เล่มที่ 22 เล่มที่ 22 ตอนที่ 634 ซูจิ่นซี ยังไม่เข้ามาอีกหรือ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ฉินเทียนยืนนิ่งด้วยความลังเล

เยี่ยโยวเหยาเอ่ยเสียงเย็นชา “กลับไป! ”

แม้ฉินเทียนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยโยวเหยา ทว่าตอนนี้มีคนอยู่จำนวนมาก! เขาไม่อาจขัดคำสั่งของเยี่ยโยวเหยาต่อหน้าผู้คนมากมาย

เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ฉินเทียนจึงทำได้เพียงเชื่อฟังเยี่ยโยวเหยา และพาขุนพลผีออกไปจากแคว้นหนานหลี

ยามจากไป ฉินเทียนได้พูดบางอย่างที่มีความหมาย

เขาพูดว่า “พี่ ข้ากับสกุลหลานจะรอท่านที่ชายแดน พวกเราจะกลับเมืองหลวงด้วยกัน”

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด มู่หรงฉีก็เช่นกัน

มองเพียงผิวเผิน เหมือนฉินเทียนพูดกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าแท้จริงแล้ว เขาพูดให้มู่หรงฉีฟัง

ความหมายคือ สกุลหลานอยู่ที่ชายแดนแล้ว หากเกิดเหตุอันใดกับเยี่ยโยวเหยา กองทัพสกุลหลานจะบดขยี้แคว้นหนานหลีให้ราบเป็นหน้ากลอง

เหล่าแม่ทัพแคว้นหนานหลีพลันขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ซับซ้อน

มู่หรงฉีได้เตรียมที่พักในวังหลวงไว้ให้เยี่ยโยวเหยา ทว่าซูจิ่นซีไม่ยอม นางให้จิ้นหนานเฟิงหาที่พักกว้างขวางแสนสงบในเมืองเย่หลิน เดิมที ซูจิ่นซีอาศัยอยู่ที่สกุลจง ทว่าเยี่ยโยวเหยายืนกราน นางจึงต้องย้ายไปอยู่กับเยี่ยโยวเหยา

มู่หรงอวิ๋นไห่ที่เพิ่งยึดดินแดนคืนมาได้ มีเรื่องราวภายในวังหลวงให้ต้องจัดการอีกมาก มู่หรงฉีไม่รอช้า เขารีบกลับวังหลวงไปก่อน

สกุลจงก็มีเรื่องให้จัดการเช่นกัน สำนักโอสถไม่มีจงเนี่ยกับจงซูอี้ ทำให้เกิดความวุ่นวาย ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน

เดิมที ซูจิ่นซีควรไปช่วยสกุลจง ทว่าหลังจากนี้นางไม่สามารถอยู่ที่แคว้นหนานหลีได้ตลอดไป และไม่สามารถช่วยเหลือสกุลจงได้ตลอด ดังนั้น เรื่องพวกนี้ต้องให้จงรุ่ยอันและบุตรชายจัดการเอง อย่างไรพวกเขาก็มีความสามารถในด้านนี้

ซูจิ่นซีเพียงขอให้ซูอวี้ไปช่วยเท่านั้น

ซูอี้ยังพอมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องของสกุลซูอยู่บ้าง นอกจากนั้น ซูจิ่นซีมีความคิดให้ซูอวี้และจงเทียนโย่วได้มีโอกาสเชื่อมสัมพันธ์กัน

ส่วนความหมายลึกซึ้งอื่นๆ นั้น ค่อยว่ากันภายหลัง

จิ้นหนานเฟิงพาคนมาทำความสะอาดลานบ้านอย่างรวดเร็ว เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีจึงย้ายเข้ามาอยู่

เดิมที ซูจิ่นซีไม่ได้ตัดสินใจจะย้ายสิ่งของที่สกุลจงมาด้วย ทว่านางไม่คิดเลยว่า ตอนที่เพิ่งเข้าเมือง เยี่ยโยวเหยาได้สั่งให้คนไปยกของที่สกุลจงมาหมดแล้ว

ด้วยเหตุนี้ เมื่อซูจิ่นซีเสร็จจากเรื่องเล็กน้อยข้างนอกและกลับเข้ามาในเรือน นางก็เห็นเหล่าองครักษ์พากันขนย้ายสิ่งของของนางเข้าไปในห้องเยี่ยโยวเหยาอย่างระมัดระวัง

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น ทั้งยังยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ด้วยอารมณ์ซับซ้อน

ซูจิ่นซียืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเหล่าองครักษ์ขนย้ายสิ่งของของนางเสร็จสิ้นและพากันออกไป

แท้จริงแล้ว นางกำลังนึกถึงเรื่องอื่นอยู่

นางนึกถึงตอนที่นางไล่ตามจงซูอี้ และเยี่ยโยวเหยาพูดประโยคนั้น เขาพูดว่า ‘ซูจิ่นซี บัญชีครั้งนี้ ข้าจะจดจำไว้ก่อน’

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ คิ้วของซูจิ่นซีก็ขมวดเข้าหากันเหมือนกับเสี่ยวหลงเปา

ดั่งสุภาษิตที่ว่า หากมีเหามากก็ไม่รู้สึกคัน เป็นหนี้มากก็ไม่ต้องกังวล

ทว่าสถานการณ์ของนางในตอนนี้ จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร?

นางติดหนี้เยี่ยโยวเหยา อีกกี่ปีกี่ชาติจึงจะใช้คืนหมด!

ยิ่งคิด ซูจิ่นซีก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีความหวังในการโต้กลับ

ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังยืนเหม่อลอย หน้าต่างห้องพลันเปิดออก โดยมีเยี่ยโยวเหยายืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด

“ซูจิ่นซี ยังไม่เข้ามาอีก! ”

ซูจิ่นซีกลับมารู้สึกตัวในทันที เมื่อสบตากับเยี่ยโยวเหยานางพลันรู้สึกสันหลังเย็นวาบ จึงรีบหลบสายตา

นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อเดินพ้นประตู ซูจิ่นซีก็เห็นดอกเหอฮวานวางอยู่บนโต๊ะ

มันเป็นต้นอ่อนขนาดจิ๋วที่นางมอบให้เยี่ยโยวเหยา แม้ต้นจะเล็กแต่ก็ยังผลิบาน

เมื่อดอกเหอฮวานผลิบาน จิ่นซีจะมาพบท่าน

ตอนนี้ยังไม่ถึงกำหนดเวลาหนึ่งเดือน! ดอกเหอฮวานยังไม่ผลิบาน ทว่าพวกเขาพบกันหลายครั้งหลายคราแล้ว

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่ยอมเข้ามา ใบหน้าของเขาทวีความเย็นชาเล็กน้อย เขาเดินไปที่เตียงอย่างเชื่องช้า และทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง

“ซูจิ่นซี ยังไม่มานี่อีก! ”

ซูจิ่นซีตกใจอีกครั้ง

เมื่อมองตำแหน่งที่เยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ และมองใบหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งของเขา นางก็อดนึกถึงภาพในคืนวันที่ถูกเยี่ยโยวเหยาทำภารกิจตั้งแต่เช้ายันค่ำจนฟ้าเหลืองไม่ได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เท้าของซูจิ่นซูก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทว่าใบหน้าของนางยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“แหะ แหะ ท่านอ๋อง ท่านเดินทางมาไกล คงเหน็ดเหนื่อยและหิวมากกระมัง? เมื่อครู่ตอนที่เดินเข้ามา จิ่นซีเห็นในเรือนมีครัวเล็กๆ หม่อมฉันไปทำอันใดให้ท่านเสวยดีกว่าเพคะ”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็ไม่รอให้เยี่ยโยวเหยาเปิดปาก นางรีบหมุนตัวและวิ่งออกไปนอกประตู

เยี่ยโยวเหยาเห็นท่าทางเช่นนั้นของซูจิ่นซี ดวงตาพลันถมึงทึง “หยุด! ”

ฝีเท้าของซูจิ่นซีราวกับถูกสะกดไว้ ทันใดนั้น นางก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทว่าร่างกายกลับแข็งทื่อในท่าเอนตัวไปข้างหน้า

‘ตึก… ตึก… ตึก… ’

เสียงฝีเท้าของเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามาหานางจากทางด้านหลังทีละก้าว เสียงนั้นราวกับเสียงค้อนหนักที่ทุบลงบนหัวใจของซูจิ่นซีไม่หยุด ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก เวลาเพียงสิบวินาที หน้าผากของซูจิ่นซีก็มีเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมาเป็นชั้นๆ

ในที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็หยุดยืนอยู่ข้างหลังซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาคงพูดหรือทำอันใดบางอย่างกับนางเป็นแน่ ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่พูดอันใด

เขาจับมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล และหมุนให้ร่างของนางหันกลับมา ก่อนจะจับมือของนางไว้ และพาเดินเข้าไปในห้องอย่างเชื่องช้า ทิศทางที่เดินไปคือเตียงขนาดใหญ่

ซูจิ่นซี… ตอนนี้เหมือนตายไปแล้วจริงๆ

นางต้องการต่อต้าน ต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทั้งต้องการขัดขืนและปฏิเสธ

ทว่านางฉลาดพอจะรู้ว่า หากตอนนี้นางขัดขืน ไม่เชื่อฟัง ปฏิเสธ ต่อต้าน หรือกระทำอันใดเพื่อจัดการเยี่ยโยวเหยา ก็ไม่ต่างจากการถอนขนใต้คางเสือ ผลที่ตามมา… ย่อมร้ายแรงอย่างมาก

ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงยอมให้เยี่ยโยวเหยาจูงมือเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง พลางเม้มริมฝีปากแน่นและไม่พูดอันใด

เยี่ยโยวเหยานั่งบนปลายเตียง เขาจงใจยื่นขาข้างหนึ่งออกมา ความหมายชัดเจนคือ ให้ซูจิ่นซีนั่งลงบนตักของเขา

ใบหน้าซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางเม้มริมฝีปากและนั่งลงด้านข้างเยี่ยโยวเหยา ทั้งยังจงใจขยับไปด้านข้างเขา

เยี่ยโยวเหยาเหลือบตามองซูจื่นซีที่จงใจรักษาระยะห่างระหว่างกัน พลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยารู้สึกอย่างไร ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกตื่นเต้น อึดอัด ตกประหม่า และหายใจไม่ออก

นางจงใจหาเรื่องสนทนา “ท่านอ๋อง ท่านมาได้อย่างไร? เรื่องแคว้นซีอวิ๋นแก้ไขได้แล้วหรือเพคะ? ”

“อืม! ”

“เรื่องในราชสำนักแคว้นจงหนิงเรียบร้อยแล้วหรือเพคะ? ”

“อืม! ”

“ท่านอ๋องจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น ก็ตรงมาที่แคว้นหนานหลีเลยหรือเพคะ? ”

“อืม! ”

“ทั้งยังนำกองทัพสกุลหลานและขุนพลผีมาด้วย นี่หาใช่เรื่องบังเอิญใช่หรือไม่เพคะ? ท่านต้องรู้สถานการณ์ของแคว้นหนานหลีล่วงหน้าเป็นแน่ ให้จิ่นซีเดา ท่านรู้สถานการณ์ของที่นี่ เพราะในเมืองเย่หลินมีสายลับของท่านใช่หรือไม่? อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสายลับ ก็คงไม่ทราบเรื่องราวอย่างละเอียดถึงเพียงนั้น ทั้งยังคำนวณเวลามาถึงได้ถูกต้อง ต้องเป็นมู่หรงฉีที่จงใจเปิดเผยข่าวให้ท่านทราบเป็นแน่! ”

ซูจิ่นซีไม่ได้โง่ เรื่องนี้ หากคิดอย่างรอบคอบก็สามารถเข้าใจได้

ทว่าหลังจากที่นางพูดจบ ก็พบว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยามีความผิดปกติเล็กน้อย

…….