ชีสเริ่มตั้งใจสังเกตนกหวีด
เวลาส่วนมาก นกหวีดจะเอาแต่นิ่งไม่ขยับ ส่วนเวลาอื่นๆ นอกจากนั้นชีสก็ไม่เห็นนกหวีด
ชีสยังหาวิธีสื่อสารกับนกหวีดไม่ได้ เพราะนกหวีดพูดไม่ได้
แต่เขารู้สึกว่าบางทีนกหวีดอาจจะฟังเขาพูดรู้เรื่อง การพบกันระหว่างเขาและนกหวีดมักจะอยู่ในเวลากลางคืน
กลางคืนหลังจากชีสจัดการเรื่องราวภายในบ้านเสร็จก็จะแอบออกมา ส่วนพื้นที่โล่งหน้าห้องใต้ดินก็ได้กลายเป็นพื้นที่ลับของเขาและนกหวีด
“นกหวีด บ้านนายอยู่ที่ไหน?”
“นกหวีด ตอนกลางวันนายไปอยู่ไหน? หลบอยู่ที่นี่ตลอดเลยงั้นเหรอ?”
“นกหวีด นายมาจากที่ไหน? ทำไมถึงดูแปลกประหลาดแบบนี้? ครอบครัวของนายล่ะ?”
ชีสมีคำถามมากมาย
หลายวันมานี้ เขาได้ถามทุกคำถามที่เขาคิดได้ออกไปหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้รับคำตอบ
แต่น่าแปลก ถึงไม่ได้รับคำตอบก็ไม่ได้ทำให้ชีสรู้สึกหดหู่ แต่กลับทำให้เขายิ่งสนใจในตัวนกหวีดมากขึ้น
มาจากที่ไหน?
ทำไมถึงต้องช่วยเขา?
ดูเหมือนเขาจะมีปฏิกิริยากับเสียงนกหวีด…นี่เป็นเรื่องบังเอิญงั้นเหรอ?
“จริงสิ นายไม่กินอะไรงั้นเหรอ?” ทันใดนั้นชีสก็ถามนกหวีดขึ้นมา
นับตั้งแต่หลายวันก่อนที่ชีสเห็นนกหวีดกลืนปีศาจหนูทั้งเป็นใต้คลังเก็บสินค้าแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นนกหวีดกินอะไรอีกเลย
บางทีนกหวีดอาจจะกินอาหารในตอนกลางวัน ตอนที่เขาไม่เห็นก็เป็นไปได้
หลังจากความหวาดกลัวในครั้งแรกแล้ว ชีสพบว่าตัวเองไม่ค่อยกลัวกับฉากในวันนั้นมากสักเท่าไร…บางทีอาจเป็นเพราะว่าตัวเขาเองก็เป็นปีศาจตนหนึ่ง
ตั้งแต่ยังเด็กซูโย่วก็มักเล่าเรื่องราวที่ผู้อ่อนแอมักเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่าให้เขาฟังอยู่เป็นประจำ ดังนั้นชีสจึงมีภูมิต้านทานต่อเรื่องเช่นนี้เป็นพิเศษ
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกว่านกหวีดคงจะไม่ทำร้ายตัวเอง?
“อยากลองกินอันนี้ไหม?”
ชีสล้วงเอาเนื้อแห้งออกมาจากกระเป๋าและลองส่งให้นกหวีด
เห็นเพียงนกหวีดจ้องมองการกระทำของชีสโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ…ไม่ ความจริงนกหวีดมีปฏิกิริยา เพียงแต่ชีสไม่รู้
หางที่ยืดหยุ่นของนกหวีดค่อยๆ ขยับมาตามพื้น…เคลื่อนไหวมาที่ด้านหลังของชีสและก็ชูขึ้นอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
และขณะเดียวกัน ในส่วนปลายของหางก็มีเข็มเหล็กเรียวยาวดีดออกมา…เหมือนกับหางของแมงป่อง!
เข็มแหลมเล็กนี้กำลังค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หลังคอของชีสทีละน้อยๆ
“ดูแล้วนายคงไม่ชอบกินของพวกนี้” ชีสเก็บเนื้อแห้งกลับด้วยความรู้สึกผิดหวัง จากนั้นก็กอดอกและพิจารณาดูนกหวีดอย่างละเอียดอีกครั้ง
ใกล้ ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…หางที่เหมือนแมงป่องอันนั้น
ตอนนี้เองนกหวีดก็กะพริบตาอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังสดใสขึ้นมา มันเหมือนเสียงหินตกใส่พื้นถนนคอนกรีต
ทันใดนั้นชีสก็รู้สึกเหมือนว่าด้านหลังมีบางอย่าง จึงหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณและก็พบว่าตรงหน้าของเขาพร่ามัว เห็นเพียงของเรียวหนาถูกยิงพุ่งออกไปนอกท่อระบายน้ำ!
หางของนกหวีดยังสามารถยื่นยาวออกไปได้ไกลกว่าที่เห็น! ที่แท้นกหวีดก็มีความสามารถแบบนี้ด้วย สิ่งนี้ทำให้ชีสอดประหลาดใจไม่ได้!
จากนั้นนกหวีดก็เก็บหางกลับมาจากด้านนอก
เห็นปลายหางของมันม้วนแมวป่าสีดำตัวหนึ่งเข้ามา ร่างกายของแมวป่าเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อและในขณะเดียวกัน ชีสก็พบว่าบนหางของนกหวีดมีเข็มเล็กๆ อันหนึ่งที่แทงเข้าไปในร่างกายของแมวป่า
หลังจากนกหวีดใช้หางจับแมวป่าที่เดินผ่านมาจากข้างนอกอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็ก้มหัวและเริ่มกินแมวป่าในทันที
“ที่แท้นายก็ชอบกินของแบบนี้งั้นเหรอ?” ปีศาจหนูอย่างชีสที่ไม่ได้รู้สึกดีต่อแมวป่าสักเท่าไรเพียงรู้สึกประหลาดใจเท่านั้น เขาก็เคยกินเนื้อของแมวป่าเช่นกัน
แน่นอนว่ามันเป็นแมวเร่ร่อนที่หิวตายบนถนน…ซึ่งก่อนหน้านี้ซูโย่วเคยนำอาหารที่ ‘อร่อย’ แบบนี้กลับมาบ้านเป็นครั้งคราว สมาชิกในครอบครัวจึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อย
“อา ถึงป่านนี้แล้ว แม่ของฉันใกล้จะตื่นนอนแล้ว ฉันกลับไปก่อนนะ” ชีสมองดูเวลาจากนั้นก็รีบคลานออกมาจากท่อระบายน้ำ “นกหวีด พรุ่งนี้ฉันค่อยมาหานายใหม่!”
เหมือนนกหวีดจะไม่ได้ยิน เพราะมันเอาแต่กัดกินเนื้อสดๆ เหล่านั้นทีละคำ ทีละคำ…
บางทีอาจจะยังไม่เพียงพอ
…
…
อาหารค่ำมื้อเดียวกินเวลาตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปจนเกือบสามทุ่มครึ่ง เริ่นจื่อหลิงไม่สามารถมอมเหล้าคนอื่นได้ ส่วนตัวเองกลับฟุบลงกับโต๊ะและส่งเสียงกรนออกมา
รองบรรณาธิการเริ่นไม่รู้ว่าบนโต๊ะนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนธรรมดาจริงๆ และยังคิดว่าตัวเองสามารถดื่มเหล้าได้เก่งกว่าใคร
“ที่จริงแล้วพี่เริ่นจองห้องที่นี่เอาไว้ด้วยนะ”
ในตอนที่ลั่วชิวกำลังดูแลเริ่นจื่อหลิงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่นั้น หลีจื่อก็แอบกระซิบข้างหูเขาถึงเรื่องบางเรื่องซึ่งอยู่นอกเหนือเหตุผลแต่อยู่ในความคาดหมาย
หลี่ว์อีอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของหลีจื่อ…เพราะความสามารถในการได้ยินของเธอนั้นดีกว่าคนธรรมดามาก
แม้แต่ความสามารถในการมองเห็นก็ดีกว่าคนธรรมดามากด้วยเช่นกัน…เมื่อรับรู้ถึงสายตาของลั่วชิวที่มองมาแล้ว หลี่ว์อีอวิ๋นก็รีบแสร้งทำเป็นมองบรรยากาศโดยรอบของร้านอาหารชั้นสูงแห่งนี้ในทันที
แต่เธอก็พบว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีอะไรน่าดู จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้…จองห้องเอาไว้งั้นเหรอ? เธอก็รู้ว่าเพื่ออะไร
เป็นเพราะหน้าบางดังนั้นเพียงครู่เดียวหูของเธอก็แดงขึ้นมา
“ฉันจำได้ว่ามหา’ลัยมีเวลาปิดประตู ตอนนี้เธอคงกลับหอไม่ได้แล้วใช่ไหม” ทันใดนั้นลั่วชิวก็เอ่ยถามขึ้น
หลี่ว์อีอวิ๋นชะงัก จากนั้นถึงได้นึกถึงเรื่องนี้…นี่เป็นปัญหาจริงๆ เพราะเป็นนักเรียนมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ดังนั้นเธอจึงเลือกพักอยู่ในหอธรรมดาของมหาวิทยาลัย
“อา! ฉันผิดเอง มัวแต่สนุกเกินไปจนลืมเวลา!” หลี่ว์อีอวิ๋นเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “งั้น…ตอนนี้ฉันยังกลับไปทันไหม?”
“น่าจะไม่ทันแล้ว” ลั่วชิวส่ายหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ถึงอย่างไรก็จองห้องเอาไว้แล้ว คืนนี้เธอก็พักอยู่ที่นี่เถอะ”
หลี่ว์อีอวิ๋นอ้าปากค้าง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “แต่ นี่เป็นห้องที่พี่เริ่นให้…”
ถึงอย่างไรเด็กสาวก็ค่อนข้างหน้าบาง จึงพูดถึงเรื่องการเปิดห้องออกมาไม่ได้
แต่ลั่วชิวผู้เป็นเจ้าของสมาคมมาได้สักระยะแล้วนั้นมีภูมิต้านทานกับเรื่องราวเหล่านี้
“ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นคำขอโทษจากเธอที่เชิญแขกมาแต่กลับเมาหลับก่อนแขกก็แล้วกัน” ลั่วชิวเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องคิดจะรับผิดชอบอะไรหรือกังวลใจอะไร พักแค่หนึ่งคืนไม่ได้มีอะไรมาก”
“งั้น…งั้นก็ตกลงค่ะ”
ในที่สุดหญิงสาวก็อดทำตามคำพูดของชายหนุ่มลึกลับคนนี้ไม่ได้ และก็ยินดีลองทำตามคำแนะนำของเขาดู
หญิงสาวเชื่อใจเขา
เพราะหลายปีมานี้มีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าใกล้คุณปู่ที่จำอะไรไม่ได้ และก็เป็นเพียงคนเดียวซึ่งสามารถนั่งเงียบๆ…นั่งอยู่ข้างคุณปู่ มองดูทะเลไปกับท่านและอยู่เป็นเพื่อนท่านวาดรูปได้
และก็เป็นเพียงคนเดียวที่มอบดอกบลูสตาร์ให้เธอ
เรื่องเหล่านี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอจดจำไปชั่วชีวิต
…
ในขณะที่หญิงสาวและพวกลั่วชิวจะแยกจากกันที่ลิฟต์นั้น หลี่ว์อีอวิ๋นก็จับชายกระโปรงของตัวเองอย่างฉับพลัน พร้อมกับกัดฟัน จากนั้นก็ตะโกนไปยังประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดว่า “ครั้งหน้า ครั้งหน้า…ช่วงวันหยุดฤดูหนาว ถ้าพวกคุณมาชายทะเลอีกครั้ง ฉันจะดูแลพวกคุณเป็นอย่างดีเลย!”
เธอรู้สึกกระสับกระส่าย มองไปยังประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดลง ก็เห็นลั่วชิวที่อยู่ด้านใน…ยิ้มและพยักหน้าให้เธอจากนั้นประตูลิฟต์ก็ปิดลง
หญิงสาวหันหลังไปพิงกับผนังข้างๆ จากนั้นก็จับบริเวณหน้าอกของตัวเองเบาๆ
หัวใจเต้นเร็วมาก!