หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็พบว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังไม่หายผิดปกติ
ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาจ้องมองดวงตาของนาง เขาไม่ส่งเสียง ไม่พูดจา ทั้งนัยน์ตายังมีแสงริบหรี่เล็กน้อย สำหรับซูจิ่นซีแล้ว ช่างเป็นประกายที่อันตรายยิ่งนัก
ซูจิ่นซีหัวใจสั่นไหว นั่งไม่ติดที่
“ท่านอ๋องเร่งรีบเดินทาง ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่! ท่านอ๋องดื่มน้ำก่อน จิ่นซีจะไปทำอาหารให้ท่าน”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็คิดจะปลีกตัว ทว่านางยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน เยี่ยโยวเหยาก็คว้าข้อมือนางไว้แน่น และดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
ซูจิ่นซีส่งเสียงต่ำด้วยความตกใจ ทั้งยังไม่ทันมองอันใดได้ชัดเจน เยี่ยโยวเหยาก็กอดนางและหมุนตัวลงไปที่เตียงอย่างสวยงาม
จริงๆ เลย… กังวลสิ่งใด ได้สิ่งนั้น เกลียดสิ่งใดที่สุด ย่อมได้สิ่งนั้น
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของซูจิ่นซีคือ ใช้มือปิดปากเยี่ยโยวเหยาเอาไว้
เยี่ยโยวเหยาสบตาซูจิ่นซี พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซูจิ่นซีกะพริบตาปริบๆ “ท่านอ๋อง เอ่อ… จิ่นซี… จิ่นซีรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เอ่อ… เอ่อ… ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ออกแรงขบนิ้วมือของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เยี่ยโยวเหยาคลายริมฝีปากออก ซูจิ่นซีจึงรีบชักมือกลับ
“ซูจิ่นซี ผู้ใดให้เจ้าบังอาจโป้ปดข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ซูจิ่นซีพลันนึกขึ้นได้ว่า ครั้งก่อนที่เยี่ยโยวเหยามายังแคว้นหนานหลีนั้น นางใช้วิธีนี้แกล้งเยี่ยโยวเหยา เห็นได้ชัดว่า ‘ข้อแก้ตัว’ นี้ใช้ไม่ได้ผลกับเยี่ยโยวเหยาแล้ว
นางกัดริมฝีปาก ทว่ายังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋อง จิ่นซีพูดความจริง จิ่นซีไม่สะดวก ท่านก็… เมตตาจิ่นซีเถิด! ”
ขณะที่พูด ซูจิ่นซีก็กะพริบตาปริบๆ ให้เยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาออดอ้อน
ทว่านางไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นท่าทางของนางแล้ว ไฟราคะภายในดวงตายิ่งโหมกระหน่ำขึ้น
“จริงหรือ? ” เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เชื่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ให้ข้าพิสูจน์ดูเสียหน่อยเป็นไร”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางเอื้อมมือไปปลดสายรัดเอวของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีพลันตื่นตระหนก ประตูก็ยังไม่ได้ปิด! หากองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกมีเรื่องมารายงาน เพียงพวกเขายืนอยู่หน้าประตูก็เห็นแล้วว่าด้านในเกิดอันใดขึ้น
เยี่ยโยวเหยาโบกมือใช้กำลังภายในปิดประตู จากนั้นจึงปลดม่านเตียงลงมาอย่างง่ายดาย
ซูจิ่นซีเหม่อมองหลังคาเตียงอย่างหมดหวัง กลีบปากเย็นยะเยือกของเยี่ยโยวเหยาโน้มลงมาใกล้ริมฝีปากสีอิงเถาของซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น… การเคลื่อนไหวของเยี่ยโยวเหยาก็หยุดลง เขาจ้องซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชา สิ้นหวัง และหงุดหงิดเล็กน้อย
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พลางขมวดคิ้วแผ่วเบาด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ท่านอ๋อง จิ่นซีไม่ได้ตั้งใจ! จิ่นซีบอกท่านแล้วว่าไม่สบายตัว เป็นท่านที่ต้องการ… ”
มุมปากเย็นเฉียบของเยี่ยโยวเหยาสั่นสะท้าน ความอดกลั้นอย่างหนักและเปลวเพลิงแห่งไฟราคะที่ลุกโชนกำลังแผ่ซ่าน
พูดตามตรง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีต้องการหัวเราะเสียจริง ทว่าเวลานี้ นางไม่กล้าพอที่จะหัวเราะเยี่ยโยวเหยา
นางจึงกลบเกลื่อนความสุขทั้งหมดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เยี่ยโยวเหยาผละออกจากร่างของซูจิ่นซีอย่างอับจนหนทาง ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
คล้อยหลังเยี่ยโยวเหยา ในที่สุด มุมปากของซูจิ่นซีก็เผยรอยยิ้มออกมา
ท่าทางอดทนอดกลั้นของเยี่ยโยวเหยา ช่างน่าขันเสียจริง
ทว่านางฉีกยิ้มได้ไม่นานนัก ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็หันหลังกลับมา สีหน้าของซูจิ่นซีพลันแข็งทื่อ
“ซูจิ่นซี เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงหัวเราะเยาะข้า? ”
ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้นนั่ง และปัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงไปไว้ที่ปลายเตียง “ท่านอ๋อง จิ่นซีจะกล้าได้อย่างไร! ต่อให้ท่านอ๋องให้ความกล้าแก่จิ่นซี จิ่นซีก็ไม่กล้าหัวเราะเยาะท่าน! ”
แม้ปากจะบอกว่าไม่กล้า ทว่านางไม่อาจปิดบังรอยยิ้มที่หางคิ้วได้
มือของเยี่ยโยวเหยาที่ค้ำอยู่บนขอบเตียงกดไปที่ร่างของซูจิ่นซี ดวงตาดำขลับลึกล้ำแฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย
“ซูจิ่นซี หากเจ้ายังกล้าหัวเราะเยาะ ก็อย่าโทษที่ข้าลงโทษเจ้า โดยไม่เห็นแก่ร่างกายที่เจ็บป่วยของเจ้า”
ซูจิ่นซีไม่กล้าหัวเราะอีกแล้ว รอยยิ้มของนางหุบลงอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งนางกลั้นไว้เท่าไร ก็ยิ่งกลั้นไว้ไม่อยู่ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากของนางอย่างช่วยไม่ได้
ท่าทางของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเย็นชาเล็กน้อย เขาโน้มตัวไปข้างหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หืม? ”
ซูจิ่นซีตกใจจนหลับตาปี๋ ทว่าไม่อาจปกปิดรอยยิ้มบนมุมปากของนางไว้ได้ เช่นเดียวกับไฟปรารถนาและความอดกลั้นในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้เช่นกัน
นางหันศีรษะไปด้านข้างเพื่อไม่ให้จมูกของตนสัมผัสกับจมูกของเยี่ยโยวเหยา
“จิ่นซีเชื่อว่าท่านอ๋องจะไม่ทำเรื่องหยาบคายเช่นนั้น! ”
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาแสดงออกอย่างน่าหลงใหล มุมปากของเขากระตุกอย่างแรง นิ้วมือที่ค้ำอยู่บนเตียงก็กำเข้าหากันแน่น
“ซูจิ่นซี นี่เจ้ากำลังเล่นตลกกับข้าหรือ? ”
ร่างกายของซูจิ่นซีสั่นสะท้าน ดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองข้างยิ่งปิดเข้าหากันแน่น
นางไม่อาจกลั้นยิ้มได้จริงๆ จึงปิดตาไม่มองเยี่ยโยวเหยา หากนางจ้องหน้าเยี่ยโยวเหยา นางต้องอดขำไม่ได้เป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าท่าทางเช่นนี้ของนาง เย้ายวนเยี่ยโยวเหยามากเพียงใด
เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย เสื้อผ้ายับย่นไปกว่าครึ่ง แม้จะหันใบหน้าไปด้านข้าง ทว่าผิวที่ลำคอขาวดั่งหยก ขับเน้นให้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ยังมีท่าทางเช่นนั้นของนาง ท่าทางดื้อรั้น ท่าทีออดอ้อนเล็กน้อย และเสน่ห์ของสตรีที่สามารถพบเห็นได้หลังแต่งงานเท่านั้น
สำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้ว นี่คือสายใยแห่งความรัก
ทำให้เวลานี้ เยี่ยโยวเหยาไม่อาจจัดการนาง
ไฟปรารถนาในกายของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังลุกโชนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขารู้สึกเพียงลำคอแห้งผาก ร่างกายร้อนผ่าวราวกับไฟไหม้ คิดอยากหาทางระบายโดยด่วน
เขากลืนน้ำลาย ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าตัวซูจิ่นซีมา
“อ๋า… ”
ซูจิ่นซีสูญเสียการทรงตัว นางเอนตัวไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะกางมือกอดคอเยี่ยโยวเหยาไว้ด้วยความหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คาดคิดเลยว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ทำอันใด เขาทำเพียงจูบหน้าผากของนางแผ่วเบา หลังจากนั้นก็แนบหน้าผากของตนกับหน้าผากของนาง
“จิ่นซี หลายวันมานี้ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
ภายใต้การจุมพิตอันแผ่วเบาของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีรู้สึกเพียงทั่วทั้งร่างวูบวาบ ประโยคนั้นทำให้หัวใจของนางเต้นแรง จมูกและดวงตาทั้งสองข้างแสบร้อนเล็กน้อย
“จิ่นซี ข้ารอให้ดอกเหอฮวานผลิบานไม่ไหว จึงล่วงหน้าเดินทางมาหาเจ้า”
สงครามแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นได้รับการแก้ไขแล้วหรือ?
หากคำนวณตามเหตุผลแล้ว สงครามระหว่างแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋นต้องยืดเยื้อแน่นอน
เวลานี้ กลางฤดูร้อนได้ผ่านพ้นไปแล้ว หากสงครามระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นยืดเยื้อออกไป เป็นไปได้ว่าอาจสู้รบกันจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า
หากเป็นเช่นนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น?
ระยะเวลาหนี่งเดือนที่รอให้ดอกเหอฮวานผลิบาน เยี่ยโยวเหยาไม่อาจสงบใจได้เลย เขารู้สึกว่าระหว่างนั้น อาจมีบางอย่างเกิดขึ้น จึงเร่งแก้ปัญหาเรื่องสงครามระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋น และล่วงหน้าเดินทางมาหาซูจิ่นซี
นางไม่มาหา เขาจึงมาหานางเอง
หากจับใจความสำคัญทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้ว สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ด้านใน คือหัวใจอันเร่าร้อนของบุรุษเลือดเย็นผู้หนึ่ง
และทั้งหมดนี้ ซูจิ่นซีจะเข้าใจมากน้อยเพียงใด?