ภาคที่ 5 ตอนที่ 29 ทำไม (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 29 ทำไม (1) โดย Ink Stone_Fantasy

ที่สำคัญกว่าก็คือ หวังลู่ไม่เคยได้ยินทักษะบิดงอเวลาจากหนึ่งวันเป็นหนึ่งปีเช่นนี้มาก่อน

สิ่งที่เขาเจออยู่ตอนนี้กับสิ่งที่เขาเรียนในหอเถิงอวิ๋นค่อนข้างตรงข้ามกัน ความจริงแค่เหตุผลง่ายๆ ก็เพียงพอให้เขาสรุปถึงความตรงกันข้ามนี้ได้ ในฐานะวิญญาณของสิ่งมีชีวิต เทพธิดาอวิ๋นไท่ไม่ถือว่าแข็งแกร่ง พลังของนางมากสุดก็เทียบเท่าได้กับผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ สิ่งที่นางทำได้ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยในพันธมิตรหมื่นเซียนก็สามารถทำได้ ทว่าหวังลู่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครมีทักษะที่สามารถบิดห้วงเวลาเพื่อเร่งความเร็วในการพัฒนา

หากทักษะที่ว่ามีอยู่จริง ใครจะยังอยากอุตสาหะบำเพ็ญเซียนอยู่อีก เมื่อเวลามาถึง ผู้อาวุโสก็แค่โยนศิษย์ของตัวเองเข้าห้องแห่งกาลเวลา พวกเขาก็สามารถพัฒนาได้รวดเร็วไม่ต่างจากบะหมี่สำเร็จรูป ความจริงแล้วทักษะนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ หรือแม้แต่ตบะขั้นหลอมรวมที่ทรงพลังก็ยังไม่อาจบิดห้วงเวลาปริมาณมหาศาลได้เลย

ทว่าในฐานะผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ หวังลู่เข้าใจหลักการการยอมรับความจริงได้เป็นอย่างดี แม้ข้อเท็จจริงที่เห็นจะดูไม่ค่อยเข้าท่า แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ

และความจริงในตอนนี้ก็คือหวังลู่รู้สึกถึงการบิดงอของห้วงเวลาได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางระลอกคลื่นบนผิวของทะเลสาบ กระแสของแสงจันทร์ที่เชี่ยวกรากก็คลายตัวลง กลายเป็นแสงที่นุ่มนวลและเบาบางซึ่งร่างกายสามารถดูดซับได้ง่าย กลายเป็นยาบำรุงชั้นดีให้กับพลังวิญญาณขั้นปฐม

หวังลู่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ระหว่างที่แสงจันทร์กำลังหลั่งไหลเข้ามาในร่าง พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็ควบแน่นอย่างรวดเร็ว จากขั้นความว่างเปล่าเก้าส่วนมีตัวตนหนึ่งส่วนกลายเป็นขั้นกึ่งว่างเปล่ากึ่งมีตัวตน วิหารหยกทั้งหมดของเขาก็เหมือนถูกโอบล้อมด้วยม่านสีทอง

หวังลู่วางแผนไว้ว่าเขาคงใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จถึงขั้นนี้… ต้องขอบคุณพรสวรรค์อันล้นเหลือของเขาที่วิหารหยกและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังจากผ่านการบำเพ็ญเซียนมาอย่างหนักหน่วง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งจนควบแน่นพลังวิญญาณขั้นปฐมจากขั้นว่างเปล่าเก้าส่วนมีตัวตนหนึ่งส่วนมาเป็นกึ่งว่างเปล่ากึ่งมีตัวตนในชั่วเวลาเพียงอึดใจเดียว มันก็เหมือนกับที่คนๆ หนึ่งไม่สามารถลดหรือเพิ่มน้ำหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมภายในหนึ่งวันได้

ทว่าด้วยการบิดงอของห้วงเวลา จากหนึ่งวันกลายเป็นหนึ่งปีหรือแม้กระทั่งสองปี ทำให้การเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด

นอกจากพลังวิญญาณขั้นปฐมจะพัฒนาขึ้นแล้ว แก่นของแสงจันทร์ยังช่วยเร่งขั้นตอนในการขัดเกลาร่างของเขา สำหรับเขาซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นสร้างฐานระดับกลาง กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาอยู่ในขั้นที่ต้องการการปรับแต่งความยืดหยุ่นใหม่ ตามคำที่เขาว่ากันว่าอะไรที่แข็งมักอยู่ได้ไม่นาน และแกนแสงจันทร์ก็เป็นยากระดูกชั้นยอดที่สุด ทันทีที่แสงสีเงินกระจ่างซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ก็ค่อยๆ ถูก ‘ปนเปื้อน’ ด้วยชั้นของสีเงินจนกลายเป็นมันวาว กระดูกจักรพรรดิที่ลอยอยู่เหนือวิหารหยกค่อยๆ อ่อนตัวลง และเปล่งลำแสงอ่อนๆ ออกมา

แต่พลังอิทธิฤทธิ์ไม่เพียงพอ…

ทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ เส้นฮวงจุ้ยก็ไหลพล่าน พลังวิญญาณฟ้าดินที่ไม่สิ้นสุดก็ปะทุขึ้น…มันคือพลังปราณฟ้าดินบนเส้นฮวงจุ้ยของเขาอวิ๋นไท่ หวังลู่หัวเราะออกมาทั้งที่พยายามกลั้น การเตรียมการของเทพพธิดาเป็นไปอย่างรอบคอบ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องใด แค่เขาพักผ่อนจิตใจและเพลิดเพลินไปกับโอกาสล้ำค่านี้ ขั้นตบะของเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างงดงาม… จากสภาวะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เป็นไปได้ว่าเขาอาจบรรลุไปถึงขั้นพิสุทธิ์เลยก็ได้

ก่อนที่จะลงจากเขา เขาเพิ่งได้ร่ำเรียนสรรพวิชาต่างๆ เพื่อที่จะบรรลุสู่ขั้นพิสุทธิ์จากผู้เป็นอาจารย์ หากเขาทำตามแต่ละขั้นตอนและเพลิดเพลินกับโอกาสที่ได้รับเงียบๆ ความแข็งแกร่งของเขาย่อมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเขาเชื่อว่าหลิวหลีเองก็เช่นกัน ยามที่คนทั้งสองก้าวผ่านเส้นแดนของตบะขั้นพิสุทธิ์ แม้พวกเขาจะยังไม่อาจรับมือกับราชาพยัคฆ์ในขั้นกำเนิดใหม่ได้ แต่พวกเขาจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเสรี และใช้เขาอวิ๋นไท่เป็นเหตุผลในการก่อกวนอีกฝ่ายได้

ทว่าหวังลู่ไม่ใช่พวกว่านอนสอนง่าย

ขณะที่เท้าของเทพธิดาอวิ๋นไท่ยังคงแตะอยู่ที่ผิวของทะเลสาบเพื่อรักษาการบิดงอของห้วงเวลา หวังลู่ก็ส่งพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาออกไปเพื่อตรวจสอบนาง

ในโลกนี้ไม่มีหรอกความรักที่ไร้เหตุผล แม้เทพธิดาอวิ๋นไท่จะต้องการคนช่วยขับไล่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แต่คนคนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นหวังลู่ แสงจันทร์พันปี รวมทั้งประสบการณ์หนึ่งวันดั่งหนึ่งปีเพียงพอที่จะดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนมากมายให้ยื่นมือเข้ามาช่วย แล้วเหตุใดเทพธิดาอวิ๋นไท่จึงต้องเจาะจงเขาด้วยเล่า

หากข้อตกลงของนางเป็นเพียงการหยิบยื่นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้ หรือได้ใช้แสงจันทร์ในทะเลสาบมรกตส่วนหนึ่ง หวังลู่อาจยอมรับได้ง่ายกว่า ทว่ามันไม่สมเหตุสมผลสักนิดที่นางจะใจกว้างมอบของขวัญเกินความจำเป็นเช่นนี้ แน่ละว่าในมุมของผู้ที่ได้ประโยชน์ใหญ่หลวง หวังลู่ก็ไม่อยากตั้งคำถามที่เกินจำเป็นนี้ แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้

“ทำไม”

เมื่อพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเชื่อมต่อกับนางได้ หวังลู่ก็ถามออกไปตรงๆ

เทพธิดาอวิ๋นไท่ไม่ได้ตอบเขาตรงๆ แต่กลับปลดปล่อยพลังวิญญาณขั้นปฐมของนางออกมา “เจ้าลองดูสิ”

หวังลู่ตกใจแต่แล้วก็พยักหน้า เขาปล่อยพลังวิญญาณขั้นปฐมออกมามากขึ้นแล้วเข้าไปยังโลกของเทพธิดาอวิ๋นไท่

เมื่อเทียบกับคำพูด ฉากในพลังวิญญาณขั้นปฐมของนางมีพลังน่าดึงดูดกว่ามาก

หวังลู่เข้าไปในมุมมองของเทพธิดาอวิ๋นไท่… มันเป็นมุมมองที่พิเศษไม่เหมือนใคร มันไม่ใช่มุมมองอย่างที่หวังลู่คิดไว้ในตอนแรกว่าจะเป็นภาพจากมุมสูงที่เขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ราวกับเป็นมุมมองของนก และไม่ได้เป็นมุมมองที่จำกัดเพียงต้นหญ้าหรือต้นไม้ต้นเดียว แต่มันเหมือนเป็นตารวมของแมลงที่เขาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้หมื่นๆ เหตุการณ์ในคราวเดียวกัน และเหตุการณ์หมื่นๆ เหตุการณ์นี้ก็ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากมุมมองของมนุษย์

มันคือโลกสีขาวนุ่มละมุนที่ไร้มลทิน

โลกสีขาวนี้ย่อมเป็นเขาอวิ๋นไท่ซึ่งวิญญาณภูเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ ทว่าหลังจากที่มองดูมันอยู่พักหนึ่ง มันกลับไม่มีข้อมูลมากพอให้หวังลู่ได้ทำความเข้าใจ ดังนั้นโลกสีขาวจึงแผ่ออกมาเป็นมุมมองของแมลงนับล้านๆ ภาพจนเห็นรายละเอียดต่างๆ ภาพของภูเขานั้นค่อนข้างแตกต่างจากที่หวังลู่เคยเห็น นอกจากบนภูเขาจะไม่มีร่องรอยของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แล้ว ยอดเขาบางยอดก็ยังมีรูปร่างที่แตกต่าง และพลังปราณฟ้าดินก็เต็มไปด้วย ‘กลิ่นของความสดใหม่’

นี่คือ…เขาอวิ๋นไท่เมื่อนานมาแล้วหรือ อย่างน้อยก็น่าจะเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว เพราะเมื่อแปดร้อยปีก่อนมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่เขาอวิ๋นไท่ ทำให้เกิดยอดเขาที่ยื่นขึ้นมาอย่างในปัจจุบัน ทว่าเขาอวิ๋นไท่ที่เขาเห็นในตอนนี้ไม่มียอดเขาดังกล่าว

ก่อนการมาถึงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ผู้ที่ปกครองเขาอวิ๋นไท่คือผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักมังกรขาว พวกเขาพัฒนาสถานที่แห่งนี้มานานกว่าหนึ่งพันปี หวังลู่มองเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนต่างครอบครองถ้ำขนาดกะทัดรัดซึ่งพวกเขาเอาไว้ซึมซับพลังปราณฟ้าดินและพัฒนาขั้นตบะ ขณะเดียวกันเหล่าศิษย์ระดับล่างๆ ก็ออกล่าและรวบรวมอาหารการกินบนภูเขาเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการในการมีชีวิตรอดของทุกคน

หวังลู่รู้สึกสงสัยว่าการ ‘ออกล่า’ จากคนนอกเช่นนี้จะเป็นที่รังเกียจไหม เพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาต้องเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต และเพื่อการบำเพ็ญเซียน พวกเขาปรารถนาที่จะสูบพลังปราณฟ้าดินจนเหือดแห้ง คนพวกนี้ย่อมถูกตราหน้าว่าเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่ชั่วช้า แต่แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เขายังถือว่าดีกว่าอยู่หลายขุม

ทว่าหวังลู่กลับไม่เห็นความเกลียดชังหรือความระทมทุกข์ภายในพลังวิญญาณขั้นปฐมของเทพธิดาอวิ๋นไท่แม้แต่น้อย…

“ทำไมข้าต้องเกลียดด้วย”

เสียงของเทพธิดาอวิ๋นไท่ก้องขึ้นในพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่

“สำหรับข้า พวกเขาก็ไม่ต่างจากนกหรือสัตว์ป่าที่อยู่บนภูเขา เสือกินกระต่าย กระต่ายกินหญ้า หญ้าดูดซึมสารอาหารจากดิน นี่คือกลไกธรรมชาติ”

หวังลู่ยิ้ม “ท่านมองทะลุนัก ช่างเรื่องปากท้องของพวกเขาก่อน แค่เรื่องการดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินจากเส้นฮวงจุ้ยอย่างไม่หยุดหย่อนเพียงอย่างเดียว ท่านก็ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ หรือ”

“ทำไมเจ้าไม่ลองดูสิ่งนี้เล่า”

มุมมองของภาพเปลี่ยนไป จากบนดินมาเป็นใต้ดิน หวังลู่มองเห็นเครือข่ายที่ยืดยาวออกไปจนสุดสายตา สิ่งที่เชื่อมต่อเครือข่ายทั้งหมดคือสายโลหะที่มีขนาดใหญ่จนไม่อาจจินตนาการได้ ซึ่งมีพลังปราณฟ้าดินจำนวนมหาศาลไหลพล่านไปทั่ว

“นี่คือพลังปราณฟ้าดินบนเส้นฮวงจุ้นของเขาอวิ๋นไท่หรือ”

“ถูกแล้ว แม้ข้าจะไม่เห็นว่ามีชั้นของเส้นฮวงจุ้ยที่อยู่ลึกลงไปจากนี้อีกรึเปล่า แต่ชั้นที่พวกเจ้าเข้าถึงได้มีเพียงชั้นนี้เท่านั้น”

จากภาพที่เขาเห็น เส้นเครือข่ายนั้นกระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ละเส้นยังมีเส้นที่แตกแขนงออกไปนับไม่ถ้วน และแต่ละเส้นที่แตกแขนงก็ยังมีเส้นที่แตกแขนงออกไปอีก ส่วนที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งดูดซึมไปเป็นเพียงเส้นที่แตกแขนงของเส้นที่แตกแขนงเหล่านี้เท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับเครือข่ายทั้งหมดบนภูเขา

“อีกอย่างการที่สวรรค์และโลกหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งก็เป็นหลักการของธรรมชาติอยู่แล้ว บนเขานี้นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ยังมีสัตว์ประหลาดและสัตว์ภูตอยู่ด้วย แล้วมีใครบ้างที่ไม่ได้พึ่งพิงพลังปราณฟ้าดินบนเส้นฮวงจุ้ย หากข้าต้องเกลียดชังพวกนั้นทั้งหมด เกรงว่าเขาอวิ๋นไท่แห่งนี้คงจะกลายเป็นภูเขาร้างแน่ๆ”

หวังลู่ตื้นตันไม่น้อย “นี่คือความคิดของวิญญาณภูเขาหรือ คล้ายกับคำพูดที่ว่าโลกนี้โหดร้ายกับทุกสิ่งและมองสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสุนัขและฟางข้าวเลย”

“วิญญาณภูเขาจะเทียบเท่าโลกทั้งโลกได้ยังไง”

หวังลู่กล่าว “เทียบกับโลกทั้งโลกแล้ว เขาอวิ๋นไท่เป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาจะคิดว่าที่นี่เล็กกระจิริดได้ยังไง ไม่แน่สำหรับท่าน แสงจันทร์พันปีนี่ก็อาจไม่ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าด้วยซ้ำ”

เทพธิดาอวิ๋นไท่คลี่ยิ้มบาง “สำหรับข้า มันเป็นเพียงสิ่งที่ข้าสะสมมาเรื่อยๆ ในหนึ่งพันปีที่ผ่านมาเท่านั้น”

“ช่างเป็นความคิดที่น่าเกรงขามนัก” หวังลู่เอ่ยชมอย่างใจจริง

เขาอวิ๋นไท่ไม่ใช่สถานที่โด่งดังในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่จากเครือข่ายใต้ดินของพลังปราณฟ้าดินและมุมมองที่ไม่ยึดติดของเทพธิดาอวิ๋นไท่ มันเป็นสรวงสวรรค์ล้ำค่าหาใดเปรียบอย่างแท้จริง ไม่แปลกเลยที่จะผลิตวิญญาณภูเขาที่มีนิสัยใจคอเช่นนี้ออกมา

“ความจริงข้าก็ไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่เจ้าคิดหรอก แม้ข้าจะเป็นวิญญาณภูเขา แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตด้วย ดังนั้นข้าจึงมีทั้งอารมณ์โกรธ สุข เศร้าและกลัวตายอยู่ไม่น้อย”

หวังลู่สงสัย “กลัว? ข้างใต้เขาอวิ๋นไท่นี้มีเครือข่ายของพลังปราณฟ้าดินมากมาย ทำให้สถานที่แห่งนี้คู่ควรกับการเป็นสถานที่แห่งเซียน ท่านที่เป็นวิญญาณภูเขาของที่นี่ย่อมไม่ตายง่ายดายหรอกน่า”

“วิญญาณภูเขานั้นไม่เหมือนภูเขา ตัวอย่างเช่น… เขาอวิ๋นไท่มีมานับแสนๆ ปีแล้ว แต่ข้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อพันกว่าปีนี่เอง แล้วเจ้าว่าจะไม่มีวิญญาณภูเขามาก่อนหน้านั้นหรือ”

หวังลู่ถามด้วยความสนใจเหลือล้น “ข้าอยากรู้รายละเอียดของเรื่องนี้อีกสักหน่อย”