พวกเขาทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน จิตใจของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ความทุ่มเทแสนล้ำค่าของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
นางกระชับมือที่โอบรอบลำคอของเยี่ยโยวเหยาให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
“เยี่ยโยวเหยา รอจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเรากลับแคว้นจงหนิงดีหรือไม่? ความขัดแย้งของทั้งสี่แคว้น จิ่นซีจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับท่าน ใต้หล้าสงบสุข จิ่นซีจะอยู่กับท่านไปจนแก่เฒ่า พวกเรา… จะไม่แยกจากกันตลอดชีวิต”
ในห้องที่เงียบสงัด ผ้าม่านพลิ้วไหว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ภายในห้องสลัวเล็กน้อย แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องเข้ามายังหน้าต่างบานใหญ่ ส่องกระทบกระถางดอกเหอฮวานที่วางอยู่บนโต๊ะ
กิ่งก้านและตาดอกของดอกเหอฮวานค่อยๆ ผลิบานรับแสงอาทิตย์ยามอัสดง ราวกับมันเป็นพยานแห่งรักของคนทั้งสองที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงเย็นชาอันไพเราะของบุรุษพลันดังขึ้น
“ตกลง! ”
“ท่านอ๋อง พระชายา ฉีอ๋องเสด็จมา บอกว่ามีเรื่องให้พระชายาช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์ที่อยู่ด้านนอกดังขึ้น
เยี่ยโยวเหยาไม่ยอมปล่อยมืออยู่นาน ซูจิ่นซีจึงผลักเขาออก “มู่หรงฉีมา ปล่อยมือเพคะ! ”
“มาหาคราวนี้ มีเรื่องดีอันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดของวังหลวง ฉีอ๋องควรอยู่ช่วยมู่หรงอวิ๋นไห่สะสางปัญหาในวัง เหตุใดจึงมาพบซูจิ่นซีอย่างกะทันหัน?
ซูจิ่นซีคิดว่า มู่หรงฉีมาหานางด้วยตนเองครั้งนี้ ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่
“หม่อมฉันขอไปดูก่อน หากไม่มีเรื่องสำคัญ มู่หรงฉีคงไม่มาด้วยตนเอง”
เยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการห่างจากซูจิ่นซี แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยนางไป
ซูจิ่นซีลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ท่านอ๋องจะไปด้วยกันหรือไม่? ”
“ไม่ไป! ” เยี่ยโยวเหยาตอบอย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่เขาอยู่แคว้นหนานหลี ก็เพื่อรอซูจิ่นซีกลับแคว้นจงหนิงด้วยกัน ส่วนเรื่องภายในของแคว้นหนานหลี… ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะเข้าไปวุ่นวาย
เมื่อเขาเต็มใจเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวภายในของแคว้นหนานหลี มันต้องเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเปิดเผย
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ซูจิ่นซีจึงไปพบมู่หรงฉี ทว่าตอนที่นางเดินมาถึงหน้าประตู นางกลับหันหลังไปแย้มยิ้มให้เยี่ยโยวเหยา
เมื่อนึกถึงใบหน้าอดกลั้นของเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่ ซูจิ่นซีอยากจะหัวเราะเสียจริง
เยี่ยโยวเหยาชักสีหน้าด้วยท่าทางเย็นชา ซูจิ่นซีตกใจและรีบเดินหายไป ไม่เห็นแม้เงา
เมื่อมองไปยังทิศทางที่ซูจิ่นซีเดินจากไป มุมปากของเยี่ยโยวเหยาจึงเผยรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า
เขาโบกมือเรียกองครักษ์เงา
“ไป! ไปเอาน้ำเย็นมา! ”
องครักษ์เงาสับสน ตอนนี้อากาศไม่ร้อนแล้ว! ทั้งยังใกล้มืดอีกด้วย อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ท่านอ๋องจะเอาน้ำเย็นไปทำอันใด?
ต้องเอามาดับความร้อนภายในร่างกายเป็นแน่!
สถานการณ์เช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาวาจาดั่งทองพันชั่ง เขาจะบอกองครักษ์เงาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม องครักษ์เงาไม่ได้ถามอันใดมาก และรีบไปเตรียมน้ำเย็นมาให้เยี่ยโยวเหยาทันที
มู่หรงฉีนั่งรออยู่ในห้องรับแขก เมื่อซูจิ่นซีมาถึง ใบหน้าของเขาพลันปรากฏความร้อนรน ก่อนที่ซูจิ่นซีจะเอ่ยปากถาม เขาก็รีบกล่าวว่า “จิ่นซี ตามข้าไปช่วยคนเร็ว”
มู่หรงฉีพูดพลางคว้ามือซูจิ่นซี และพาเดินตรงออกไปทางประตู
ซูจิ่นยืนนิ่งไม่ขยับ หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย “ช่วยผู้ใด? ”
มู่หรงฉีหันกลับมาด้วยท่าทีอักอ่วนเล็กน้อย “เจ้ารู้จักดี หลิงเซียว”
“ไม่ช่วย! ” ซูจิ่นซีตอบทันควัน
มู่หรงฉีรู้ดีว่าซูจิ่นซีคงไม่ช่วยหลิงเซียว เขาจึงมาด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
“จิ่นซี นับว่าพี่ติดหนี้บุญคุณเจ้า เจ้าอย่าได้คลางแคลงใจในสถานะของนางเลย ถือว่าช่วยคนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน คนเป็นหมอควรมีจิตใจเมตตามิใช่หรือ? ”
ซูจิ่นซีนั่งลงบนเก้าอี้ พลางรินน้ำชาให้ตนเอง “ข้าพูดว่าหมอจิตใจดี ในฐานะหมอ หากช่วยคนดีนับว่าเป็นหน้าที่ เป็นบุญกุศล ทว่าหากช่วยคนชั่ว ก็เป็นการทำชั่ว ทั้งยังช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าใสซื่อของหลิงเซียวคือจิตใจที่ดำมืด นางจึงไม่คิดช่วยชีวิตหลิงเซียว
“จิ่นซี พี่ต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมช่วยหลิงเซียว? ”
“ข้าช่วยนางไม่ได้! ” ซูจิ่นซีมีท่าทางแน่วแน่
แววตาของมู่หรงฉีปรากฏความผิดหวัง เขาใช้มือค้ำโต๊ะและนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี
“มู่หรงฉี ท่านชอบพอหลิงเซียวหรือ? ”
“ไม่! ” มู่หรงฉีตอบอย่างจริงใจ “จิ่นซี เจ้าก็รู้ว่าจงซูอี้กับบุตรชายทำเรื่องไม่ดีไว้ ทั้งยังกระทำผิดต่อสกุลมู่หรงของพวกเรา ทว่าหลิงเซียว… พูดได้ว่านางบริสุทธิ์ที่สุด และครั้งนี้เป็นพวกเราที่หลอกใช้นาง พี่ติดค้างนาง ข้ากับหลิงเซียวโตมาด้วยกัน ข้าดูแลนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง นางเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ก็เพราะข้า ข้าทำเป็นไม่สนใจนางไม่ได้”
ซูจิ่นซีเห็นได้จากสายตาของมู่หรงฉี เขาไม่ได้พูดปด เรื่องเช่นนี้ เขาไม่มีทางพูดปด
ทว่าซูจิ่นซีมีเส้นแบ่งชัดเจน คนอย่างหลิงเซียวจวิ้นจู่ นางไม่สามารถช่วยเหลือได้
“ท่านไปหาจงรุ่ยอันเถิด! เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้”
“จงรุ่ยอันตรวจแล้ว เขาก็ไม่มีวิธีช่วยเหลือเช่นกัน”
กระทั่งจงรุ่ยอันยังไม่มีวิธีช่วย?
หลิงเซียวป่วยด้วยโรคอันใดกัน?
มู่หรงฉีเล่าสถานการณ์ของหลิงเซียวจวิ้นจู่ให้ซูจิ่นซีฟังอีกครั้ง และสรุปเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นในตำหนักฉินเจิ้งให้นางฟัง
หากซูจิ่นซีคาดเดาไม่ผิด หลิงเซียวจวิ้นจู่คงเป็นบ้าไปแล้ว
“ท่านไปหาซูอวี้เถิด! บอกว่าข้าให้เขาไปดูหลิงเซียวจวิ้นจู่ เขาต้องไปแน่ สถานการณ์ของหลิงเซียวในตอนนี้ ต่อให้ข้าไปก็ไม่มีวิธีรักษา แม้อวี้เอ๋อร์จะอายุยังน้อย ทว่าพรสวรรค์ด้านการแพทย์ของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป บางทีเขาอาจมีวิธี”
มู่หรงฉีเข้าใจซูจิ่นซีดี ซูจิ่นซีพูดมาถึงเพียงนี้แล้ว นางไม่ช่วยรักษาหลิงเซียวเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอันใดอีก
ก่อนจากไป เขาพูดกับซูจิ่นซีว่า “จิ่นซี ในพระทัยของเสด็จพ่อยังมีธิดาเช่นเจ้า หลายปีมานี้ เขาทนทุกข์ทรมานอยู่ในดินแดนต้องห้ามสกุลจง ดังนั้น… เจ้าอย่าได้โทษเขาในเรื่องเหล่านี้เลย”
ซูจิ่นซีทำเพียงยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอันใด
เมื่อซูจิ่นซีกลับมาที่ห้องอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาก็กำลังจัดการกับเอกสารราชสำนักอยู่ที่โต๊ะทรงอักษร
เยี่ยโยวเหยาเพิ่งชำระร่างกายเสร็จ บนร่างกายสวมเพียงเสื้อคลุมบางเบาเนื้อผ้าชั้นดี ชายเสื้อและปลายแขนเสื้อของเขาไม่ได้ผูกปม เช่นเดียวกับเส้นผมที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว ปกเสื้อที่ทับกันเปิดออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อด้านหน้าสีแทนอันทรงเสน่ห์เย้ายวน
ซูจิ่นซียืนมองอยู่ตรงประตู นางเม้มริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ห้องเดียวกับเยี่ยโยวเหยา
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน การอยู่ห้องเดียวกับเยี่ยโยวเหยาในเวลานี้ ต้องมีผลลัพธ์ที่ร้ายแรงและอันตรายตามมาอย่างแน่นอน
ตอนที่ตัดสินใจว่าต้องอยู่ที่เมืองเย่หลิน เยี่ยโยวเหยาได้ส่งคนไปรับแม่นมฮวาและลวี่หลีที่จวนนอกเมือง
คนที่เยี่ยโยวเหยาส่งไป จัดการเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ในเวลาไม่กี่ชั่วยาม พวกเขาก็พาตัวแม่นมฮวาและลวี่หลีมาส่ง
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แม่นมฮวาจึงแย้มยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหู
“พระชายา กลับมาเจอกันครั้งนี้ พระองค์กับท่านอ๋องจะไม่พรากจากกันอีกแล้ว ใช่หรือไม่เพคะ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับถามว่าแม่นมฮวาต้องการพูดสิ่งใด
แม่นมฮวาแย้มยิ้ม “แหะ แหะ พระชายา พระองค์กับท่านอ๋องอภิเษกกันได้สักระยะหนึ่งแล้ว หากไม่แยกจากกันก็ลองพิจารณาเรื่องให้กำเนิดองค์ชายน้อยแด่ท่านอ๋องเถิดเพคะ! “