ฉินเจิงควบม้ามาถึงหน้าประตูวังหลวง ทว่าประตูวังถูกขัดดาลปิดสนิทแล้ว
“เปิดประตู!” เขาดึงเชือกบังเ**ยน ตะโกนบอกคนอารักขาประตูวัง
คนอารักขาประตูวังชะโงกหน้าผ่านกำแพงวังหลวง เห็นว่าเป็นฉินเจิง ใบหน้าเขาเยือกเย็นอึมครึมท่ามกลางราตรี สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกดุจกระบี่ที่ออกจากฝัก เขาสะดุ้งตกใจจนหดตัวกลับเข้าไปเพื่อรายงานต่อหัวหน้าองครักษ์
“เปิดประตู!” ฉินเจิงตะโกนอีกครั้ง
“เรียนท่านอ๋องน้อย วังหลวงขัดดาลแล้ว ฝ่าบาทเพิ่งทรงมีพระบัญชาเมื่อครู่ว่า นับจากนี้สามวันงดว่าราชการยามเช้า ไม่เปิดประตูวังหลวง ให้ขุนนางทั้งหมดพักผ่อนสามวันขอรับ” ไม่นานหัวหน้าองครักษ์อารักขาประตูวังก็ชะโงกหน้าออกมาแล้วรีบเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ” ฉินเจิงหรี่ตาลง
“นับจากนี้สามวัน ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ปิดประตูวังหลวง มิขอพบผู้ใดทั้งนั้น” หัวหน้าองครักษ์กล่าว
“เพราะเหตุใด” ใบหน้าฉินเจิงดุจน้ำค้างแข็งแตกร้าวทันที
“ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยมิแข็งแรงขอรับ” หัวหน้าองครักษ์ตอบ “หากท่านอ๋องน้อยมีธุระใด ฝากข้าน้อยไปทูลรายงานก็ได้”
ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เสด็จอาทรงมีสุขภาพไม่แข็งแรงรึ ไม่แข็งแรงแล้วยังว่างมาก้าวก่ายเรื่องคนอื่นอีกหรือ ยังว่างมาออกพระราชโองการหย่าร้าง” เขาพูดพลางก็คว้าคันธนูข้างหน้ามาง้างคันธนูออก เอ่ยเตือนหัวหน้าองครักษ์เสียงเย็น “เปิดประตู มิฉะนั้นเจ้าก็ใช้ตัวต้านคำสั่งเสีย!”
“ท่านอ๋องน้อย วังหลวงเป็นอาณาเขตสำคัญของโอรสสวรรค์นับแต่โบราณกาล แม้ท่านมีฐานะเป็นท่านอ๋องน้อย โตมาในวังหลวง ทว่าก็มิอาจขัดพระบัญชาขององค์จักรพรรดิได้ ข้าน้อยตายก็มิเป็นไร แต่ท่านอ๋องน้อยจะแบกรับคำครหาว่าก่อกบฏไว้บนบ่าหรือ” หัวหน้าองครักษ์มีสีหน้าเปลี่ยนไป มองฉินเจิงด้วยความเกรงกลัว
“ก่อกบฏหรือ” ฉินเจิงหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็ปล่อยลูกธนูในมือยิงออกไป
เกิดเสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น ลูกธนูปักลงบนหน้าอกข้างซ้ายของหัวหน้าองครักษ์บนกำแพงวัง เขาล้มลงไปบนพื้นทันที
องครักษ์บนกำแพงสะดุ้งโหยง มองมายังฉินเจิงด้วยความตื่นกลัว
“ให้เวลาพวกเจ้าครึ่งถ้วยชา รีบเปิดประตูประเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าไม่สนว่าวันนี้จะต้องถูกตราหน้าว่าหมิ่นอำนาจราชสำนัก หรือต้องข้อหาใช้โลหิตอาบประตูวัง” ฉินเจิงบอกเสียงเย็นชา
“ท่านอ๋องน้อย หนึ่ง…หนึ่งถ้วยชา จะรีบไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทประเดี๋ยวนี้” รองหัวหน้าพูดเสียงสั่นก่อนรีบลงจากกำแพงวังหลวง วิ่งไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ด้วยความรีบร้อน
หลายปีนี้ต้องเปลี่ยนคนอารักขาบนกำแพงวังหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินฉินเจิงเลย ที่ผ่านมาฉินเจิงนึกจะเข้าวังหลวงก็เข้า นึกจะออกจากวังก็ออก สำหรับคนทั่วไปแล้ววังหลวงเป็นสถานที่อันน่าเกรงขาม แต่สำหรับเขาแล้วก็เสมือนบ้านของตนเอง ความน่าเกรงขามของอำนาจราชสำนักเป็นเหมือนมูลเปื้อนดินโคลนในสายตาเขามาตั้งแต่เล็กจนโต
สภาพฉินเจิงในตอนนี้บอกว่าจะก่อเหตุนองเลือดเปื้อนประตูวัง เขาต้องทำจริงโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ลูกธนูที่ฉินเจิงยิงออกไป หากไม่ใช่ว่าไว้ชีวิตหัวหน้าองครักษ์นายนั้น ลูกธนูคงไม่ได้ปักลงบนหน้าอกข้างซ้าย แต่ตำแหน่งหัวใจแทน
ไม่นานอิงชินอ๋องก็ขี่ม้าไล่มาทัน เห็นฉินเจิงยืนหน้าประตูวังด้วยใบหน้าเย็นชาอึมครึม เขาจึงส่งเสียงเรียก “ฉินเจิง!”
ฉินเจิงหันมามองอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด
“ในเมื่อประตูวังขัดดาลแล้ว มีธุระใดไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้เถอะ!” อิงชินอ๋องเห็นท่าทางของฉินเจิงแล้วก็กลัวว่าเขาจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินขึ้นมา
“วังหลวงจะปิดประตูสามวัน ข้ารอสามวันไม่ไหวหรอก” ฉินเจิงบอกเสียงเย็น
“ปิดประตูวังสามวัน เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องแปลกใจ
“นี่ต้องทูลถามเสด็จอาแล้ว ฟังว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง” น้ำเสียงฉินเจิงเย็นยะเยือก “สุขภาพไม่แข็งแรง แต่ยังออกพระราชโองการหย่าร้างได้ ข้าก็อยากรู้นักว่าเสด็จอาทรงประชวรหนักถึงขั้นใดกันแน่ ถึงได้ไร้เหตุผลจนเลอะเทอะเช่นนี้”
“เจิงเอ๋อร์!” อิงชินอ๋องกดเสียงทุ้มต่ำ “ปลาหมอตายเพราะปาก ห้ามดูหมิ่นฝ่าบาทเช่นนี้”
“ในเมื่อพระองค์ทรงกระทำไปแล้ว ยังกลัวเสียงต่อว่าอีกหรือ ข้าไม่เพียงแต่จะต่อว่า หากวันนี้พระองค์ไม่ยอมเปิดประตูให้ข้าพบ ข้าก็จะใช้เลือดย้อมประตูวังเสีย!” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ใบหน้าซีดขาว เร่งม้าเข้าไปหาเตือนอย่างลนลาน “ห้ามทำเช่นนั้น!”
ฉินเจิงเม้มปากเงียบ ราวกับตัดสินใจแล้ว ใบหน้าเยือกเย็นดุจผนึกน้ำแข็ง
อิงชินอ๋องร้อนใจ บอกองครักษ์บนกำแพงวังหลวงว่า “ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท รีบไปทูลรายงาน!”
“เรียนท่านอ๋อง ไปทูลรายงานแล้วขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งรีบตอบ “ท่านกับ…ท่านอ๋องน้อยโปรดรอสักครู่”
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ละสายตามากล่าวกับฉินเจิง “เจ้าใจเย็นๆ ก่อน คงมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่ ฝ่าบาทถึงทรงทำเช่นนี้ มิฉะนั้นสมรสพระราชทานที่พระองค์ทรงมอบให้เอง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง เดิมก็น่าแปลกใจพอแล้ว พวกเจ้าเพิ่งสมรสกันกี่วันเอง พระองค์ก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างอีกครั้ง หากทำเพื่อความสนุกสนาน เผยแพร่ออกไปคงสะเทือนทั่วบ้านเมือง หากถูกบันทึกในบันทึกประวัติศาสตร์ อนุชนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ แท้จริงไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ฝ่าบาททรงสนพระทัยเรื่องการวิจารณ์จักรพรรดิลงบันทึกประวัติศาสตร์ตลอดมา”
ฉินเจิงไม่พูดจา
อิงชินอ๋องเห็นว่าแม้เขาไม่รับคำ แต่คงรับฟังบ้างแล้วมากน้อย ครั้นแล้วก็หยุดพูด
เวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมาก็มีคนตะโกนขึ้น “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้เปิดประตูวัง เชิญท่านอ๋องกับท่านอ๋องน้อยเข้ามาข้างใน”
เมื่อพระราชโองการออกมา องครักษ์อารักขาประตูวังก็ถอนหายใจโล่งอกโดยพร้อมเพรียงกัน ประหนึ่งรอดพ้นจากเคราะห์ภัยครั้งนี้ รีบเปิดประตูให้ทันที
ทันทีที่ประตูเปิด ฉินเจิงก็ไม่ลงจากม้า หากแต่ขี่ม้าตรงเข้าไปข้างใน
อิงชินอ๋องตกใจยกใหญ่ ขณะจะเอ่ยห้ามฉินเจิงก็เข้าไปข้างในแล้ว เขากลัวว่าหากตนเองลงจากม้าจะตามไปห้ามเขาไม่ทัน ครั้นแล้วก็ได้แต่ขี่ม้าตามเข้าไปข้างใน
ฉินเจิงตรงไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้ พลิกกายลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนทิ้ง เอ่ยถามคนอารักขาหน้าตำหนักด้วยใบหน้าเย็นชา “เสด็จอาเล่า อยู่ข้างในรึ”
“เรียนท่านอ๋องน้อย ฝ่าบาททรงประทับอยู่ข้างในขอรับ” มีคนรีบตอบ
ฉินเจิงสาวเท้าเข้าไปข้างในโดยไม่มีผู้ใดห้าม
มาถึงตำหนักบรรทม กลิ่นยาลอยคลุ้งปะทะจมูก ฮ่องเต้ทรงพิงหมอนอิงอยู่ข้างในม่านสีเหลืองอร่าม เมื่อทรงเห็นว่าฉินเจิงมาแล้วก็ปรายพระเนตรมองเขาด้วยพระพักตร์นิ่งขรึม “เจ้าจะบุกเข้าวังเพื่อพบเราให้ได้ เพราะเรื่องโองการรึ”
“ผู้ใดเล่าเคยตรัสไว้ว่าเมื่อออกพระราชโองการแล้วก็ห้ามข้าหย่าร้างตลอดชีวิต ทว่าเพิ่งผ่านมากี่วันเอง ท่านก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้างแล้ว ไหนท่านบอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉินเจิงยืนข้างหน้าต่าง มองพระองค์ด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงไม่ลองถามตัวเองเล่า เจ้าทำอะไรลงไป ถึงทำให้การหย่าร้างตกเป็นหน้าที่เรา บังคับให้เราออกโองการหย่าร้างให้ได้” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ ปรายพระเนตรมองเขา พระพักตร์แฝงด้วยโทสะ
“ผู้ใดจะบังคับท่านได้ ท่านเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งมิใช่หรือ กลับนำพระราชโองการมาล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก” ฉินเจิงหรี่ตามอง
“ผู้ใดบังคับเราได้” ฮ่องเต้ทรงทุบแท่นบรรทมด้วยโทสะ “ตอนนี้เราเป็นฮ่องเต้ แค่ตำแหน่งนี้ยังมีความคับอกคับใจไม่พอรึ เราเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เป็นแค่ลูกแกะที่รอวันถูกฆ่าในคอกเท่านั้นเอง ใครนึกจะขู่เราก็ขู่ได้ทั้งนั้น ใครเห็นค่าวาจาดุจทองคำของเราบ้าง เจ้าหรือ ถ้าเจ้าเชื่อฟัง วันนี้คงไม่บุกเข้ามาโดยไม่สนคำสั่งปิดประตูวังของเรา ไม่สนด้วยว่าจะก่อเหตุนองเลือดเปื้อนประตูวัง”
“เช่นนั้นท่านบอกข้ามา ผู้ใดบังคับท่าน” ฉินเจิงมีสีหน้ามืดครึ้ม
“ยังมีผู้ใดอีก แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาของเจ้า!” ฮ่องเต้ทรงทุบแท่นบรรทมอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยวจนเกิดเสียงดังสนั่น “เจ้ายังกล้ามาตำหนิเราอีกรึ ไฉนเจ้าถึงไม่ลองถามนางว่านางทำสิ่งใดลงไป”
“นาง…ทำสิ่งใดลงไป” ฉินเจิงมองพระองค์ ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย
“นางส่งคนบุกเข้ามาในวังหลวง บอกให้เรารีบออกโองการหย่าร้างให้แก่นาง แล้วเผยแพร่ไปยังจวนอิงชินอ๋อง หากเราไม่ทำ นางจะใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในตระกูลเซี่ยตัดขาดชีพจรหนานฉิน ตั้งแต่เสบียงอาหารไปจนถึงกิจการร้านค้า ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงทุกพื้นที่ในหนานฉิน แหล่งผลิตใดใดที่อยู่ในการครอบครองของตระกูลเซี่ยจะถูกตัดขาดทั้งหมด เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าผลที่ตามมาเป็นเช่นไร ตอนนี้ฝนเพิ่งหยุดตกไปไม่กี่วัน หลายพื้นที่ในหนานฉินประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเกิดโรคห่าระบาดขึ้นที่หลินอันอีก หากตอนนี้ชีพจรเลี้ยงดูหนานฉินถูกตัดขาด จะยิ่งกลายเป็นผีซ้ำด้ำพลอย เช่นนั้นหนานฉินจะตกอยู่ในวิกฤตระดับใด!” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ