ตอนที่ 67-2 ป่าวประกาศต่อใต้หล้า

จารใจรัก

“นาง…ทำเช่นนี้จริงหรือ” ฉินเจิงค่อนข้างไม่อยากเชื่อ 

 

 

           “เจ้ายังไม่เชื่ออีกรึ” เส้นเอ็นบนพระนลาฏฮ่องเต้เต้นตุบด้วยความโกรธ “นางยังบอกอีกว่า แทนที่จะให้คนอื่นทำลายบ้านเมืองหนานฉิน เพื่อหาข้ออ้างว่าตระกูลเซี่ยก่อกบฏ ทำให้ตระกูลเซี่ยต้องหลบหนีจนไร้ที่ซุกหัวนอน ถูกบีบบังคับทุกทาง ประสบหายนะโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน จนกระทั่งถูกประหารชีวิตทั้งตระกูล ต้องแบกรับคำครหาว่าทรยศจนพันปี กล้ำกลืนฝืนรับความอยุติธรรม เช่นนั้นมิสู้ทำให้เป็นจริงเสีย จะได้ไม่ต้องถูกใส่ความจนตัวตาย ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง นางไม่สนว่าใต้หล้าผืนนี้เป็นบ้านของใคร นางสนใจเพียงจวนจงหย่งโหวและชีวิตของคนใกล้ชิดเท่านั้น” 

 

 

           ฉินเจิงเม้มปากแน่น 

 

 

           “นางตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าจะให้เราไม่ยอมออกโองการได้อย่างไรไหว” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว “หรือเจ้าจะให้เรามองดูหนานฉินล่มสลายลงทั้งแบบนี้ด้วยมือของเราเอง หรือจะปล่อยให้นางตัดขาดชีพจรเศรษฐกิจทั้งหมดในหนานฉินจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น หนานฉินเกิดความสั่นคลอน ราษฎรตกอยู่ในความหวาดระแวง เรายังไม่ทันตาย บ้านเมืองก็ยุ่งเหยิงเสียแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงตัวสั่นระริก 

 

 

           “เราไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! แต่เรารู้ว่านางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลที่จะใช้บ้านเมืองหนานฉินมาขู่บังคับเรา มั่นใจว่าเราจะต้องออกโองการเป็นแน่” ฮ่องเต้ทรงมองเขาด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังกล้ามาขู่เราอีกคน เจ้าคิดว่าเราอยากออกโองการมากหรือ” 

 

 

           นัยน์ตาฉินเจิงแดงก่ำ เดิมเคยเต็มไปด้วยความโกรธ ยามนี้กลับไร้เรี่ยวแรง ตัวเซราวทรงตัวไม่อยู่ 

 

 

           “เราดูถูกเซี่ยฟางหวาเกินไป! ตอนนี้จวนจงหย่งโหวถูกทิ้งร้าง นางเองก็ออกจากเมืองไปแล้วใช่หรือไม่ จวนจงหย่งโหวคิดก่อกบฏจริงหรือ” ฮ่องเต้ทรงเห็นสภาพเขาเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ลดโทสะลง  

 

 

           ฉินเจิงไม่ส่งเสียงใด 

 

 

           ฮ่องเต้ยังทรงอยากตรัสต่อ ทันใดนั้นก็ทรงหายใจติดขัด ทรงพระกาสะขึ้นอย่างรุนแรง ครู่ต่อมาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทองก็เปื้อนคราบโลหิต 

 

 

           ฉินเจิงมองพระองค์ หลายวันนี้ฮ่องเต้ทรงผอมซูบลงไปมาก สภาพในตอนนี้คล้ายกับเป็นเพียงตาเฒ่าคนหนึ่ง คราบโลหิตบนผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองทองสะดุดตาอย่างยิ่ง 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงหยุดกาสะ หาได้ปิดบังฉินเจิงไม่ พระองค์ทรงโยนผ้าเช็ดหน้าลงในกระถางธูป ไม่นานมันก็ลุกไหม้แผดเผาส่งกลิ่นแสบจมูกโชยมา 

 

 

           พระองค์ทรงพระกาสะขึ้นอีก ทว่าครู่เดียวก็ระงับไว้ได้ ไม่สำลักโลหิตออกมาอีกแล้ว 

 

 

           ฉินเจิงมองกระถางธูปแวบหนึ่ง ความสิ้นหวังในแววตาชัดเจนขึ้น “คนที่นางส่งมาเป็นใคร อยู่ที่ใด” 

 

 

           “ไม่รู้ว่าเป็นใคร! ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน!” ฮ่องเต้ทรงตอบ 

 

 

           “วังหลวงเป็นอาณาเขตของท่าน แม้แต่เป็นใครยังมิทราบหรือ แถมยังจับมิได้” ฉินเจิงมองพระองค์ 

 

 

           “วังหลวงเป็นอาณาเขตของเราก็จริง แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน เมื่อก่อน! หากเรารู้ว่าเป็นใครและจับตัวได้ คงแยกร่างเขาไปตั้งนานแล้ว! คงไม่รอให้เจ้าถามถึงหรอก” ฮ่องเต้ทรงกริ้วขึ้นอีก ดึงหมอนบนแท่นบรรทมมาขวางใส่เขา ขณะเดียวกันเส้นเอ็นบนพระนลาฏก็เต้นตุบต่อเนื่อง  

 

 

           ฉินเจิงมิได้หลบ หมอนกระแทกใส่ตัวเขาอย่างจัง ตัวเขาเซไปเล็กน้อย 

 

 

           “เจ้าไสหัวไปให้พ้น! เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว!” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ไล่ 

 

 

           ฉินเจิงยืนนิ่ง 

 

 

           “เจ้านิ่งเฉยคิดจะทำสิ่งใดอีก เราไม่มีเรื่องใดจะบอกเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ 

 

 

           “ข้าทราบว่ามีเอกสารสายลับในภูเขาลับทั้งสามลูกอยู่ในราชสำนัก ทุกคนที่ถูกส่งไปที่ภูเขาลับ จนกลายเป็นสายลับ ต่างถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด ตอนนี้ในเมื่อท่านสังขารไม่อำนวย คิดว่าตนเองเป็นลูกแกะที่รอวันถูกฆ่าอยู่ในคอก ถึงซ่อนเอกสารพวกนั้นต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ยกให้ข้า!” ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเย็น  

 

 

           “อะไรนะ” ฮ่องเต้ทรงอุทานเสียงสูง “เจ้าอยากได้เอกสารสายลับภูเขาลับ” 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           “ไม่ได้!” ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธทันควัน 

 

 

           “เสด็จอา หากท่านไม่อยากให้บ้านเมืองหนานฉินตกอยู่ในความโกลาหลจริง เช่นนั้นก็นำเอกสารพวกนั้นมาให้ข้า” ฉินเจิงกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น 

 

 

           “ถ้าเราไม่มอบให้เจ้า บ้านเมืองหนานฉินจะตกอยู่ในความโกลาหลรึ” ความพิโรธของฮ่องเต้ยังไม่ลดลง 

 

 

           “เกิดโรคห่าระบาดในหลินอัน ฉินอวี้ปลีกตัวจากหลินอันมิได้ ตอนนี้ในเมืองเหลือแค่ข้ากับฉินชิง ฉินชิงยังเด็กและอ่อนประสบการณ์ ท่านน่าจะทราบดีว่าเขารับตำแหน่งสำคัญมิได้ หากตอนนี้ข้าออกจากเมืองไปอีกคน ไม่สนใจกิจราชสำนักอีก ท่านคิดว่าเมืองหลวงจะวุ่นวายอย่างไร” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น “คดีต่อเนื่องยังไม่คลี่คลาย หมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกสังหารติดต่อกัน สร้างความหวาดผวาต่อทั้งราชสำนัก กองทัพ และประชาชน ตอนนี้สังขารท่านไม่อำนวย หากข้าวางมือไม่ข้องเกี่ยว ท่านคงทราบผลลัพธ์ดีกระมัง ถ้าเมืองหลวงวุ่นวาย หนานฉินก็ต้องโกลาหลตาม สายลับภูเขาลับของราชสำนักกลายเป็นเนื้อร้ายแล้ว หากท่านยังทรงอ่านสถานการณ์ไม่ออก ยังเก็บพวกเขาเอาไว้ ตัดพระทัยทิ้งไม่ลง เช่นนั้นหรือว่าต้องรอให้บ้านเมืองล่มสลายลงก่อน ท่านถึงค่อยไปหาบรรพบุรุษตระกูลฉินในยมโลก” 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงมองฉินเจิงด้วยความพิโรธ ทว่าทรงแย้งมิได้ 

 

 

           ฉินเจิงรอพระองค์ตัดสินพระทัย 

 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงระงับความโกรธ ตรัสถามเสียงเข้ม “เจ้ากับเซี่ยฟางหวายังดีๆ กันอยู่เลยไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

           “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา!” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           “เรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าหรือ” ฮ่องเต้แค่นเสียงในลำพระศอแล้วทุบแท่นบรรทม “เรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าพัวพันมาถึงบ้านเมืองหนานฉินแล้ว! ยังเรียกว่าเรื่องส่วนตัวอีกรึ” 

 

 

           “นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวเช่นกัน!” ฉินเจิงเม้มปาก 

 

 

           “ดูสภาพเจ้าสิ ไม่อยากหย่ากับนางใช่หรือไม่ แต่ในเมื่อเราออกโองการไปแล้ว ย่อมเรียกคืนมามิได้ ตอนนี้ติดประกาศต่อใต้หล้าไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว” ฮ่องเต้ทรงมองเขา  

 

 

           “นึกไม่ถึงว่าท่านต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย” ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น 

 

 

           “นี่เป็นความต้องการของเซี่ยฟางหวา!” ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “นางบอกว่าหากไม่เห็นประกาศก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ออกโองการ เช่นนั้นนางก็จะตัดชีพจรในหนานฉินเช่นกัน” 

 

 

           ฉินเจิงหน้าซีด 

 

 

           “ใบประกาศคงติดในคืนนี้! ดังนั้นไม่เกินพรุ่งนี้ ทั่วหนานฉิน กระทั่งเป่ยฉี เกรงว่าคงทราบโดยทั่วกันว่าเจ้าฉินเจิงหย่ากับเซี่ยฟางหวาแล้ว แต่เป็นโองการที่เราออกเอง ใต้หล้าไม่มีใครทราบว่าเซี่ยฟางหวาเป็นผู้บังคับให้หย่า คงคาดเดากันว่าเราจะทำสิ่งใด!” ฮ่องเต้คล้ายพิโรธขึ้นอีกครั้ง “เซี่ยฟางหวาคงเกลียดเราอย่างยิ่ง ทราบดีว่าเราให้ความสำคัญกับบ้านเมืองหนานฉิน ให้ความสำคัญกับคำวิจารณ์ของอนุชนในบันทึกประวัติศาสตร์ นางจึงเลือกใช้วิธีการนี้ ไม่รู้ว่าอนุชนจะวิจารณ์ว่าเราอย่างไร ต่อว่าเรากลับสัตย์ เปลี่ยนใจง่าย เช้าออกคำสั่งเย็นก็แก้ไข เห็นโองการเป็นเรื่องล้อเล่น” 

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดจา 

 

 

           “เจ้ากำเริบเสิบสาน จองหอง กระทำตามใจตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมาไม่ทำตามประเพณี ใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากเจ้าครองที่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าครองที่สอง แต่นั่นเป็นเมื่อก่อน เซี่ยฟางหวาในตอนนี้ เจ้าเห็นหรือยังว่านางอวดดีเช่นไร ทำตามใจตัวเองเช่นไร จองหองแค่ไหน ใช้อำนาจมากเพียงใด ไม่ว่าจุดใดก็เหยียบหัวเจ้าได้! เดิมเราเคยคิดว่าจนกว่าจะตาย ชาตินี้คงไม่มีใครควบคุมเจ้าได้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเช่นนาง เหนือความคาดหมายยิ่งนัก!” ฮ่องเต้ทรงระงับความโกรธเชื่องช้า ก่อนมองฉินเจิงด้วยความเย้ยหยัน  

 

 

           ฉินเจิงเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเราไม่เห็นเจ้าโตมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเจ้าไม่มีเจตนาแย่งชิงอำนาจ ต่อให้เมืองหลวงวุ่นวายเท่าไรก็จะไม่ยอมมอบเอกสารสายลับภูเขาลับให้เจ้าเด็ดขาด” หยุดครู่หนึ่งแล้วตรัสเพิ่ม “แต่เจ้าต้องสาบานก่อน เมื่อเรามอบเอกสารให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้อ่านมันแต่เพียงผู้เดียว ห้ามมีไปยังคนที่สองโดยเด็ดขาด เจ้าทำได้หรือไม่” 

 

 

           “ได้!” ฉินเจิงสาบานทันที 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงรอให้เขาสาบานตนก่อน จากนั้นก็เคาะแท่นบรรทมแผ่วเบา ครู่ต่อมาก็มีตราคำสั่งสีดำไถลออกมา พระองค์ทรงยื่นมันให้ฉินเจิง “นี่เป็นตราคำสั่งลับของสายลับภูเขาลับ ตอนนี้เราเองก็ไม่รู้ว่ายังควบคุมสายลับได้อีกมากน้อยแค่ไหน แต่องครักษ์เงากลุ่มหนึ่งในราชสุสานเป็นกลุ่มที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือไว้ น่าจะยังใช้งานได้ เราจะมอบให้เจ้าชั่วคราว เจ้านำสิ่งนี้ไปที่ราชสุสาน หลังเปิดราชสุสานแล้ว ใต้ป้ายของอดีตฮ่องเต้มีช่องลับซ่อนอยู่ ข้างในเก็บเอกสารสายลับภูเขาลับที่ผ่านมาในแต่ละราชวงศ์เอาไว้” 

 

 

           ฉินเจิงมองฝ่าบาทก่อนยื่นมือรับไว้ 

 

 

           “ท่านพี่เข้าวังมากับเจ้าด้วยใช่ไหม รออยู่นอกตำหนักรึ เจ้าออกไปแล้วให้เขาเข้ามาด้วย” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ไล่เขา 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป 

 

 

           เมื่อออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ อิงชินอ๋องรออยู่ข้างนอกจริงดังคาด เมื่อเห็นเขาออกมา อิงชินอ๋องก็รีบเข้ามาหาแล้วถามเสียงเบา “เจ้าไม่ได้ทำอะไรฝ่าบาทใช่ไหม” 

 

 

           ฉินเจิงพบว่าบนจอนผมของอิงชินอ๋องมีหงอกขึ้นแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับผู้เป็นน้องชายที่เด็กกว่าเขาหลายปีข้างในตำหนักบรรทมนั้น เขายังดูเด็กกว่ามาก ตำแหน่งจักรพรรดิเป็นดั่งดาบคร่าชีวิตคน อิงชินอ๋องแม้ช่วยเหลือบ้านเมืองหนานฉิน ทำงานหนัก เป็นกังวลต่อบ้านเมือง ทว่าสุดท้ายแล้วก็เทียบผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิมิได้ เขาบอกไม่ได้ว่าภายในใจกำลังรู้สึกเช่นไร จึงส่ายหน้าตอบ “เปล่า” 

 

 

           อิงชินอ๋องโล่งอก 

 

 

           “เสด็จอาทรงให้ท่านเข้าไปข้างใน!” ฉินเจิงบอกแล้วเดินออกจากตำหนัก 

 

 

           “เจ้าจะไปไหน” อิงชินอ๋องรีบถาม 

 

 

           ฉินเจิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “กลับจวน!”