ตอนที่ 68-1 หากพบอีกจะสังหาร

จารใจรัก

ฉินเจิงออกจากตำหนักบรรทม ไม่รออิงชินอ๋องก็ขี่ม้าออกจากวังหลวงทันที

 

 

           ทหารอารักขาประตูวังมิได้ยินการเคลื่อนไหวใดดังมาจากข้างในตำหนักของฝ่าบาทก็พากันถอนหายใจโล่งอก พวกเขายินดีจะล่วงเกินภูตผีปีศาจมากกว่าฉินเจิงผู้ซึ่งเป็นดั่งเทพแห่งภัยพิบัติ ธนูดอกนั้นที่ยิงโดนหัวหน้าองครักษ์เป็นเพียงการเตือนตำหนิ โชคร้ายรับเคราะห์เปล่า เพราะไม่มีผู้ใดกล้าเอาความเขา

 

 

           หลังออกจากวังหลวง ฉินเจิงหาได้มุ่งไปยังราชสุสาน หากแต่ตรงกลับจวนอิงชินอ๋อง

 

 

           ระหว่างทางพลันมีม้าตัวหนึ่งกระโจนมาจากด้านข้าง ขวางทางเขาเบื้องหน้า

 

 

           ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยน ตวัดตามองพบว่าเป็นหลี่มู่ชิง จึงมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 

 

           “เกิดอะไรขึ้น” หลี่มู่ชิงถามด้วยความร้อนใจ

 

 

           ฉินเจิงเม้มปากเงียบ

 

 

           “ข้าได้ยินฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้า…หย่าร้าง ฟังว่าต้องประกาศต่อใต้หล้าด้วย มีพระบัญชาให้คนติดประกาศทั่วทุกแห่งภายในคืนนี้” หลี่มู่ชิงมองเขา “เป็นเรื่องจริงหรือ เพราะเหตุใดกัน”

 

 

           “ข้าก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใด” ฉินเจิงตอบเสียงเย็น

 

 

           “ข้าได้รับข่าวรายงานว่า พระชายาน้อยออกจากเมืองไปตอนกลางคืน” หลี่มู่ชิงถามอีก “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเพราะเหตุใด นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ออกจากเมืองตอนกลางคืนเช่นนี้ หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำเช่นไร ช่วงนี้ทั้งในและนอกเมืองวุ่นวายถึงเพียงนี้…”

 

 

           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด

 

 

           หลี่มู่ชิงกล่าวอีกด้วยความลนลาน พบว่าเขายังคงเงียบเฉย จึงกล่าวอย่างใส่อารมณ์ “เจ้าพูดอะไรบ้างสิ! หรือแม้แต่ข้าเจ้าก็บอกไม่ได้ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะเห็นว่าใจนางมีเจ้า ต้องการเพียงแค่เจ้า ข้าไหนเลยจะยอมหลีกทางให้ ไม่ร่วมแย่งชิงด้วย ให้นางได้ออกเรือนกับเจ้าสมปรารถนา พวกเจ้าอยู่กันดีๆ มาตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าทำสิ่งใดลงไปอีก”

 

 

           “ข้าทำสิ่งใดหรือ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ มองหลี่มู่ชิงด้วยความเย้ยหยัน “เหตุใดพวกเจ้าทุกคนเอาแต่ซักถามข้า ถามว่าข้าทำสิ่งใดลงไป เหตุใดถึงไม่ไปถามนางบ้าง ว่าที่นางทิ้งข้าจากไปนั้นคิดทำสิ่งใดกันแน่”

 

 

           “นาง…ทิ้งเจ้า” หลี่มู่ชิงมึนงง

 

 

           “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้ เป็นนาง นางส่งคนไปหาเสด็จอา ใช้อิทธิพลตระกูลเซี่ยและชีพจรทั้งหมดในหนานฉินขู่บังคับเสด็จอา ให้พระองค์ยอมออกพระราชโองการหย่าร้างแล้วประกาศต่อใต้หล้าว่าข้าหย่ากับนางแล้ว” ฉินเจิงพูดพลางน้ำเสียงก็ยิ่งเยือกเย็น “คราวนี้นางอยู่ห่างไกล ไม่ความเกี่ยวข้องกับข้าอีก”

 

 

           “อะไรนะ” หลี่มู่ชิงทำหน้าไม่อยากเชื่อ

 

 

           “เจ้าไม่เชื่อใช่หรือไม่” ฉินเจิงมองเขา ใบหน้าเยือกเย็นภายใต้ราตรี คล้ายเยาะเย้ยคล้ายถากถาง “ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่นี่เป็นความจริง ข้าบุกวังหลวงเพื่อทูลถามเสด็จอา ถึงรู้เหตุผลที่ออกพระราชโองการหย่าร้างจากพระองค์ ข้าคิดจะใช้โลหิตชะล้างวังหลวงด้วยซ้ำ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว นางตัดสินใจเด็ดขาด ไม่เหลือทางเลือกให้ข้าสักทาง”

 

 

           “เพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงยังไม่อยากเชื่อ “เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางรักเจ้า ถึงเจ้ายิงธนูสามดอกใส่นาง นางก็ยังยืนกรานว่าจะออกเรือนกับเจ้า ก่อนหน้านี้ยังดีๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้…ไฉนถึงกลับตาลปัตรในชั่วพริบตา”

 

 

           แววตาฉินเจิงสงบเยือกเย็น ทันใดนั้นก็สะท้อนจิตสังหารออกมา “หลี่หรูปี้น้องสาวเจ้า ทางที่ดีเจ้าควรดูแลนางให้ดี ชาตินี้ขอเพียงนางมาให้ข้าเห็นหน้าเมื่อไร ข้าจะสังหารนางด้วยมือข้าเอง”

 

 

           หลี่มู่ชิงชะงักมองฉินเจิง ตอนเขาพูดประโยคนี้ไม่ได้ปิดบังจิตสังหารอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแม้แต่น้อย ตนรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก หากน้องสาวตนยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาจะต้องสังหารนางดังที่พูดไว้โดยไม่ต้องสงสัย เขาไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด ตั้งแต่น้องกลับจากวังหลวงก็อยู่สวดมนต์กินเจกับท่านแม่ตลอดเวลา สงบเสงี่ยมอย่างมาก หรือลับหลังนางได้ทำสิ่งใดลงไประหว่างที่ข้าไม่รู้ เรื่องระหว่างพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับนางหรือ”

 

 

           “ชาตินี้ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย! เจ้าควรกลับไปบอกนาง บอกจวนเสนาบดีฝ่ายขวา! ถ้านางอยากตายนักก็ขอให้มายืนตรงหน้าข้า” ฉินเจิงเอ่ยทิ้งท้ายด้วยความโหดเ**้ยม ไม่พูดสิ่งใดกับหลี่มู่ชิงอีก ขี่ม้าอ้อมเขากลับไปยังจวนอิงชินอ๋อง

 

 

           หลี่มู่ชิงสับสน ส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้งทว่าฉินเจิงขี่ม้าออกไปไกลแล้ว ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง เขาขมวดคิ้วเป็นปม หันม้ากลับไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา

 

 

           เมื่อเข้ามาในจวนพบว่าห้องหนังสือยังจุดตะเกียงสว่างอยู่ เขาตรงไปยังห้องหนังสือทันที

 

 

           เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนเคาะประตูสามครั้งแผ่วเบา

 

 

           “เข้ามา” เสียงของเสนาบดีฝ่ายขวาดังขึ้นจากข้างใน

 

 

           หลี่มู่ชิงผลักประตูเปิดออก ทว่ามิได้รีบเข้าไปทันที หากแต่ยินอยู่ข้างนอกแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ”

 

 

           “ไฉนถึงไม่เข้ามา” เสนาบดีฝ่ายขวากำลังอ่านเอกสารราชการ เห็นว่าเขาไม่ยอมเข้ามาก็เงยหน้ามอง

 

 

           “ลูกมีไอความเย็น พูดตรงนี้ดีกว่า จะได้ไม่ติดไปยังท่านพ่อ” หลี่มู่ชิงยื่นมือปิดประตู

 

 

           “เจ้าเพิ่งกลับมาไม่ใช่หรือ ออกไปข้างนอกอีกแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาพินิจมองหลี่มู่ชิงก่อนถามขึ้น “เรื่องจวนอิงชินอ๋องหรือ เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่”

 

 

           หลี่มู่ชิงพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “ฉินเจิงเพิ่งกลับจากวัง ลูกขวางเขาระหว่างทาง แต่ก็มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเพียงแต่พูดเรื่องแปลกมาก ลูกไม่เข้าใจจึงกลับมาถามท่านพ่อ”

 

 

           “แปลกอย่างไร” เสนาบดีฝ่ายขวาถาม

 

 

           “เขาบอกให้ข้ากลับมาบอกท่านพ่อและจวนเสนาบดีฝ่ายขวาว่า ชาตินี้ไม่อยากข้องเกี่ยวใดใดกับน้อง ขอให้ข้าดูแลน้องให้ดี ชาตินี้อย่าได้ให้นางเจอเขา หากเขาเห็นหน้านางเมื่อไร เขาจะสังหารนางด้วยตัวเอง” หลี่มู่ชิงตอบ

 

 

           “เพราะเหตุใด น้องสาวเจ้าไปล่วงเกินเขาไว้รึ” เสนาบดีฝ่ายขวาตกใจ ถามด้วยความแปลกใจทันที

 

 

           “ข้าเองก็มิทราบ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ดังนั้นจึงกลับมาถามท่านพ่อดู ระหว่างที่ข้ายุ่งกับเรื่องคดีในเมืองหลวง น้องได้ทำสิ่งใดลับหลังไปหรือไม่ ปลุกปั่นให้เขาเกิดโทสะ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า

 

 

           “ตั้งแต่น้องสาวเจ้ากลับจากวังหลวงก็สวดมนต์กินเจกับแม่เจ้าในจวนตลอดเวลา สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ช่วงนี้แม่เจ้าก็กังวลใจอยู่เช่นกัน กลัวว่าต่อไปน้องสาวเจ้าจะสงบเช่นนี้ ยิ้มไม่เป็นอีก กังวลจนไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า

 

 

           “เช่นนั้นเพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงก็เกิดข้อข้องใจเช่นกัน

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาเองก็สับสน “จวนเสนาบดีฝ่ายขวากับจวนอิงชินอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีเสมอมา ไร้ความอาฆาตพยาบาทต่อกัน น้องสาวเจ้าชอบฉินเจิงก็จริง ทว่าตั้งแต่ฉินเจิงแต่งงาน นางก็ดูถอดใจหมดหวังไปแล้ว นางใช่ว่าจะไร้เหตุผลจนก่อเรื่องนอกลู่นอกทางซ้ำอีก” หยุดชั่วครู่แล้วนึกทบทวน “ยิ่งไปกว่านั้น หลายเดือนก่อน ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงวางพิษกามารมณ์กับฉินเจิง ระหว่างความเป็นความตาย ฉินเจิงก็ไม่ได้ญาติดีกับน้องสาวเจ้า ต่อมาเซี่ยฟางหวาเข้าวัง น้องสาวเจ้าจึงตัดใจตั้งแต่ตอนนั้น”

 

 

           “แต่ข้ารู้จักฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่คนที่จะพูดลอยๆ โดยไร้สาเหตุ ตอนเอ่ยถึงน้องนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า กลับไม่บอกเหตุผล หากไม่ใช่ว่าน้องทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจจนเกิดความเคียดแค้น เขามีหรือจะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้หลูเสวี่ยอิ๋งที่ทำให้เขารังเกียจอย่างยิ่งตอนนั้นก็ยังไม่เคยแสดงจิตสังหารเช่นนี้” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           “อยู่ในเมืองเดียวกัน ถึงไม่อยากพบหน้า แต่มีหรือจะทำได้” เสนาบดีฝ่ายขวาเคร่งขรึมตาม

 

 

           หลี่มู่ชิงเม้มปาก

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองตอนกลางคืน พระชายาอิงชินอ๋องตามออกไปแล้ว เมื่อพระราชโองการของฝ่าบาทไปเผยแพร่ที่จวนอิงชินอ๋อง ฉินเจิงกับท่านอ๋องก็รีบเข้าวังทันที ฟังว่าประตูวังขัดดาลแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้งดเข้าราชการสามวัน ทว่าฉินเจิงยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์แล้วบุกเข้าไป” หยุดชั่วครู่ แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้างกะทันหันเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเพิ่งสมรสกันไม่กี่วันเอง! ข้าอยู่ในราชสำนักมายี่สิบปี นี่ไม่คล้ายกับเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทจะทรงทำ”

 

 

           “ลูกก็มิทราบว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการ” หลี่มู่ชิงหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า

 

 

           “ฉินเจิงบุกวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฟังว่านอกจากยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์แล้ว พอเข้าไปข้างในก็หารือกับฝ่าบาทในตำหนักโดยไม่สร้างการเคลื่อนไหวใหญ่ ท่านอ๋องที่ตามไปด้วยรออยู่ข้างนอก ฉินเจิงเข้าไปในตำหนักเพียงลำพัง” เสนาบดีฝ่ายขวามองหลี่มู่ชิง “ตอนเจ้าขวางฉินเจิงไว้ ไม่ได้ถามเหตุผลเขาหรือ หากเป็นความผิดของฝ่าบาท ฉินเจิงจะต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ ด้วยนิสัยของเขาต้องก่อกวนวังหลวงจนวุ่นวาย”

 

 

           “สีหน้าเขาย่ำแย่มาก เพียงเตือนเรื่องน้อง ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นก็กลับจวนแล้ว” หลี่มู่ชิงยังส่ายหน้า

 

 

           “ไม่ไปตามเซี่ยฟางหวารึ” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอีก

 

 

           “เปล่า” หลี่มู่ชิงส่ายหน้าตอบ