ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “แม่นมฮวา เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน? ”
แม่นมฮวายังคงแย้มยิ้ม “พระชายา แม้พระองค์และท่านอ๋องจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ทว่าพระชนมายุไม่น้อยแล้วนะเพคะ! ถึงเวลามีองค์ชายน้อยได้แล้ว หากพระองค์ประสูติองค์ชายน้อย ท่านอ๋องจะต้องชอบพระทัยเป็นแน่”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ซูจิ่นซีก็พบว่าสายตาของลวี่หลีมีความผิดปกติเล็กน้อย
ใบหน้าของแม่นมฮวาก็มีความผิดปกติเช่นกัน รอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ซูจิ่นซีคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันหลังกลับทันที และเห็นเยี่ยโยวเหยาที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนอยู่ข้างหลังนาง
โอ้ สวรรค์!
เยี่ยโยวเหยามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร? วาจาไร้สาระของแม่นมฮวานั้น เขาได้ยินทั้งหมดหรือ?
ใบหน้าของซูจิ่นสีพลันแดงก่ำ นางหันกลับมาตำหนิแม่นมฮวา “แม่นมฮวา! ”
แม่นมฮวายังคงแย้มยิ้ม ก่อนจะเดินไปยังห้องครัวเล็ก “แหะ แหะ พระชายา มีอันใดก็คุยกับท่านอ๋องเองเถิดเพคะ แม่นมไปทำความสะอาดห้องครัวก่อน จะได้ทำสำรับมื้อดึกให้พระองค์กับท่านอ๋องเพคะ”
พูดจบ แม่นมฮวาก็หันหลังเดินตรงไปยังห้องครัวเล็กทันที ทว่าเดินไปได้สองก้าว นางก็หันกลับมาเห็นลวี่หลียืนโง่งมอยู่กับที่ไม่ขยับ จึงรีบลากลวี่หลีไปด้วย
“เด็กโง่ มาทางนี้ อย่าอยู่เป็นก้างขวางคอพระชายากับท่านอ๋อง! ”
หญิงชราผู้นี้ช่างมีความคิดสัปดนเสียจริง!
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว พลางจ้องไปที่แผ่นหลังของแม่นมฮวาด้วยความไม่พอใจ
ในเรือนเหลือเพียงซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา
เสื้อผ้ายับย่นบนร่างของเยี่ยโยวเหยา ไม่เพียงไม่ส่งผลต่อบุคลิกและความงามของเขาเท่านั้น ทว่ายังมีความงดงามและยั่วยวนอย่างมากอีกด้วย
วันนี้ซูจิ่นซีสวมชุดสีขาวหิมะ เสื้อผ้าและสายคาดเอวปลิวลู่ลม ยิ่งขับเน้นให้ซูจิ่นซีดูราวกับเทพเซียน
คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกคนยืนอยู่ด้านหนึ่ง พวกเขาสบตากันด้วยความเงียบ
แสงจันทร์สาดส่อง ดวงดาวทอประกายระยิบระยับ ช่วงเวลาอันแสนสงบ ทุกอย่างช่างลงตัวเสียจริง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาจึงเดินเข้ามาจูงมือซูจิ่นซี และพาเดินตรงไปยังศาลาร่มเย็นของเรือน
เรือนที่จิ้งหนานเฟิงหามานี้ คล้ายคลึงกับเรือนชิงโยวเล็กน้อย มีเรือนสองหลังอยู่ตรงข้ามกัน ตรงกลางมีโต๊ะหิน ทั้งยังมีสนามหญ้าเล็กๆ ที่ปลูกดอกไม้และต้นไม้นานาพรรณ ไม่ไกลจากสวนดอกไม้มีศาลาร่มเย็นอยู่หลังหนึ่ง รอบบริเวณเป็นทะเลสาปขนาดเล็ก
แสงจันทร์กระทบผิวน้ำ เกิดเป็นแสงสะท้อนระยิบระยับ
ทันทีที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยานั่งลง จิ้นหนานเฟิงก็รีบสั่งให้คนนำกาน้ำชาและจอกชามาให้ซูจิ่นซี
ถ้วยชาชุดนี้เป็นถ้วยชาชุดโปรดของเยี่ยโยวเหยา ไม่ว่าจะไปที่ใด เยี่ยโยวเหยาจะให้คนนำไปด้วย ขอเพียงมีเวลาว่าง เขาก็จะชงชาดื่ม
แน่นอนว่าชาคือสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาโปรดปรานอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาผู้นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
อย่างแรกคือ เขาโปรดสุราตู้คัง ทว่าไม่เคยดื่มจนเมา ทุกครั้งจะละเมียดละไมจิบชิมอย่างเชื่องช้า
อีกอย่างคือชา เมื่อเทียบกับสุราแล้ว เยี่ยโยวเหยาโปรดการดื่มชามากกว่า เขาติดชา
เยี่ยโยวเหยาชงชาอย่างชำนาญให้ซูจิ่นซีหนึ่งจอก และชงให้ตนเองหนึ่งจอก
ซูจิ่นซียังคงหมกมุ่นอยู่กับคำพูดเมื่อครู่ของแม่นมฮวา นางยังรู้สึกเขินอาย ทั้งยังคิดว่า หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น เยี่ยโยวเหยาต้องพูดอันใดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดเลยว่า เยี่ยโยวเหยาจะไม่พูดสิ่งใด
เขาเพียงจิบชากับนางอย่างเงียบงัน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงถามขึ้นว่า “เยี่ยโยวเหยา ท่านชอบเด็กหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีคิดว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนเงียบงันเกินไป จึงหาหัวข้อมาสนทนา กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะชะงัก มือที่ถือจอกชาสั่นเทาเล็กน้อยยามฟังซูจิ่นซีพูด ทำให้น้ำชาในจอกไหลลงมาตามฝ่ามือ
ซูจิ่นซีจ้องมองอย่างตกตะลึง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจึงตอบกลับมา
เยี่ยโยวเหยาคงเหมือนกับนางที่ไม่เคยนึกถึงคำถามเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะมีท่านอ๋องน้อย
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางพูดคุยเกี่ยวกับแสงจันทร์และดวงดาวของเรือนชิงโยว คุยเรื่องสงครามระหว่างแคว้นซีอวิ๋นและแคว้นจงหนิง คุยเรื่องภายในของแคว้นจงหนิง ทั้งยังคุยเรื่องของสกุลหนานกงและสกุลหลาน
ไม่คิดเลยว่า ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เยี่ยโยวเหยาจะแก้ไขเรื่องราวของแคว้นซีอวิ๋นได้
ทั้งยังเป็นเรื่องของสงคราม
วันที่แคว้นซีอวิ๋นและแคว้นจงหนิงทำสงครามกัน เยี่ยโยวเหยาร่วมรบด้วยตนเอง เขานำขุนพลผี กองทัพสกุลหลาน และทหารหน่วยตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นจงหนิง พวกเขาไม่เพียงรบชนะกองทัพแคว้นซีอวิ๋นและกองทัพหนานกงเท่านั้น ทว่ายังโจมตีไปถึงเมืองหลวงของแคว้นซีอวิ๋นโดยตรง และเข้ายึดพระราชวังแคว้นซีอวิ๋นได้อีกด้วย
อีกฐานะหนึ่งของฮูหยินปิงจีคือ ไทเฮาแห่งแคว้นซีอวิ๋น ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน นางได้เข้ามาสอดแนมในแคว้นซีอวิ๋น
สกุลหนานกงจงรักภักดีต่อจักรวรรดิและราชวงศ์ต้าฉินจากรุ่นสู่รุ่น
เดิมที พลังทั้งสองสายนี้ฝังรากอยู่ที่แคว้นซีอวิ๋น เพื่อช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยาขจัดอุปสรรคในการฟื้นฟูจักรวรรดิของแคว้นซีอวิ๋น อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสำคัญนั้น ฮูหยินปิงจีจะร่วมมือกับสกุลหนานกงเพื่อจัดการเยี่ยโยวเหยา และบังคับเขา คนเช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาจะปล่อยไปได้อย่างไร?
ในวันที่เมืองแตกพ่าย เยี่ยโยวเหยารับสั่งให้คนจับตัวฮูหยินปิงจีและคนสกุลหนานกงทั้งหมด ทั้งยังเรียกคืนสิทธิ์ในการดูแลตำหนักเสวียนปิง ก่อนจะยกตำหนักเสวียนปิงให้ฉินเทียนดูแลชั่วคราว
ฮูหยินปิงจีและทุกคนในสกุลหนานกงถูกขังไว้ที่วิหารวิญญาณ
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ซูจิ่นซีรู้สึกตกใจอย่างมาก ทว่าในทางกลับกัน นางก็มีความสุขแทนเยี่ยโยวเหยา
อุปสรรคของแคว้นซีอวิ๋น ในที่สุดก็ได้รับการถอนรากถอนโคนเสียที เยี่ยโยวเหยาได้เริ่มก้าวแรกในการรวบรวมอาณาจักรเทียนเหอให้เป็นปึกแผ่น
ขณะเดียวกันก็ได้ควบคุมตำหนักเสวียนปิง
แม้ฮูหยินปิงจีจะมีฐานะเป็นเสด็จป้าของเยี่ยโยวเหยา ทว่าท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงขุนนาง ตอนนี้ เยี่ยโยวเหยาคือราชวงศ์ของจักรวรรดิต้าฉิน เป็นเจ้านาย ทว่าฮูหยินปิงจีไม่ได้วางตัวในตำแหน่งที่ถูกต้องตามฐานะผู้อาวุโส
หนทางสู่อำนาจแห่งจักรพรรดินั้น เต็มไปด้วยเลือดและความโหดร้าย แต่ไหนแต่ไรมา พฤติกรรมที่ใช้ความเป็นผู้อาวุโสกดข่มผู้อื่นเช่นนี้ ไม่เคยได้รับการยอมรับ
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แม่นมฮวาก็นำสำรับมื้อดึกมาให้ ทั้งสองทานไปเพียงเล็กน้อย เนื่องจากดึกมากแล้ว ก่อนจะกลับเข้าห้องพัก
เนื่องจากซูจิ่นซีอยู่ในช่วงระดู ร่างกายไม่เอื้ออำนวย เยี่ยโยวเหยาจึงไม่ได้ทำอันใดนาง ทั้งสองจึงนอนหลับอย่างผ่อนคลาย
เพียงโยวอ๋องของพวกเราต้องอดทนอดกลั้นเล็กน้อย จนกระทั่งค่อนคืนถึงได้ผล็อยหลับไป
หลังมื้อเช้าของวันถัดมา ซูอวี้มาหาซูจิ่นซีเพื่อบอกสถานการณ์ของหลิงเซียวจวิ้นจู่ ซูอวี้วินิจฉัยว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นบ้าไปแล้ว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ซูอวี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และแนะนำให้ซูจิ่นซีระแวดระวังหลิงเซียวจวิ้นจู่ไว้
หลังจากซูอวี้กลับไป ซูจิ่นซีเห็นว่าเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยามีจดหมายกองพะเนินให้ต้องจัดการ วันนี้เยี่ยโยวเหยาคงไม่มีเวลามาสนใจนางเป็นแน่ นางจึงไปจัดการธุระของตนเอง
ซูจิ่นซีพา JXและคนอื่นๆ ออกไปตามหาเป่ยถางเย่