้โม่เทียนเกอตอบรับการทักทาย นางหันไปทางเว่ยเฮ่าหลานทันที “ข้ากำลังยุ่งอยู่ ท่านพาคนอื่นมาที่นี่เพื่ออะไร”
คำพูดของโม่เทียนเกอติดอยู่ที่ลำคอ นางจะต้องรอว่าเว่ยเฮ่าหลานจะพูดว่าอะไร
เว่ยเฮ่าหลานพูด “เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าไม่มีคนที่จะร่วมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการปรุงยาน่ะ สหายนักพรตเยี่ยเชี่ยวชาญในศาสตร์การปรุงยา ข้าตั้งใจเชิญให้นางมาที่นี่เพื่อที่นางจะได้พูดถึงวิชาการปรุงยากับเจ้า”
“โอ้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของซย่าชิงเปลี่ยนไปในทันใด นางดึงมือของโม่เทียนเกออย่างสนิทสนมพร้อมพูด “สหายนักพรตเยี่ย ท่านปรุงยาวิเศษเป็นอย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอก้มมองลงไปยังมือของซย่าชิง ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเทาจากวัตถุดิบนับไม่ถ้วนที่นางกำลังวุ่นวายอยู่ ขณะที่โม่เทียนเกอพยายามยั้งตัวเองไม่ให้ดึงมือของนางกลับ นางตอบอย่างราบเรียบ “ข้าทำได้… เล็กน้อย”
“เล็กน้อยหรือ” ซย่าชิงถามย้ำ “ท่านสามารถปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าได้หรือไม่ ท่านปรุงผงป้องกันใจได้ไหม ยาคงรูปล่ะ หรือบางทีอาจจะยาไร้ธุลี”
“ข้าค่อนข้างปรุงยาเหล่านั้นได้ทั้งหมดนะ” โม่เทียนเกอพยายามดึงมือของนางกลับอย่างสุขุมและสะบัดแขนเสื้อของนาง “ข้าสามารถปรุงพวกมันได้ถ้ามีวัตถุดิบ แต่โอกาสที่จะสำเร็จได้ของข้ามีไม่สูงมากนัก”
“โอ้โฮ… ท่านปรุงทั้งหมดได้เลยหรือ เยี่ยยอด!” ซย่าชิงสอบถามต่อ “เวลาที่ท่านบอกว่าโอกาสที่จะสำเร็จไม่สูงมากนัก คือเท่าไหร่กันหรือ สามส่วนหรือสี่ส่วน”
“… อาจจะห้าถึงหกในสิบส่วน หากสถานการณ์เอื้อต่อข้า” คนที่มีอัตราประสบความสำเร็จในการปรุงยา ห้าถึงหกส่วน นั้นสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นอาจารย์ปรุงยาที่ยอดเยี่มทีเดียว เมื่อโม่เทียนเกอลองปรุงยาครั้งแรก นางไม่ได้มีทักษะใดๆ เลย อย่างไรก็ตาม เพราะนางมีพืชวิญญาณให้ใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือยจำนวนมาก อัตราความสำเร็จของนางจึงเพิ่มมากขึ้นทีละนิด บทสรุปที่นางได้คือการมีทักษะไม่ได้สำคัญตราบใดที่คนคนหนึ่งมีพืชวิญญาณจำนวนมากที่สามารถใช้ได้เท่าที่ต้องการ พวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นอาจารย์ทางด้านการปรุงยาได้
“หกส่วน!” ซย่าชิงอุทาน และดวงตาของเว่ยเฮ่าหลานเป็นประกาย
“มา มา!” ซย่าชิงรีบดึงโม่เทียนเกอจากแขนเสื้อไปยังหน้าเตาหลอม “ข้ามีวัตถุดิบพร้อมอยู่ตรงนี้ ข้าขอดูท่านปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าหน่อย”
“เอ่อ…” โม่เทียนเกอดึงแขนเสื้อของนางออกจากมือของซย่าชิงหลังจากนั้นจึงหันไปทางเว่ยเฮ่าหลาน “สหายนักพรตเว่ย นี่…”
เมื่อนางได้ยินว่าอัตราประสบความสำเร็จในการปรุงยาของโม่เทียนเกออยู่สูงที่หกส่วน เว่ยเฮ่าหลานก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงรีบพูด “สหายนักพรตเยี่ย ท่านน่าจะลองดู ถ้าท่านประสบความสำเร็จและส่งมอบความรู้ของท่านให้กับศิษย์น้องซย่าได้ ข้าจะให้ท่านใช้ม่านพลังเคลื่อนย้ายโดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดเลย”
ตอนนี้เมื่อเว่ยเฮ่าหลานมอบข้อเสนอนี้ โม่เทียนเกอจึงพยักหน้า “ตกลง”
อาจารย์ปรุงยาไม่ค่อยส่งต่อเคล็ดลับในการปรุงยาให้กับผู้อื่น แต่โม่เทียนเกอไม่ได้พึ่งพาการปรุงยาเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาวิญญาณ ดังนั้นนางจึงไม่ได้มีความกังวลใจในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่นางเรียกว่าเคล็ดลับก็เป็นเพียงแค่ความรู้ที่สั่งสมมาหลังจากปรุงยามาเป็นเวลานาน มันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับวิชาของนาง ดังนั้นต่อให้นางสอนซย่าชิง นางก็เพียงแค่ช่วยร่นระยะเวลาสำหรับซย่าชิงที่คลำหาทางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ว่าทางใดก็ตาม นางก็ยังคงคิดว่าซย่าชิงนั้นยังเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดว่าการสอนนางนั้นเป็นสิ่งที่ทนได้ยากลำบากนัก
เมื่อโม่เทียนเกอตกลง ซย่าชิงรีบโบกมือ “เอาวัตถุดิบมาทางนี้เร็ว”
“เจ้าค่ะ” ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณหลายคนขานกลับ ทีละคน ทีละคน พวกนางหยิบพืชวิญญาณที่ดูแลอยู่ออกมาและนำมาให้
โม่เทียนเกอมองพวกมัน วัตถุดิบนั้นล้วนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ ในกลุ่มนั้น วัตถุดิบหลักสำหรับยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าคือหญ้าสะเก็ดม่วงและเห็ดหลินจือหิมะ พวกมันล้วนมีอายุเพียงแค่ห้าร้อยปี วัตถุดิบอื่นๆ นั้นยิ่งแย่กว่า บางตัวอายุเพียงแค่หนึ่งร้อยปี
ความจริงแล้ว นี่ไม่ได้สำคัญอะไร ยาจิตวิญญาณแกร่งกล้านั้นเป็นยาวิเศษขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง มันมีเพียงสองเงื่อนไขสำหรับวัตถุดิบนี้ หญ้าสะเก็ดม่วงและเห็ดหลินจือหิมะที่ใช้จะต้องมีอายุอย่างน้อยห้าร้อยปีขึ้นไป ในขณะที่วัตถุดิบอื่นนั้นไม่ได้มีข้อกำหนดอะไร อย่างไรก็ตาม ยิ่งพืชวิญญาณมีอายุมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของยาวิเศษก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ถ้านางปรุงยาจิตวิญญาณแกร่งกล้าโดยใช้วัตถุดิบเหล่านี้ ประสิทธิภาพของยาที่ได้ก็จะธรรมดามาก
ตามความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงแค่สิ่งที่นางคิด ในโลกนี้ พืชวิญญาณที่มีอายุมากกว่าพันปีหาไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังใช้พืชวิญญาณที่มีอายุประมาณห้าร้อยปีเช่นกัน ทุกคนไม่ได้เหมือนนางที่มีสวนสมุนไพรของตัวเอง ซึ่งทำให้นางสามารถปรุงยาวิเศษได้บ่อยเท่าที่นางต้องการ และยิ่งไปกว่านั้น พืชวิญญาณเกือบทั้งหมดในสวนสมุนไพรของนางล้วนมีอายุอย่างน้อยหนึ่งพันปีขึ้นไป
เมื่อสังเกตได้ถึงรอยย่นเล็กที่คิ้วของโม่เทียนเกอ เว่ยเฮ่าหลานหันมองไปที่วัตถุดิบและถาม “สหายนักพรตเยี่ยวัตถุดิบเหล่านี้มีอะไรผิดปกติหรือ”
“ไม่มีอะไร” โม่เทียนเกอส่ายหัวเบาๆ หลังจากที่นางพิจารณาวัตถุดิบต่างๆ นางส่งสัญญาณบอกศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณให้นำถาดเปล่าที่ปูด้วยผ้าสะอาดมาและเริ่มหยิบของตามจำนวนที่นางต้องการ
นางชั่งน้ำหนักวัตถุดิบด้วยมือของนางก่อนที่จะวางพวกมันลงบนผ้า นางไม่จำเป็นที่จะต้องชั่งน้ำหนักโดยใช้เครื่องชั่ง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็แบ่งวัตถุดิบได้มากกว่าสิบสองประเภทเสร็จ
ขณะเช็ดมือ นางก็พูดกับศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่ถือถาดอยู่ว่า “เอาวางไว้ตรงนั้น ระวังด้วย อย่าให้ปนกัน”
ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณขานรับหลังจากนั้นจึงยกถาดออกไปด้วยความระมัดระวัง
ซย่าชิงเดินเข้ามาหานาง ถอนหายใจและพูดชม “สหายนักพรตเยี่ย ไม่ต้องพูดถึงอะไรเลย แต่ท่านสามารถหยิบวัตถุดิบที่ต้องการได้โดยที่ไม่ต้องวัดหรือชั่งน้ำหนัก! นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำไม่ได้อย่างแน่นอน เยี่ยมยอดมาก!”
โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อย “หลังจากที่ปรุงยาอยู่หลายครั้ง ท่านก็จะสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ” นี่เป็นความจริง มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ อย่างไรก็ตาม น้อยคนนักที่จะเหมือนกับนางที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับวัตถุดิบ ดังนั้นน้อยคนนักที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ได้
แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย อาจารย์ปรุงยาเกือบทุกคนในคุนอู๋สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงปรมาจารย์แห่งการปรุงยา คนที่ได้รับการดูแลจากกลุ่มการฝึกตนหรือได้รับการสนับสนุนจากตระกูลการฝึกตนขนาดใหญ่เลย จากมุมมองนี้สามารถพูดได้ว่าทักษะในการปรุงยานั้นพัฒนาขึ้นมาจากกองพืชวิญญาณและพูดอีกนัยหนึ่งก็คือศิลาวิญญาณนั่นเอง น่าเสียดาย สภาปี้เซวียนนั้นตั้งอยู่ที่หลินไห่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีม่านพลังเคลื่อนย้ายเชื่อมต่อกับคุนอู๋ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มั่งคั่งพอที่จะซื้อวัตถุดิบจำนวนมากมาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่างที่ต้องการได้
ตอนนี้ใบหน้าเว่ยเฮ่าหลานนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม นางคิดในใจ โรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้เป็นกลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในการปรุงยา และสหายนักพรตเยี่ยก็ดูไม่ได้แก่มากนัก แต่นางกลับมีทักษะการปรุงยาที่เยี่ยมยอดอย่างไม่คาดคิด คุนอู๋นั้นเต็มไปด้วยคนที่มากความสามารถจริงๆ สมกับชื่อของมันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนในขั้วแห่งท้องฟ้า
หลังจากที่นางเตรียมวัตถุดิบเสร็จเรียบร้อย โม่เทียนเกอมองไปยังเตาหลอมที่เตรียมพร้อมแล้ว นางพูดพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนที่จะยื่นมืออกไปเพื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิของไฟโลกีย์และนางแตะไปที่เตาหลอมเพื่อวัดความหนาของมัน เตาหลอมนี้หนากว่าเตาหลอมไม้สีม่วงที่นางใช้ และไฟโลกีย์ก็ด้อยกว่าไฟของนาง ดังนั้นนางจะต้องเปิดเตาหลอมให้ช้ากว่าปกติ ครั้งนี้นางจะต้องมุ่งความสนใจไปกับขั้นตอนการใช้จิตสัมผัสของนางอย่างต่อเนื่อง
เมื่อนางตรวจสอบทุกอย่างเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอล้างมือหลังจากนั้นจึงสั่ง “เปิดเตาหลอม!”
ซย่าชิงผู้ซึ่งขาดความอดทนไปนานแล้ว รีบโบกมือของนาง “เปิดเตาหลอม เปิดเตาหลอม!”
ด้วยการกระตุ้นจากข้างหลัง ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณไม่กล้าที่จะขัดขืน พวกนางรีบจัดเตรียมวัตถุดิบ ย้ายน้ำ หลังจากนั้นจึงช่วยกันเปิดฝาเตาหลอม
ด้วยความสัตย์จริง เตาหลอมยานี้ด้อยกว่าเตาหลอมไม้สีม่วงของโม่เทียนเกอมากนัก เตาหลอมไม้สีม่วงสุดท้ายแล้วก็ได้ถูกใช้โดยเทพผู้ฝึกตนมาก่อน ถึงแม้จะเป็นของที่ถูกใช้มาก่อนหน้านี้ แต่มันก็ไม่ใช่เตาหลอมธรรมดาทั่วไป ในทางกลับกัน สำหรับเตาหลอมยานี้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเวท มันไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นอาวุธเวทด้วยซ้ำ
แต่นี่ก็ไม่ได้ผิดธรรมดาไปเสียทีเดียว เมื่อพิจารณาถึงสภาปี้เซวียน พวกเขามีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งหมดเพียงแค่สามคน และพวกเขาก็ไม่ได้เก่งกาจทางด้านการปรุงยา ดังนั้นโดยปกติแล้วมันเกือบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะมีเตาหลอมยาคุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม เตาหลอมยานี้ก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายไปเสียทีเดียว มันจะต้องมีราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณเป็นอย่างน้อยและมันยังดีกว่าของธรรมดาทั่วไปที่โม่เทียนเกอเคยใช้ในตอนเริ่มต้นศึกษาเรื่องการปรุงยา
หลังจากสั่งให้พวกนางเปิดเตาหลอม โม่เทียนเกอไม่ได้เริ่มต้นปรุงยาทันทีแต่นางกลับหลับตานั่งสมาธิแทน ถึงแม้ว่านางจะวัดทุกอย่างอย่างเหมาะสมมานานแล้ว นางก็ยังต้องปรับเปลี่ยนระหว่างกระบวนการการปรุงยาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือลดอุณหภูมิ ตามการเปลี่ยนแปลงของไฟ ดังนั้นนางจะต้องมุ่งมั่นและต้องไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อย
นอกเหนือไปจากสองผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานที่อยู่ด้วยนั้น ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณหลายสิบคนก็ไม่กล้าที่จะทำเสียงรบกวนแม้แต่น้อย พวกนางคุ้นเคยกับการมองดูซย่าชิงปรุงยา ด้วยอารมณ์ของซย่าชิง คนที่ทำเสียงแม้เพียงเล็กน้อยในขณะที่นางปรุงยาจะต้องถูกไล่ออกจากห้องปรุงยาในทันทีและจะต้องถูกย้ายไปเป็นศิษย์นอกเวลาแทน ดังนั้น ศิษย์ที่ยังเหลืออยู่นั้นได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดี พวกนางต่างประพฤติดีและอยู่ในระเบียบเคร่งครัด
เมื่อจิตใจนางสงบนิ่งและเตาหลอมยาร้อนเพียงพอ โม่เทียนเกอโยนผงทานตะวันสวรรค์และหญ้าสะเก็ดม่วงลงในเตาหลอมยาเป็นอันดับแรก นางสั่ง “ปิดเตาหลอม!”
ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณหลายคนรีบทำตามที่นางแนะนำด้วยความรวดเร็ว
โม่เทียนเกอหลับตา แบ่งเส้นใยแห่งจิตสัมผัสและใส่ลงไปในเตาหลอม นางรู้สึกได้ถึงหญ้าสะเก็ดม่วงค่อยๆ ละลายและเปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ของของเหลวสีม่วง และผงทานตะวันสวรรค์ละลายเข้าไปในหญ้าสะเก็ดม่วงเหลวนั้น
ตามด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้น วัตถุดิบทั้งสองอย่างนั้นผสมเข้ารวมกันเป็นหนึ่งทีละน้อย ทีละน้อย พวกมันไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อีกแล้วเมื่อมันผสานเข้าเป็นสสารชนิดใหม่
อุณหภูมิในเตาหลอมมาถึงจุดเดือดแล้ว ของเหลวจากหญ้าสะเก็ดม่วงได้ระเหยไปทันทีและค่อยๆ กลายเป็นชิ้นๆ ที่มีรูปร่างเหมือนกับวงล้อ
โม่เทียนเกอลืมตา “เปิดเตาหลอม”
โดยไม่ต้องโดนซย่าชิงกระตุ้น ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รีบเปิดฝาของเตาหลอมออก
ครั้งนี้ โม่เทียนเกอเพียงแค่แบ่งวัตถุดิบบางอย่างไว้เบื้องหลังและโยนที่เหลือทั้งหมดเข้าไปในเตาหลอมก่อนที่จะสั่งให้ปิดมันอีกครั้ง หลังจากนั้นโดยทันที นางนั่งลงนิ่งไม่ขยับจนเหมือนกับนางเข้าฌานไปแล้ว
ในตอนแรก ซย่าชิงยังสามารถมองเตาหลอมยาในระยะใกล้ได้ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะตรวจดูด้านในด้วยจิตสัมผัสของนาง เมื่ออาจารย์ปรุงยาอยู่ระหว่างการปรุงยา พวกเขาจะต้องใช้จิตสัมผัสในการดูแลกระบวนการที่อยู่ภายในเตาหลอม ถ้าพวกเขาถูกรบกวนจากจิตสัมผัสของผู้อื่น พวกเขาอาจตัดสินใจผิดพลาดได้ ซย่าชิงคิดว่าในเมื่อพวกนางต่างอยู่ในระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ ถึงแม้ว่าหนึ่งในพวกนางจะมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่า แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นก็คงจะไม่ได้มากมายนัก ดังนั้นโม่เทียนเกอจะต้องถูกรบกวนอย่างแน่นอนถ้าซย่าชิงใช้จิตสัมผัสของนาง อย่างไรก็ตาม ซย่าชิงไม่รู้ว่าจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอไม่ได้รับผลกระทบง่ายเหมือนกับจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนคนอื่นที่อยู่ในดินแดนเดียวกันกับนาง เพราะโม่เทียนเกอนั้นฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ จิตสัมผัสของนางจึงมีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดินแดนเดียวกันกับนาง ดังนั้นมันจึงไม่ได้รับผลกระทบจากคนอื่นง่ายดายขนาดนั้น
หลังจากนั้น บางทีอาจเป็นเพราะถึงช่วงเวลาที่ซย่าชิงจะต้องปรุงยา นางก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างยากที่จะยังคงต้องนั่งรอต่อไป อย่างไรก็ตาม นางไม่กล้ารบกวนโม่เทียนเกอ จึงทำเพียงแค่ยืนขึ้นและเริ่มเดินไปมา นานๆ ครั้งนางก็จะส่งสัญญาณมือให้กับเว่ยเฮ่าหลานบ้างเป็นบางที
เว่ยเฮ่าหลานไม่เข้าใจว่าสัญลักษณ์ที่ซย่าชิงทำคืออะไร นางจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
ในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่ซย่าชิงเกือบหมดความอดทน โม่เทียนเกอก็ลืมตาขึ้นและสั่งเป็นครั้งที่สาม “เปิดเตาหลอม”
หลังจากที่ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณเปิดเตาหลอม โม่เทียนเกอเทน้ำแร่บริสุทธิ์ลงไปหลังจากนั้นจึงใส่พืชวิญญาณหลายชนิดที่ยังคงเหลืออยู่ “ปิดได้ ตอนนี้พวกเจ้าไปพักได้แล้ว”
ศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่คอยช่วยนางต่างถอนใจด้วยความโล่งอก แต่พวกนางก็ไม่กล้าที่จะเอะอะโวยวาย พวกนางเพียงแค่ถอยหลังกลับและรออย่างสงบ
ครั้งนี้พวกนางจะต้องรอนานกว่าเดิม พวกนางรอจนซย่าชิงไม่สามารถทนต่อไปได้จากการพูดที่ว่า “สหายนักพรตเยี่ย นี่มันไม่นานไปอย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอไม่ได้ทำสมาธิอยู่ในครั้งนี้ แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้น นางเพียงแค่ส่ายหน้า “จงวางใจเถอะ”
นางไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น ข้างหลังนาง ซย่าชิงเดินกลับไปกลับมาอย่างวิตกกังวล
โม่เทียนเกอไม่ได้รีบ แต่ก็ไม่ได้ช้า นางเพียงแค่จดจ่อความสนใจอยู่กับเตาหลอมยาอย่างสงบ