ตอนที่ 29 ทำไม (2) Ink Stone_Fantasy
“แน่นอนว่าต้องมี ทว่าเมื่อสามพันปีก่อน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภูเขาพังทลาย ทะเลสาบแห้งเหือด สิ่งมีชีวิตสูญหาย ในตอนนั้นวิญญาณภูเขาก็ตายจากไปเช่นกัน หลังจากพักฟื้นไปอีกหนึ่งพันปี ภูเขาลูกนี้จึงให้กำเนิดข้าขึ้นมา เขาอวิ๋นไท่อาจจะคงอยู่ตลอดไป ต่อให้มันจะถูกอุกกาบาตตกใส่ จนทำให้พื้นที่หนึ่งพันลี้โดยรอบกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ แต่ตัวภูเขาก็ยังอยู่ ทว่าวิญญาณภูเขาบอบบางกว่านั้นมาก ความจริงแล้วพวกเรานั้นเปราะบางต่อสิ่งภายนอกมากนัก”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แผ่วเบาของเทพธิดาอวิ๋นไท่ หวังลู่ก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป ใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกวูบไหว
ผ่านไปพักใหญ่หวังลู่ก็ถอนหายใจออกมา “วิญญาณภูเขาก็มีมุมแบบนี้เหมือนกันแฮะ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยอ่านเจอในตำราเลย วันนี้ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เข้าให้แล้ว”
เทพธิดาอวิ๋นไท่กล่าว “เป็นเพราะพวกเราเปราะบางเราจึงตระหนักถึงวิกฤตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างฉับไว ดังนั้นจึงพยายามหาวิธีรับมือกับมันตั้งแต่เนิ่นๆ การมาถึงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก่อกวนจิตใจข้าไม่น้อย”
หวังลู่พูดขึ้นบ้าง “เรื่องนี้เข้าใจได้ คนพวกนั้นมันวายร้ายชัดๆ”
“ข้าทนที่พวกเขาดูดซับพลังปราณฟ้าดินจากเส้นฮวงจุ้นของเขาอวิ๋นไท่ได้ ทนที่เขาเข้ามาวุ่นวายกับสิ่งมีชีวิตบนเขานี้ได้ ทั้งยังสามารถทนการกระทำอันชั่วช้าที่พวกเขาจะสร้างค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายได้ แต่พวกเขาไม่ควรคิดชั่วต่อสัตว์เซียนภูตจันทรา”
หวังลู่ขำ “เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ มันเป็นเรื่องของความรักระหว่างพี่สาวและน้องสาวอย่างแท้จริง ในเมื่อท่านเป็นสิ่งมีชีวิต ท่านย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นสิ่งมีชีวิต ดังนั้น…”
“คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต้องตาย แผนการของพวกเขาต้องถูกขัดขวาง ทว่าลำพังข้าแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นจึงต้องหวังพึ่งเจ้า”
“ทำไมต้องเป็นข้า ท่านมีแหล่งทรัพยากรล้นมือ จะมองหาใครก็ย่อมได้ทั้งนั้น ทำไมจึงต้องเป็นข้าด้วย”
“เพราะเจ้าไม่แข่งขัน”
หวังลู่อึ้งไปอึดใจหนึ่งจากนั้นก็กล่าวโดยไร้รอยยิ้ม “ข้าไม่แข่งขัน? เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย แถมเป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน ท่านช่วยลงรายละเอียดหน่อยได้ไหม”
เทพธิดาอวิ๋นไท่อธิบายเสียงแผ่ว “ความสามารถด้านการบำเพ็ญเซียนของเจ้าเลิศเลอมากถูกไหม”
“ถูก” หวังลู่ตอบกลับอย่างฉับพลันโดยไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย
“ดังนั้นเจ้าย่อมไม่รู้สึกสิ้นหวังต่างจากคนอื่นๆ ที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี”
หวังลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องนี้… หลายปีมานี้สถานการณ์ของข้าก็ถือว่าดีไม่น้อย”
“หนำซ้ำเจ้าจะไม่ยั่วยุคนที่เจ้าไม่อาจรับมือได้”
“ท่านพูดถูกแล้ว ชายเสื้อยาวๆ ของข้าทำให้ข้าเริงระบำได้อย่างงดงาม [1] เส้นสายของข้าถือว่าดีไม่น้อย”
“ดังนั้นเจ้าจึงภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก ต่อให้เจ้ามีสิ่งที่อยากได้ เจ้าก็ไม่ชอบที่จะเจ็บตัวเพื่อให้ได้มา ยิ่งไม่คิดจะละทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้นอย่างเช่นพวกเขา” ขณะพูดเทพธิดาอวิ๋นไท่ก็ชี้ไปที่สิ่งหนึ่ง และฉากเบื้องหน้าหวังลู่ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันเป็นเมื่อสามหรือสี่ร้อยปีก่อน เขาเห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ไร้ความสามารถคนหนึ่งจากสำนักมังกรขาว หลังจากล้มเหลวในการพยายามทะลวงเข้าสู่ตบะขั้นสร้างแกนมานับไม่ถ้วน ตอนที่อยู่บนยอดเขาสูงภายใต้แสงจันทร์ เขาก็ตะโกนดังก้องฟ้าจนน้ำตากลายเป็นสายเลือด ในความสูญเสียใหญ่หลวงนั้น จิตแห่งเต๋าของคนผู้นี้ก็พังทลายและไอปีศาจก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
ไม่ปรากฏชัดว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้พบเจอสิ่งใดหลังจากนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการ
“แน่นอนว่าบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนนี้ วันหนึ่งเจ้าอาจต้องเจอกับประตูที่บังคับให้เจ้าต้องคลานผ่านไป แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ตอนนี้” เทพธิดาอวิ๋นไท่กล่าว “ดังนั้นข้าจึงไม่กังวลว่าเจ้าจะวางแผนตลบหลังข้า… เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ สภาพการณ์ของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกมั่นใจ”
“มีคนมั่นใจในตัวข้าด้วยแฮะ…ข้าเขินนะเนี่ย” หวังลู่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “จริงๆ แล้วในโลกบำเพ็ญเซียนมีคนที่น่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงมากกว่าข้าอีกเยอะ”
เทพธิดาอวิ๋นไท่กล่าวเสียงแผ่ว “ข้าไม่รู้เรื่องศีลธรรมและวิธีคิดของมนุษย์ ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อมาตรฐานด้านศีลธรรมของพวกเขา ข้าเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ข้าเชื่อว่าหลังจากที่เจ้ารับของกำนัลของข้าไป เจ้าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของข้า แต่หากว่าเป็นคนอื่น ข้ากลัวว่าพวกเขาจะเรียกร้องมากขึ้น ยังไงซะมันก็เป็นอย่างที่เจ้าพูด ข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรมหาศาล แต่ตัวข้ากลับไม่ได้มีพลังมากมาย หนำซ้ำในเมื่อพรสวรรค์ของเจ้าดีกว่าคนทั่วๆ ไป แกนแสงจันทร์ในปริมาณที่เท่ากันก็ย่อมทำให้เจ้าพัฒนาได้มากกว่า และนั่นยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อข้ามากขึ้น”
แม้ความสงสัยในใจของหวังลู่จะยังไม่คลายไปทั้งหมด แต่เขาก็รับฟังคำอธิบายนั้นอย่างแกนๆ
“งั้นขอข้าถามอีกหนึ่งคำถาม” หวังลู่ถามขึ้นมาอีกรอบ “ท่านมีอาคมวิเศษอะไรถึงสามารถบิดห้วงเวลาได้”
เมื่อเทียบกับแสงจันทร์พันปีที่ซึมเข้าสู่ร่างและช่วยให้ขั้นตบะของเขาพัฒนาขึ้น การบิดงอเวลาของเทพธิดาอวิ๋นไท่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ กุญแจที่นำไปสู่ความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วนในโลก หากเขาสามารถฉวยกุญแจนี้มาได้… เขาอาจสามารถเรียกหมัดโอร่าๆๆๆๆๆ [2] มาทำลายโลกนี้ก็ได้
ทว่าเทพธิดาอวิ๋นไท่กลับไม่ตอบเขาตรงๆ แต่ใช้ความทรงจำของนางสาธิตให้หวังลู่ดู หวังลู่เองก็มองดูภาพเหล่านั้นเงียบๆ อย่างไม่เร่งรีบ
ฉากนี้ปรากฏอยู่เป็นเวลานานภายใต้การยืดขยายของห้วงเวลา ทะเลสีฟ้ากลายมาเป็นทุ่งหม่อน และเขาอวิ๋นไท่ก็ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจากอดีตนับพันปีมาในยุคปัจจุบัน
หวังลู่เข้าใจชัดแจ้งว่าเทพธิดาอวิ๋นไท่กำลังแสดงภาพชีวิตที่แสนจืดชืดของนางให้เขาดู แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ มีคลื่นลม มีสถานที่ใหม่ๆ เกิดขึ้นในช่วงพันปีมานี้ แต่ทุกอย่างดูไม่ได้สลักสำคัญ ประสบการณ์เหล่านี้กระตุ้นให้เกิดคลื่นอารมณ์ภายในใจของหวังลู่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามที่มีมาแต่แรกของเขา นั่นคือทำไม
ขณะที่หวังลู่เริ่มรู้สึกหมดความอดทนและกำลังจะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นเขาก็เห็นบางอย่างที่ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นไหว ที่เหนือทะเลสาบ ร่างของเทพธิดาอวิ๋นไท่ค่อยๆ จางหายไป จากที่มีตัวตนกลายเป็นอากาศธาตุ และจากอากาศธาตุก็ไม่เหลืออะไรเลย ใบหน้างดงามไร้ที่ติค่อยๆ ผสานรวมกันกลายเป็นความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงเงาที่เลือนรางเท่านั้น
นี่มัน…นี่มันเรื่องเฮงซวยอะไรกัน
ชั่วพริบตานั้นหวังลู่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ตำราโบราณเล่มหนาหนักในหอเถิงอวิ๋น
ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอีกครั้ง… ไม่นานเขาก็พบสิ่งที่กำลังหา ซึ่งทำให้ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่!
“ท่าน!?”
นี่ไม่ใช่อาคมวิเศษในการบิดห้วงเวลา! แต่เป็นการที่เทพธิดาอวิ๋นไท่ผลาญพลังชีวิตของนางต่างหาก! นางกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน และตอนนี้ช่วงชีวิตหนึ่งพันปีของนางก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นระลอกคลื่นที่กระจายวงอยู่ในทะเลสาบมรกตแห่งนี้!
นี่เป็นอาคมวิเศษที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ เมื่อเขารับรู้สาเหตุของพลังในการบิดห้วงเวลา จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย และขณะที่มองไปยังร่างของหญิงสาวที่ค่อยๆ จางหายไป เขาก็เหลือคำถามอีกเพียงข้อเดียวเท่านั้น
ทำไม
ท่านเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่หรือ ในเมื่อท่านเป็นสิ่งมีชีวิต ท่านย่อมต้องรู้ว่าความตายไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีงามและสมควรที่จะหวาดกลัว และความจริงไม่ใช่เพราะท่านมีอารมณ์ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นมีความสุข โกรธ เสียใจ และกลัวตายหรอกหรือที่ทำให้ท่านตามหาข้า ต้องการให้ข้าช่วยขับไล่คนจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ออกไป
แต่ตอนนี้ท่านกลับยอมสละชีวิตตัวเอง นี่ไม่ได้เรียกว่าเป็นการเทียมเกวียนหน้าม้าหรอกหรือ
ท่านเป็นวิญญาณภูเขา เป็นวิญญาณภูเขาแห่งเขาอวิ๋นไท่ซึ่งเป็นสถานที่ที่คู่ควรของเหล่าเซียน ชีวิตของท่านมีค่ามากกว่าคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รวมกันเสียอีก และท่านเองก็ย่อมรู้ดี แล้วนี่ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่!?
เทพธิดาอวิ๋นไท่ไม่ตอบคำถามของเขาสักข้อ และยังคงแสดงบันทึกชีวิตหนึ่งพันปีให้อีกฝ่ายดูอย่างเงียบๆ ตอนนี้บันทึกใกล้จะถึงตอนจบแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงหกสิบหรือเจ็ดสิบปีเท่านั้น
ทันใดนั้นเวลาก็หยุดนิ่งไป ฉากตรงหน้าเขาหยุดลงในคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่บนฟากฟ้าปรากฏลำแสงสีทองมากมายนับไม่ถ้วน พลังปราณฟ้าดินเริ่มตื่นตัวและไหลพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งมีชีวิตทุกประเภทบนเขาอวิ๋นไท่ก็น่าจะรู้สึกได้ พวกมันจึงพากันออกมาจากที่อาศัยและพยายามซึมซับของขวัญที่สวรรค์ประทานนี้ให้มากที่สุด
เมื่อหกสิบปีก่อน เทพธิดาอวิ๋นไท่ยืนนิ่งอยู่บนยอดเขา อาบไล้แกนจักรพรรดิ
จากนั้นราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงมาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน กลิ่นอายแห่งชีวิตใหม่ได้ถือกำเนิดในอุทรของนาง
หวังลู่รู้แจ้งในทันที
ทำไมจึงมีวิญญาณภูเขาสองตนเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทำไมเทพธิดาอวิ๋นไท่ผู้สูงส่งและปลีกวิเวกถึงได้มีความคิดที่จะกำจัดสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ทำไมนางถึงไม่ลังเลที่จะสังเวยชีวิตตัวเองซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลใดๆ
นั่นเพราะสัตว์เซียนภูตจันทราคือลูกของเทพธิดาอวิ๋นไท่! “ท่าน…” หวังลู่ถอนหายใจ แต่เขากลับไม่รู้ว่าตนเองถอนหายใจเรื่องอะไร
ในตอนนั้นร่างของเทพธิดาอวิ๋นไท่ก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น
ทว่านางกลับทิ้งถ้อยคำหนึ่งไว้ให้หวังลู่
“ซือเสวียนขอบคุณเจ้าล่วงหน้า” …
[1] เช่น เงินและอำนาจที่จะช่วยเหลืองานการของเราได้
[2] จากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง โจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ